หลังจากที่ได้ร่วมทริปแรกกับ หัวโปกตลกเที่ยว ที่ฟิลิปปินส์ นี่เป็นครั้งที่ 2 กับทริป จีน คุนหมิง แชงกรีล่า ลี่เจียง การตัดสินใจตอนแรกคือ มันมาบอกว่า ตั๋วถูก จัดเลย ก็เลยตามเลย หลังจากลางานล่วงหน้ามา 6 เดือน เราคิดว่าอยากลองไปจีนสักครั้งในชีวิต เพราะไม่เคยได้ไปเลย ทั้งๆที่หน้าตา ค่อนข้าง local มากๆ แต่ไม่ได้ภาษาเลยนะ 5555555+
เอาละเรามาเริ่มกันเลย... สมาชิกที่ไปคราวนี้ประกอบไปด้วย ผม อีเกมส์ ตุ๊ดหัวโปก พี่มิ้งกับน้องน้ำหวาน สองคนนี้ได้ภาษาจีนในระดับนึงเลย(รอดตายหลายเรื่องเพราะได้สองคนนี้)
10 มี.ค. 61 เริ่มต้นเดินทาง หนีร้อนไปพักหนาว
หลังจากจัดกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อย
เรารีบออกจากบ้านเพื่อแอบไม่ให้ใครเห็น โดยเฉพาะการหนีพนังงานร้านตัวเองนี่แหละ ไม่ให้เห็นว่าเราแอบไปไหนกับชุดเป๋าแดงคู่ใจ
เราเรียกแท็คซี่ไปถึงสนามบิน ตอน 8:00 เพื่อขึ้นเครื่องบินจาก สนามบินดอนเมือง เพื่อไปสนามบิน คุนหมิง ประเทศจีน ตั๋วได้จากเพื่อนที่จอง เรานั่ง air asia และอาหารเช้านี้คือ มาม่ามังสวิรัติ ถ้วยละ 60 บาท
ระหว่างนั้น แอร์ air asia คนนึงดันเป็นรุ่นพี่ของ เพื่อน คุยกันระหว่างทางก็มีแนะนำข้อมูลทั่วไปก่อนที่เราจะออกจากสนามบินไปรับกระเป๋า ช่วงเวลาเดียวกันรู้สึกขึ้นมาได้ว่า หนาว หนาว หนาวว้อยยยย...
พอผ่านจากก ตม. และรับกระเป๋าเรียบร้อย หยิบเสื้อกันหนาวสิ้ครับ... เมื่อเราแต่งตัวพร้อมรับลมหนาวเรียบร้อย เราก็ไปยังโรงแรมที่กดจองไว้
โดยเราคือผู้รับหน้าที่หาทาง ก็เห็นว่าโรงแรม ใกล้กับ สถานี สี่แยกตงฟง เลยหาทางไปยังสถานีรถไฟใต้ดินที่เชื่อมกับสนามบินเลย ค่าตั๋วรถไฟใต้ดินราคาถูกมาก 5 หยวน
เรามั่วๆมึนๆจนถึงสถานี ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ เกือบ 1 ชั่วโมง วินาทีแรกที่ออกมาจาก สถานี หนาวหนักกว่าเดิม เลยรีบๆเพื่อจะเข้าไปที่โรงแรม (ก่อนมาเราได้เตรียมตัวมาพอสมควร โดยเฉพาะ แอพที่น่าจะจำเป็น ตอนนี้เราไว้ใจ map.me ที่สุด) แอพนี้พาเราไปยังโรงแรมได้อย่างถูกต้อง
ถึงแม้เราจะยังเล่นแอพนี้ไม่ชำนาญเท่าไหร่ก็ตาม
วันแรกที่เราถึงที่พักก็เริ่มการเดินตะลอนๆๆๆ ไปเรื่อยๆ รอบๆเมือง หลงแล้วหลงอีกเพราะ ชื่อสถานที่ และสิ่งที่ตำรวจบอก โคตรจะไม่ตรงกัน เลยซุยๆไป สรุปก็ไปถึงแหลงช้อปปิ้ง ย่าน jinbi ของคุณหมิง เราเริ่มจากการหาร้านอาหาร เหมือนเดิม เราหาร้านอาหารมังสวิรัติ จากแอพ happy cow เราพาเพื่อนเดินตะลอน และแยกกันเดินเผื่อว่าจะหาร้านอาหารเจอ สรุปเราหาย่านร้านอาหาร เพียบๆให้เพื่อนได้แต่ร้านที่เราอยากกิน มันเจ๊ง เลยต้องไปตะลอนหาใหม่ ซึ่งไกลออกไปประมาณ 2 กิโล
เราตัดสินใจเดินไปจนถึง ร้านอาหารนั้นเป็นบุฟเฟ่ต์ มังสวิรัติ พนักงานน่านักมาก พยายามอธิบายให้เราเข้าใจมากที่สุด เราว่าโอเคมากๆร้านนี้ เสียค่าเสียหายไปทั้งหมด 45 หยวน เพราะความหิว ซัดไปเยอะอยู่
เมื่อกินเสร็จ เราตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเดิน ตามสไตส์เราคือ มั่วทางไปเรื่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ ทั้งเมื่อย ทั้งเหนื่อย 😀 เราเดินมาเจอย่านอะไรไม่รู้ บริเวรนั้นมาการตั้งขาย หมาแมว กระต่าย ริมทาง มีมากมายหลายพันธุ์ ส่วนตัวไม่ค่อยชอบ ดูทรมานกินไปเลยรีบๆเดิน
พอเพื่อนที่กินข้าววเสร็จแล้วให้เราไปเจอเราไปเจอกันที่ Starbucks coffee ตรงถนน เส้น jinbi เดินเล่นจนถึงเย็นก่อนกลับโรงแรม
เราเดินไปไปตามฟุทบาท เจอกลุ่มคนเป็นโปลิโอน่าจะเดินไปเที่ยว โดยที่คนนึงนั่งรถเข็น แต่ทางเดินมีขั้นบันไดทำให้เค้าเอารถขึ้นไม่ได้เพราะมีทางลาด เค้าต้องลุกโดยให้เพื่อนประคอง(เพื่อนก็เป็นแต่น้อยกว่า)ทีนี้เราก็ไปช่วยเค้ายกรถเข็น คำถามสงสัยเกิดขึ้นคือ คุณหมิงพัฒนาไปมากแต่ระบบส่งเสริม คนพิการยังแย่มากๆ ย้อนมองกลับมาที่ไทยได้แง่คิดหลายอย่างมากๆเลย เราได้แต่คิดและเดินกลับไปยังโรงแรม รอเพื่อนที่ท้องเสียนอนซม ตื่นออกไปหาอะไรกินตอนกลางคืน ด้วยชุดกางเกงขาสั้น และรองเท้าแตะขาหนีบ มิน่าคนมองกันตรึม 55555 ค่ำนี้เราได้ผ้าปิดจมูกมาเพิ่ม เพื่อป้องกันลมเย็นเข้าจมูกมากเกินไป เอาละ พรุ่งนี้ต้องขึ้นเครื่องไปแชงกรีล่า ต้องตื่นเช้าและให้โรงแรมหารถ(ซึ่งก็คือเจ้าของโรงแรมนั่นแหละพาขับไป 120 หยวน) คืนนี้ นอนและอาบน้ำด้วยน้ำร้อนน้ำอุ่น ~
11 มี.ค. 62 แชงกรีล่า เมืองเก่าของจีนแต่ก่อน
เราตื่นมาแต่เช้า เพื่อขึ้นรถจะไปสนามบิน เพื่อต่อเครื่องไปยังแชงกรีล่า เราไปถึงนั่นด้วยสายการบิน lucky air ที่ต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม ระหว่างที่เรายืนต่อคิว เช็คอิน
สิ่งที่คิดไว้ว่าต้องเกิดก็เกิดจริงๆ อีมนุษย์ป้าที่จะตกเครื่องเพราะมาช้า มันมาแซงคิว มาเป็นกรุ๊ปเลย อชห แต่ก็โดนอีเกมส์ แผงฤทธิ์ จน จนท. ต้องลากตัวออกไปให้ไปต่อคิวก็ขึ้นเครื่องตามปกติ ระหว่างทางเครื่องบินบินผ่านเขาเหมยลี่ สวยมาก แบบ สวยแต่เสียดายเวลาไม่พอเลยไปไม่ได้
ต่อมาเรามาถึงแชงกรีล่าอากาศที่นี่ หนาวมากๆ แพลนคือเราจะอยู่ที่นี่ สามวันสองคืน พอเราลงมาก็มี ไกด์ท้องถิ่นมาดัก ด้วยความที่เค้าเรียกราคาไปที่พักไม่แพง ก็เลยโอเค ไป พอถึงทางเข้าหน้าโรงแรมซึ่งเป็นเขตเมืองเก่า เราคิดว่าอยากไปหาที่เที่ยวก่อนเพราะทางไกด์จั่วหัวมา ว่าพาไปที่นู่นที่นี่ได้ เราเลยตกลงว่าไป ทะเลสาปนาปาไห่ แล้วค่อยกลับมาโรงแรมแต่ระหว่างทางเค้าเปลี่ยนคันให้น้องชายเค้ามาต่อแทนเค้า เราก็เออ เลยตามเลย ฟังภาษา งงๆ
ทีนี้เรามาถึง ทะเลสาปนาปาไห่ จะเข้าไปชม ต้องเสียค่าขี่ม้าเพื่อเข้าไป โปรแกรมที่ราคาถูกสุดคือ 180 หยวน ก็ไหนๆมาแล้วก็ต้องยอมเสีย ข้างในก็เป็นทางทำไว้แล้ว แต่ทะเลสาปน้ำแห้งมาก เนื่องจากมันก็เลยหน้าฝนมาหลายแล้วอ่ะนะ แต่จุดนั้นก็ถ่ายรูปสวยอยู่ แต่ไอ้คนคุมม้าเรานี่มันโหดชิบเป๋ง ในขณะที่ของเพื่อน ชิลเหลือเกิน -_-
เราเสร็จจากนาปาไห่ ก็แวะไปโรงแรมเลย โดยคนขับรถพามาส่งถึงหน้าโรงแรม เราก็ใช้ map.me อีกรอบในการหาโรงแรม ที่นี่เป็นย่านชุมชนเมืองที่อนุรักษ์ไว้ ส่วนหนึ่งเคยถูกไฟไหม้และได้นับการสร้างใหม่ ให้คงสภาพและวัฒนธรรมตามเดิม ส่วนที่ไม่ถูกไหม้ก็ปรับปรุงบูรณะใหม่ วัฒนธรรมเดิม อาจคงอยู่ แต่การปรับตัวรับการเป็นเมืองและแหล่งท่องเที่ยวก็ทำให้เกิดร้านอาหารร้านค้า โรงแรมมากมาย ทั้งหมดนี้เราก็เห็นได้ชัดจากหลายๆแหล่งท่องเที่ยวในบ้านเรา แต่ที่นี่แตกต่างตรงที่ยังคงเค้าเดิม ไม่เปลี่ยนให้เป็นแบบที่ไม่ใช่ตัวเอง เราชอบตรงนี้
เราใช้เวลาช่วงเย็น เดินเล่นในเมืองจนทั่ว เข้าร้านนู้นร้านนี้ แล้วก็อยากจะได้หมวกขึ้นมา เลยไปได้หมวกมาใบนึง ในราคา50 หยวน ไม่แพงแถมสวยด้วย555
พอมาพูดถึงอาหารมื้อนี้ เหมือนเมื่อวานคือเรากินอาหารมื้อเดียว แปลกที่ไม่ค่อยหิวมาก เราก็ลองหาร้านอาหารมังสวิรัติแล้ว จากหลายๆที่ แต่ไม่ยักกะเจอ เลยไปถามโรงแรม ข้างล่างเค้าเป็นร้านอาหารด้วย เร้าบอกทำให้ได้ ด้วยความหิวโซ เราเลย จัดชุดใหญ่ หม้อไฟ แบบมังสวิรัติ พริกหม่าล่า โอ้อย่างเด็ดในขณะที่ของเพื่อน 1 หม้อกิน 3 คน เรา หม้อนึงเราเหมาคนเดียว จุก และลิ้นชามากๆ พออิ่มก็เดินเล่นต่อจนถึงกลางคืน ค่อยกลับ ส่วนพรุ่งนี้เรานัดให้ไกด์คนเดิม พาไป blue moon valley กับ วัดโปลาน้อย ให้เค้ามาเจอประมาณ 8 โมงเช้า
12 มี.ค. 62 ตัวละครลับ ความบังเอิญ มิตรภาพและสุ่ยหนิ๋วที่แท้ทรู
ไกด์ท้องถิ่นพาเราไปถึง blue moon valley สิ่งแรกคือ ค่าตั๋วแพงมากกกก 220 หยวนในการขึ้นกระเช้า แต่เราจะขึ้นทั้งๆแบบนี้ไม่ได้ เราต้องมีสเปรย์ออกซิเจน เวลาที่เราหายใจลำบากเวลาขึ้นที่สูง โดนไป 68 หยวนเราซื้อมา2 กระป๋อง ตอนเรากำลังจะออกจากร้าน...
เจอคนไทย!!! เป็นพี่ๆ สามคน สายลุยสายถ่ายรูป เรามาทำความรู้จักกกันตอนที่เรานั่งกระเช้าขึ้นไปบนจุดชมวิว ยอดเขา พระจันทร์สีน้ำเงิน โดยพี่แต่ละคนมีความเป็นตัวเองสูงมาก รู้สึกได้เลยว่ารู้จักกันวันเดียว สนิทกันยังกะรู้จักกันเป็นปีๆ 5555
เราขึ้นไปข้างบนยอดเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน ที่จุดสูงสุดที่ความสูง 4500 เมตร จากระดับน้ำทะเล โดยผู้รอดชีวิตที่ขึ้นไปบนยอดมีแค่เรากับพี่มิ้งและพี่ๆสามคนที่พึ่งเจอกัน ถ่ายรูปกันมันส์มาก เราก็แอบเก็บสกิลพี่เค้ามาสั่งสมประสบการณ์การถ่ายรูปของตัวเองไปในตัว กล้องพี่เค้านี่ระดับเทพ ขนลุกกก เราถ่ายรูปและเดินเป็นเวลานานมากๆ จนกระทั่งเพื่อนสองคนที่ไม่ไหวกับอากาศ ต้องลงมารอข้างล่าง เราก็รีบลงเพราะเพื่อนจะไปวัดกัวลาน้อยต่อ และเค้ารอนานแล้ว
โอเคเรารีบลงไปเพื่อไปวัดโปลาน้อยต่อ แต่เราต้องไปกินข้าวกันก่อน คนรถพาไปกินข้าวร้านใกล้ๆวัดโปลาน้อย เราดูๆแล้วก็พอมีอันที่กินได้ก็เลยเลือกเป็นวัตถุดิบให้เค้าผัดแต่เราก็อยากผัดเอง ตามรสชาติแบบไทยๆ แต่เค้าก็ไม่ให้ทำ ทั้งที่วาดเอาไว้ในจินตนาการคืออารมณ์เห็ดผัดพริกออกแห้งๆ แต่สิ่งที่ได้คือ ผัดเห็ดน้ำแฉะๆ แต่เราเอาพริกป่นเค้ามาปรุงเพิ่มคือดีงามขึ้นมากมาย
เรากินเสร็จเราไปที่วัดโปลาน้อย มานี่ต้องซื้อตั๋วค่าเข้า นั่งรถบัสขึ้นไปกันและเราได้เจอคนไทยมาถ่ายพรีเวดดิ้งแต่พี่แกไม่สนใจเราเลยก็ผ่านเลยไปผิดกับกลุ่มพี่ๆสามคนจริงๆ
วัดโปลาน้อยที่นี่ สวยมากๆ สวยแบบ ยังกับปราสาท พระราชวัง ปกติการชมสถาปัตยกรรมจะไม่ค่อยขนลุกนักกับเรา แต่ที่นี่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ ทำเอาฟินไปอีกแบบพูดแล้วขนลุก แต่ค่าเข้าก็แพงพอตัว ประมาณ 100 กว่าหยวน และอีกจุดที่ตามสนใจมากๆคือ นกสีดำปากส้ม มันคือนกอะไรน้อ...
เราลงมาจากวัดโปลาน้อย และเราไปจองตั๋วรถทัวร์กันก่อนเพื่อจะมาลี่เจียง รอบ11 โมง พอเสร็จ เรากลับที่พักเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น มีคนถูกบอกรัก เอาเป็นว่าเราจะไม่พูดถึงมันแล้วกัน 5555+
หลังจากนั้นเรานัดกับพี่ๆสามคนมาเจอกันและว่าจะไปกินอาหารอินเดีย ร้านอาหารร้านนี้คือดีมาก อาหารพอถูกปากคนไทยอย่างเราๆหน่อย ยกเว้น สปาเกตตี้ แต่ต้มยำคือดีงามฮะ ส่วนผมก็ข้าวแกงกระหรี่ผัก(มังสวิรัติ)
เรากินข้าวเสร็จก็ไปซื้อของกันก่อนเราติดใจสไปรท์ ซีโร่มากๆ และเราก็ไปซื้อกาวร้อนเพื่อมาติดรองเท้าที่มันเปิดซุปเปอร์ร้านนี้พูดอังกฤษได้เราเข้าไป อันยองใส่เลยเพราะนึกว่าเราเป็นคนเกาหลี ยูๆๆ ไอไท่กั๋ว จากนั้นเราเดินไปที่วัด....(ที่มีหมุนๆได้อ่ะ) เราขึ้นไปถ่ายรูปและไปไหว้พระที่วัด...(นั้นแหละที่มันหมุนๆใหญ่ๆ) จากนั้นไปหมุนๆ ระฆังอะไรสักอย่างที่วัด นี้คน 7 คน หมุนกันสามรอบ เหนื่อยไม่เบาเลยแหละ เราลงมาและถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานและแยกย้ายกันกลับที่พัก
ลากันตรงนี้พรุ่งนี้ต่างคนต่างมีแพลนของตัวเอง ตอนกลับมามาอ่านใบที่อยู่ในโรงแรม ความสุ่ยหนิ๋วเกิดคือ o2 ที่นี่ขาย 20 หยวน เราซื้อมา 68 หยวน wtf !!
[CR] คุนหมิง ลี่เจียง แชงกรีล่า ชิดในเลยพี่
เอาละเรามาเริ่มกันเลย... สมาชิกที่ไปคราวนี้ประกอบไปด้วย ผม อีเกมส์ ตุ๊ดหัวโปก พี่มิ้งกับน้องน้ำหวาน สองคนนี้ได้ภาษาจีนในระดับนึงเลย(รอดตายหลายเรื่องเพราะได้สองคนนี้)
10 มี.ค. 61 เริ่มต้นเดินทาง หนีร้อนไปพักหนาว
หลังจากจัดกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อย
เรารีบออกจากบ้านเพื่อแอบไม่ให้ใครเห็น โดยเฉพาะการหนีพนังงานร้านตัวเองนี่แหละ ไม่ให้เห็นว่าเราแอบไปไหนกับชุดเป๋าแดงคู่ใจ
เราเรียกแท็คซี่ไปถึงสนามบิน ตอน 8:00 เพื่อขึ้นเครื่องบินจาก สนามบินดอนเมือง เพื่อไปสนามบิน คุนหมิง ประเทศจีน ตั๋วได้จากเพื่อนที่จอง เรานั่ง air asia และอาหารเช้านี้คือ มาม่ามังสวิรัติ ถ้วยละ 60 บาท
ระหว่างนั้น แอร์ air asia คนนึงดันเป็นรุ่นพี่ของ เพื่อน คุยกันระหว่างทางก็มีแนะนำข้อมูลทั่วไปก่อนที่เราจะออกจากสนามบินไปรับกระเป๋า ช่วงเวลาเดียวกันรู้สึกขึ้นมาได้ว่า หนาว หนาว หนาวว้อยยยย...
พอผ่านจากก ตม. และรับกระเป๋าเรียบร้อย หยิบเสื้อกันหนาวสิ้ครับ... เมื่อเราแต่งตัวพร้อมรับลมหนาวเรียบร้อย เราก็ไปยังโรงแรมที่กดจองไว้
โดยเราคือผู้รับหน้าที่หาทาง ก็เห็นว่าโรงแรม ใกล้กับ สถานี สี่แยกตงฟง เลยหาทางไปยังสถานีรถไฟใต้ดินที่เชื่อมกับสนามบินเลย ค่าตั๋วรถไฟใต้ดินราคาถูกมาก 5 หยวน
เรามั่วๆมึนๆจนถึงสถานี ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ เกือบ 1 ชั่วโมง วินาทีแรกที่ออกมาจาก สถานี หนาวหนักกว่าเดิม เลยรีบๆเพื่อจะเข้าไปที่โรงแรม (ก่อนมาเราได้เตรียมตัวมาพอสมควร โดยเฉพาะ แอพที่น่าจะจำเป็น ตอนนี้เราไว้ใจ map.me ที่สุด) แอพนี้พาเราไปยังโรงแรมได้อย่างถูกต้อง
ถึงแม้เราจะยังเล่นแอพนี้ไม่ชำนาญเท่าไหร่ก็ตาม วันแรกที่เราถึงที่พักก็เริ่มการเดินตะลอนๆๆๆ ไปเรื่อยๆ รอบๆเมือง หลงแล้วหลงอีกเพราะ ชื่อสถานที่ และสิ่งที่ตำรวจบอก โคตรจะไม่ตรงกัน เลยซุยๆไป สรุปก็ไปถึงแหลงช้อปปิ้ง ย่าน jinbi ของคุณหมิง เราเริ่มจากการหาร้านอาหาร เหมือนเดิม เราหาร้านอาหารมังสวิรัติ จากแอพ happy cow เราพาเพื่อนเดินตะลอน และแยกกันเดินเผื่อว่าจะหาร้านอาหารเจอ สรุปเราหาย่านร้านอาหาร เพียบๆให้เพื่อนได้แต่ร้านที่เราอยากกิน มันเจ๊ง เลยต้องไปตะลอนหาใหม่ ซึ่งไกลออกไปประมาณ 2 กิโล
เราตัดสินใจเดินไปจนถึง ร้านอาหารนั้นเป็นบุฟเฟ่ต์ มังสวิรัติ พนักงานน่านักมาก พยายามอธิบายให้เราเข้าใจมากที่สุด เราว่าโอเคมากๆร้านนี้ เสียค่าเสียหายไปทั้งหมด 45 หยวน เพราะความหิว ซัดไปเยอะอยู่
เมื่อกินเสร็จ เราตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเดิน ตามสไตส์เราคือ มั่วทางไปเรื่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ ทั้งเมื่อย ทั้งเหนื่อย 😀 เราเดินมาเจอย่านอะไรไม่รู้ บริเวรนั้นมาการตั้งขาย หมาแมว กระต่าย ริมทาง มีมากมายหลายพันธุ์ ส่วนตัวไม่ค่อยชอบ ดูทรมานกินไปเลยรีบๆเดิน
พอเพื่อนที่กินข้าววเสร็จแล้วให้เราไปเจอเราไปเจอกันที่ Starbucks coffee ตรงถนน เส้น jinbi เดินเล่นจนถึงเย็นก่อนกลับโรงแรม
เราเดินไปไปตามฟุทบาท เจอกลุ่มคนเป็นโปลิโอน่าจะเดินไปเที่ยว โดยที่คนนึงนั่งรถเข็น แต่ทางเดินมีขั้นบันไดทำให้เค้าเอารถขึ้นไม่ได้เพราะมีทางลาด เค้าต้องลุกโดยให้เพื่อนประคอง(เพื่อนก็เป็นแต่น้อยกว่า)ทีนี้เราก็ไปช่วยเค้ายกรถเข็น คำถามสงสัยเกิดขึ้นคือ คุณหมิงพัฒนาไปมากแต่ระบบส่งเสริม คนพิการยังแย่มากๆ ย้อนมองกลับมาที่ไทยได้แง่คิดหลายอย่างมากๆเลย เราได้แต่คิดและเดินกลับไปยังโรงแรม รอเพื่อนที่ท้องเสียนอนซม ตื่นออกไปหาอะไรกินตอนกลางคืน ด้วยชุดกางเกงขาสั้น และรองเท้าแตะขาหนีบ มิน่าคนมองกันตรึม 55555 ค่ำนี้เราได้ผ้าปิดจมูกมาเพิ่ม เพื่อป้องกันลมเย็นเข้าจมูกมากเกินไป เอาละ พรุ่งนี้ต้องขึ้นเครื่องไปแชงกรีล่า ต้องตื่นเช้าและให้โรงแรมหารถ(ซึ่งก็คือเจ้าของโรงแรมนั่นแหละพาขับไป 120 หยวน) คืนนี้ นอนและอาบน้ำด้วยน้ำร้อนน้ำอุ่น ~
11 มี.ค. 62 แชงกรีล่า เมืองเก่าของจีนแต่ก่อน
เราตื่นมาแต่เช้า เพื่อขึ้นรถจะไปสนามบิน เพื่อต่อเครื่องไปยังแชงกรีล่า เราไปถึงนั่นด้วยสายการบิน lucky air ที่ต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม ระหว่างที่เรายืนต่อคิว เช็คอิน
สิ่งที่คิดไว้ว่าต้องเกิดก็เกิดจริงๆ อีมนุษย์ป้าที่จะตกเครื่องเพราะมาช้า มันมาแซงคิว มาเป็นกรุ๊ปเลย อชห แต่ก็โดนอีเกมส์ แผงฤทธิ์ จน จนท. ต้องลากตัวออกไปให้ไปต่อคิวก็ขึ้นเครื่องตามปกติ ระหว่างทางเครื่องบินบินผ่านเขาเหมยลี่ สวยมาก แบบ สวยแต่เสียดายเวลาไม่พอเลยไปไม่ได้
ต่อมาเรามาถึงแชงกรีล่าอากาศที่นี่ หนาวมากๆ แพลนคือเราจะอยู่ที่นี่ สามวันสองคืน พอเราลงมาก็มี ไกด์ท้องถิ่นมาดัก ด้วยความที่เค้าเรียกราคาไปที่พักไม่แพง ก็เลยโอเค ไป พอถึงทางเข้าหน้าโรงแรมซึ่งเป็นเขตเมืองเก่า เราคิดว่าอยากไปหาที่เที่ยวก่อนเพราะทางไกด์จั่วหัวมา ว่าพาไปที่นู่นที่นี่ได้ เราเลยตกลงว่าไป ทะเลสาปนาปาไห่ แล้วค่อยกลับมาโรงแรมแต่ระหว่างทางเค้าเปลี่ยนคันให้น้องชายเค้ามาต่อแทนเค้า เราก็เออ เลยตามเลย ฟังภาษา งงๆ
ทีนี้เรามาถึง ทะเลสาปนาปาไห่ จะเข้าไปชม ต้องเสียค่าขี่ม้าเพื่อเข้าไป โปรแกรมที่ราคาถูกสุดคือ 180 หยวน ก็ไหนๆมาแล้วก็ต้องยอมเสีย ข้างในก็เป็นทางทำไว้แล้ว แต่ทะเลสาปน้ำแห้งมาก เนื่องจากมันก็เลยหน้าฝนมาหลายแล้วอ่ะนะ แต่จุดนั้นก็ถ่ายรูปสวยอยู่ แต่ไอ้คนคุมม้าเรานี่มันโหดชิบเป๋ง ในขณะที่ของเพื่อน ชิลเหลือเกิน -_-
เราเสร็จจากนาปาไห่ ก็แวะไปโรงแรมเลย โดยคนขับรถพามาส่งถึงหน้าโรงแรม เราก็ใช้ map.me อีกรอบในการหาโรงแรม ที่นี่เป็นย่านชุมชนเมืองที่อนุรักษ์ไว้ ส่วนหนึ่งเคยถูกไฟไหม้และได้นับการสร้างใหม่ ให้คงสภาพและวัฒนธรรมตามเดิม ส่วนที่ไม่ถูกไหม้ก็ปรับปรุงบูรณะใหม่ วัฒนธรรมเดิม อาจคงอยู่ แต่การปรับตัวรับการเป็นเมืองและแหล่งท่องเที่ยวก็ทำให้เกิดร้านอาหารร้านค้า โรงแรมมากมาย ทั้งหมดนี้เราก็เห็นได้ชัดจากหลายๆแหล่งท่องเที่ยวในบ้านเรา แต่ที่นี่แตกต่างตรงที่ยังคงเค้าเดิม ไม่เปลี่ยนให้เป็นแบบที่ไม่ใช่ตัวเอง เราชอบตรงนี้
เราใช้เวลาช่วงเย็น เดินเล่นในเมืองจนทั่ว เข้าร้านนู้นร้านนี้ แล้วก็อยากจะได้หมวกขึ้นมา เลยไปได้หมวกมาใบนึง ในราคา50 หยวน ไม่แพงแถมสวยด้วย555
พอมาพูดถึงอาหารมื้อนี้ เหมือนเมื่อวานคือเรากินอาหารมื้อเดียว แปลกที่ไม่ค่อยหิวมาก เราก็ลองหาร้านอาหารมังสวิรัติแล้ว จากหลายๆที่ แต่ไม่ยักกะเจอ เลยไปถามโรงแรม ข้างล่างเค้าเป็นร้านอาหารด้วย เร้าบอกทำให้ได้ ด้วยความหิวโซ เราเลย จัดชุดใหญ่ หม้อไฟ แบบมังสวิรัติ พริกหม่าล่า โอ้อย่างเด็ดในขณะที่ของเพื่อน 1 หม้อกิน 3 คน เรา หม้อนึงเราเหมาคนเดียว จุก และลิ้นชามากๆ พออิ่มก็เดินเล่นต่อจนถึงกลางคืน ค่อยกลับ ส่วนพรุ่งนี้เรานัดให้ไกด์คนเดิม พาไป blue moon valley กับ วัดโปลาน้อย ให้เค้ามาเจอประมาณ 8 โมงเช้า
12 มี.ค. 62 ตัวละครลับ ความบังเอิญ มิตรภาพและสุ่ยหนิ๋วที่แท้ทรู
ไกด์ท้องถิ่นพาเราไปถึง blue moon valley สิ่งแรกคือ ค่าตั๋วแพงมากกกก 220 หยวนในการขึ้นกระเช้า แต่เราจะขึ้นทั้งๆแบบนี้ไม่ได้ เราต้องมีสเปรย์ออกซิเจน เวลาที่เราหายใจลำบากเวลาขึ้นที่สูง โดนไป 68 หยวนเราซื้อมา2 กระป๋อง ตอนเรากำลังจะออกจากร้าน...
เจอคนไทย!!! เป็นพี่ๆ สามคน สายลุยสายถ่ายรูป เรามาทำความรู้จักกกันตอนที่เรานั่งกระเช้าขึ้นไปบนจุดชมวิว ยอดเขา พระจันทร์สีน้ำเงิน โดยพี่แต่ละคนมีความเป็นตัวเองสูงมาก รู้สึกได้เลยว่ารู้จักกันวันเดียว สนิทกันยังกะรู้จักกันเป็นปีๆ 5555
เราขึ้นไปข้างบนยอดเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน ที่จุดสูงสุดที่ความสูง 4500 เมตร จากระดับน้ำทะเล โดยผู้รอดชีวิตที่ขึ้นไปบนยอดมีแค่เรากับพี่มิ้งและพี่ๆสามคนที่พึ่งเจอกัน ถ่ายรูปกันมันส์มาก เราก็แอบเก็บสกิลพี่เค้ามาสั่งสมประสบการณ์การถ่ายรูปของตัวเองไปในตัว กล้องพี่เค้านี่ระดับเทพ ขนลุกกก เราถ่ายรูปและเดินเป็นเวลานานมากๆ จนกระทั่งเพื่อนสองคนที่ไม่ไหวกับอากาศ ต้องลงมารอข้างล่าง เราก็รีบลงเพราะเพื่อนจะไปวัดกัวลาน้อยต่อ และเค้ารอนานแล้ว
โอเคเรารีบลงไปเพื่อไปวัดโปลาน้อยต่อ แต่เราต้องไปกินข้าวกันก่อน คนรถพาไปกินข้าวร้านใกล้ๆวัดโปลาน้อย เราดูๆแล้วก็พอมีอันที่กินได้ก็เลยเลือกเป็นวัตถุดิบให้เค้าผัดแต่เราก็อยากผัดเอง ตามรสชาติแบบไทยๆ แต่เค้าก็ไม่ให้ทำ ทั้งที่วาดเอาไว้ในจินตนาการคืออารมณ์เห็ดผัดพริกออกแห้งๆ แต่สิ่งที่ได้คือ ผัดเห็ดน้ำแฉะๆ แต่เราเอาพริกป่นเค้ามาปรุงเพิ่มคือดีงามขึ้นมากมาย
เรากินเสร็จเราไปที่วัดโปลาน้อย มานี่ต้องซื้อตั๋วค่าเข้า นั่งรถบัสขึ้นไปกันและเราได้เจอคนไทยมาถ่ายพรีเวดดิ้งแต่พี่แกไม่สนใจเราเลยก็ผ่านเลยไปผิดกับกลุ่มพี่ๆสามคนจริงๆ
วัดโปลาน้อยที่นี่ สวยมากๆ สวยแบบ ยังกับปราสาท พระราชวัง ปกติการชมสถาปัตยกรรมจะไม่ค่อยขนลุกนักกับเรา แต่ที่นี่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ ทำเอาฟินไปอีกแบบพูดแล้วขนลุก แต่ค่าเข้าก็แพงพอตัว ประมาณ 100 กว่าหยวน และอีกจุดที่ตามสนใจมากๆคือ นกสีดำปากส้ม มันคือนกอะไรน้อ...
เราลงมาจากวัดโปลาน้อย และเราไปจองตั๋วรถทัวร์กันก่อนเพื่อจะมาลี่เจียง รอบ11 โมง พอเสร็จ เรากลับที่พักเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น มีคนถูกบอกรัก เอาเป็นว่าเราจะไม่พูดถึงมันแล้วกัน 5555+
หลังจากนั้นเรานัดกับพี่ๆสามคนมาเจอกันและว่าจะไปกินอาหารอินเดีย ร้านอาหารร้านนี้คือดีมาก อาหารพอถูกปากคนไทยอย่างเราๆหน่อย ยกเว้น สปาเกตตี้ แต่ต้มยำคือดีงามฮะ ส่วนผมก็ข้าวแกงกระหรี่ผัก(มังสวิรัติ)
เรากินข้าวเสร็จก็ไปซื้อของกันก่อนเราติดใจสไปรท์ ซีโร่มากๆ และเราก็ไปซื้อกาวร้อนเพื่อมาติดรองเท้าที่มันเปิดซุปเปอร์ร้านนี้พูดอังกฤษได้เราเข้าไป อันยองใส่เลยเพราะนึกว่าเราเป็นคนเกาหลี ยูๆๆ ไอไท่กั๋ว จากนั้นเราเดินไปที่วัด....(ที่มีหมุนๆได้อ่ะ) เราขึ้นไปถ่ายรูปและไปไหว้พระที่วัด...(นั้นแหละที่มันหมุนๆใหญ่ๆ) จากนั้นไปหมุนๆ ระฆังอะไรสักอย่างที่วัด นี้คน 7 คน หมุนกันสามรอบ เหนื่อยไม่เบาเลยแหละ เราลงมาและถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานและแยกย้ายกันกลับที่พัก
ลากันตรงนี้พรุ่งนี้ต่างคนต่างมีแพลนของตัวเอง ตอนกลับมามาอ่านใบที่อยู่ในโรงแรม ความสุ่ยหนิ๋วเกิดคือ o2 ที่นี่ขาย 20 หยวน เราซื้อมา 68 หยวน wtf !!
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น