ดักไว้ก่อนนะคะ ไม่ได้มาขายคอร์ส เพราะเกลียดพวกขายคอร์สมาก ไม่ได้มาหาเพื่อนลงทุน เพราะเงินตัวเองมีสายป่านที่ยาวมากๆ พอแล้ว และไม่ได้ต้องการให้ใครมาร่วมแบ่งเงินตรงนี้
จุดประสงค์คือแนะนำ แนะนำหนทางทำเงินใหม่ๆ แล้วให้ไปหาทางทำกันเอง
การลงทุนที่ว่า ก็คือผลิตสินค้าจากประเทศจีน ออกขายทั่วโลก โดยตอนนี้จะมาแชร์วิธีการผลิตสินค้าจากจีนก่อน เหตุผลที่เราเลือกผลิตสินค้าจากประเทศจีน แทนที่จะเป็นประเทศไทย เพราะว่า ค่าแรงถูก ต้นทุนวัสดุถูก และการส่งออกที่ถูก เพียงสามสิ่งนี้ก็เป็นปัจจัยดีๆ ที่ทำให้เกิดกำไรได้แล้วค่ะ
ขั้นตอนที่ 1 เลือกสินค้าที่จะผลิต
สินค้าที่จะผลิต เรามักจะเลือกจากสามหลักการนี้คือ
1. สินค้าที่ใช้เป็นประจำทุกวัน
2. สินค้าที่ใช้แล้วหมดไปต้องซื้อตลอด
3. สินค้าที่ไม่อยู่ในหมวดสินค้าฟุ่มเฟือย
สามสิ่งนี้เป็นเกณฑ์การตัดสินใจว่าจะเลือกผลิตสินค้าอะไร เมื่อมีโจทย์สามอย่างนี้แล้วเราก็คัดเลือกออกมาได้เป็นสินค้า ประมาณนี้ โดยเราจะตัดสินค้าที่มีผลต่อการส่งออก เช่นอาหาร และสารเคมีออกไป และเลือกสินค้าชิ้นเล็ก เพื่อสะดวกต่อต้นทุนการขนส่ง โดยแยกการส่งออกเป็นโซน ดังนี้
โซนเอเชีย ในกระทู้นี้จะขอเอ่ยถึงสินค้าเฉพาะในโซนเอเชียนะคะ เรามักจะเลือกสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันของคนเอเชีย นั่นก็คือ
- ไม้แขวนเสื้อ
- ที่หนีบผ้า
- กล่องใส่ของ
- ตะกร้า
ถามว่าสินค้าพวกนี้ไม่มีผลิตและขายในไทยหรือ ก็มีค่ะ แต่ว่าการผลิตจากจีนแล้วนำเข้ามาขาย หรือส่งออกไปขายในหลายๆ ประเทศ เราไปแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดใหญ่ๆ แม้แย่งชิงมาได้ในจำนวนน้อยๆ ก็กำไรมหาศาลค่ะ เรามาว่ากันเรื่องไม้แขวนเสื้อ ละกันเนอะ
ยกตัวอย่างเช่นไม้แขวนเสื้อ ผลิตจากเมืองไทย ต้นทุนต่อชิ้นไม่ขอเอ่ยถึงราคาในไทย แต่ให้ดูราคาจากผู้ผลิตจีนละกันนะคะ เพราะเรื่องราคาเนี่ย โดยมากเลยในไทย ก็จะรับขึ้นรูปพลาสติคตามสั่ง ราคาก็ต้องมีการเสนองานกัน ถึงจะได้ราคามา หลังจากที่เราสำรวจอยู่ครึ่งปี ก็พบว่าไม่น่าลงทุนค่ะ จึงไปเริ่มต้นที่จีน ราคาในจีน ตกต่อ 10,000 ชิ้นคือ 400 หยวน ตีถ้วนๆ เลยก็ x5 บาทเข้าไปก็ตก 2,000 บาท ต่อ 10,000 ชิ้น ราคาสินค้าผลิตใหม่นะคะ ไม่ใช่มือสอง ราคานี้คือรวมแบบ รวมบล๊อคแล้ว เรียกว่าก็ตกชิ้นละ 20 สตางค์บ้านเรา ยิ่งสั่งเยอะ ก็ยิ่งถูกลง
ถามว่า 10,000 ชิ้น นำมาจัดชุดขายได้กี่บาท ก็ถ้าขายโหลนึง แบบถูกๆ ที่ขายตามบิ๊กซีโลตัส ก็โหลละ 30-60 บาท แต่ต้นทุนโหลนึงคือ 2.4 บาท คำนวนกำไรกันเองเน้อ ถามว่าราคาต้นทุนนี้ต้องสั่งทีละล้านชิ้นมั้ย ก็ไม่ค่ะ สมัยก่อน เน้นสั่งเยอะราคาถูก สมัยนี้ เน้น min order ในจำนวนต่ำ เพราะว่า มีเครื่องมือที่ผลิตสินค้าในราคาต่ำๆ ได้แล้วเยอะแยะ พลาสติคพวกนี้ก็ recycle ค่ะ ซึ่งราคาเม็ดพลาสติคในไทยที่ recycle แล้ว มันก็ไม่ถูกนะคะ เราก็ไม่รู้ว่าที่โรงงานจีน ทำไมผลิตได้ถูกขนาดนี้ ซึ่งก็ไม่ทราบราคาเม็ดพลาสติคในจีนนะคะ
แล้วคุณภาพละ เท่าที่ลองใช้ คุณภาพไม่ต่างกับที่ซื้อสินค้าในไทยค่ะ บางอย่างก็ทนกว่า อย่างในไทยจะนิยมใช้ลวด แล้วสักพักลวดก็ขึ้นสนิม หรือไม่ก็พลาสติคที่เคลือบลวดหลุดออกไป ทำให้สนิมเลอะเสื้อผ้า จุกขาวๆ ที่ปิดบนหัวลวดมักจะหลุดหายก่อน ทำให้มีความคมของลวดออกมา หรือถ้าเทียบกับไม้แขวนแบบพลาสติคของบ้านเรา ก็ราคาแพงค่ะ เคยซื้อถูกสุดก็ 10 ชิ้น 55 บาทในบิ๊กซี แต่ใช้งานพอกัน
สีของพลาสติคและรูปแบบ ในจีนผลิตออกมาได้สวยกว่า และเราสามารถเลือกดีไซน์หรือออกแบบเองได้ แต่เรามักจะเลือกที่เค้ามีบล๊อคอยู่แล้ว เพราะว่าไม่เสียค่าบล๊อค ซึ่งแบบของเค้าก็มีสวยๆ เยอะ และแปลกตากว่าแบบที่มีในไทย สไตล์เกาหลี สไตล์ญี่ปุ่นก็มีค่ะ ซึ่งมันไม่ต่างกันมากนะ แต่ถ้าใครซื้อไม้แขวนเสื้อบ่อยๆ จะรู้ว่าแบบนี้ดูดี แบบนี้ดูไม่ดี มันก็มีความต่างอยู่นิดหน่อย
นี่เป็นแบบที่เรามักจะสั่งค่ะ ขายปลีกกันอยู่ที่ชิ้นละประมาณ 8 บาท จะเห็นว่าราคาต่างกับขายส่งมาก เพราะขายปลีกขายเป็นชิ้น แต่ขายส่ง ขายเป็นลอท ถ้าเราสั่งผลิตเอง สไตล์นี้หน้าตาแบบนี้เลยอยู่ที่ 10,000 ชิ้นต่อ 400 หยวนค่ะ สั่งขั้นต่ำคือ 10,000 ชิ้นนะคะ
ถ้าในไทย เรื่องสีพลาสติค ก็จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นค่ะ แต่ถ้าในจีน สีพลาสติคจะมีโทนให้เลือกได้โดยไม่มี cost เพิ่ม สไตล์นี้จะขายดีมากที่สุด เพราะตัวไม้แขวนเองมีฟังก์ชั่นอยู่ในตัว แขวนผ้าชิ้นเล็กได้ หนีบได้ แขวนเสื้อสายเดี่ยวได้ โดยเราไม่เลือกแบบที่เว้าจากขอบไม้แขวน เพราะเวลาแขวนเสื้อยึดแล้วมันไม่ตกตรงขอบเว้า จะทำให้เสื้อยืดเป็นรอยไม้แขวน แบบนี้ดีตรง ถ้าจะแขวนเสื้อสายเดี่ยวก็เลือกเกาะจากด้านในได้ ด้านนอกแขวนเสื้อยืดได้เรียบเนียนไม่มีรอย และแบบนี้ก็ขายดีที่สุดเท่าที่เราเคยทำมาค่ะ
ขั้นตอนที่ 2 เช็คต้นทุนอื่นๆ ต้นทุนอื่นๆ มีดังนี้ค่ะ
1. ค่าใบอนุญาต มอก ของจีน (ไม่เสียค่ะ ถ้าเราทำตามแบบที่เค้ามี ถ้านอกเหนือแบบที่มีจะมีค่ารายการตรงนี้ประมาณ 1,500 หยวน)
2. ค่าขนส่ง หากเราสั่งรวมแล้วเป็นเงินมากกว่า 100,000 หยวน และส่งออกไปประเทศในแถบเอเชียทั้งหมด เค้าจะส่งออกให้เราฟรี 1 ตันค่ะ ตันที่ 2 ถึงจะเริ่มคิดค่าขนส่ง โดยค่าขนส่งก็จะถูกมาก คิดเป็นต่อชิ้น ประมาณ 1 บาท (รวมภาษีนำเข้าหมดทุกอย่างแล้วนะคะ) อันนี้คิดออกมาให้เห็นกันง่ายๆ ค่ะ ก็เท่ากับต้นทุนตอนนี้ 1.20 บาทต่อชิ้น ยกเว้นอินโดนีเซีย อินเดีย และฟิลิปปินส์ ต้นทุนค่าขนส่งต่อชิ้นจะประมาณ 1.75 บาท ค่ะ เท่ากับโดยรวมแล้วต้นทุนต่อชิ้นจะยังอยู่ที่ไม่เกิน 2 บาทต่อชิ้น
จะนำไปขายในประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างไร แนะนำสองประเทศนี้ก่อน เพราะว่านิยมสินค้าจากจีนมาก และยังมีการขนส่งที่สะดวกสบายอีกด้วย นั่นก็คือ เวียดนามและลาว
เวียดนามนั้น จะมีบริษัทที่รับซื้อสินค้าเราต่อ เพื่อนำไปวางขายในห้าง โดยเราเสนอราคาสินค้าที่ถูก และเค้าสนใจ เค้าก็จะซื้อสินค้าเราเป็นจำนวนมาก ไปติดแบรนด์เอง แล้วนำไปขายในห้าง ตรงนี้เราก็ไม่มีต้นทุนอะไร เพียงแต่ขายและส่งสินค้าให้เค้าเท่านั้นจบ
แต่ถ้าเราต้องการจะติดแบรนด์เอง ตรงนี้ไม่แนะนำค่ะ เพราะคุณจะต้องไปขออนุญาติ มอก ในประเทศเค้า ในฐานะแบรนด์ของคุณเอง แล้วก็ต้องจดจัดตั้งบริษัทแล้วเสียภาษีเอง
ในลาวก็เช่นกัน ก็จะมีบริษัทที่รับซื้อสินค้าเราต่อ แล้วนำไปวางขายในห้าง เหมือนๆ กับเวียดนาม และถ้าเราทำแบรนด์ตัวเราเอง ก็ต้องจดบริษัท และเสียภาษีขออนุญาติมาตรฐาน มอก อะไรอีกหลายอย่าง
ขั้นตอนที่ 3 หาทางเลือกที่ดีในการจัดจำหน่าย ขายในจีนค่ะ ให้เค้ามาซื้อสินค้าของเราไปติดแบรนด์และขายในประเทศอื่นๆ แทน เราก็แค่ทำการส่งสินค้าไปให้เค้า และยังสามารถขายได้ทั่วโลกอีกด้วย
ขายในจีนทำยังไงหล่ะ ก็ไม่ยากอะไรเลย คุณก็แค่สมัคร alibaba.com เป็น seller แบบพรีเมี่ยม โดยมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ปีละ 55,000 บาทโดยประมาณ แล้วจากนั้นก็ สั่งผลิตสินค้าจากโรงงานในจีน แล้วนำสินค้าต้นแบบของคุณ โพสลงขายที่ alibaba แบบ premium seller (เพราะถ้าไม่ใช่ premium รับรองขายไม่ออก) จากนั้นเมื่อมี order คุณก็ให้ทางโรงงาน ทำการจัดจำนวนชุดตามสั่ง ส่งไปที่ลูกค้า จบค่ะ ง่ายๆ สวยๆ และที่สำคัญนะคะ ค่าขนส่ง ลูกค้าเป็นผู้จ่ายค่ะ
ดังนั้นก็จะกลับมาที่ต้นทุนการผลิต 20 สตางค์ต่อชิ้นถูกมั้ยคะ คุณก็จัดลงขายเลยค่ะ โดย search ราคาตลาดทั้งหมดใน alibaba ก่อน ว่าเค้าขายรูปแบบคุณกันอยู่ที่เท่าไหร่ สำหรับตัวนี้ก็มีขายอยู่ที่ราคา 0.20USD โดยมากนะคะ เราก็ขายที่ 0.10 - 0.15 USD เราก็จะแย่งฐานลูกค้ามาได้ระดับนึง สำหรับลูกค้าที่ชอบลองของใหม่ แต่ราคาถูก เค้าก็จะทดลองซื้อไปก่อน แล้วเมื่อเห็นว่าไม่ต่างกัน เค้าก็จะมาเลือกเรามากขึ้น
0.10 USD ก็เท่ากับตกอันละ 3 บาท (ตีกลมๆ) คุณก็กำไรอันละ 2.80 บาทแล้ว วันนึงขายได้หมื่นชิ้น ก็ได้ 28,000 บาท โดยมากบริษัทที่ซื้อไปติดแบรนด์เอง ก็จะซื้อครั้งละแสนชิ้นขึ้นไป แต่ถ้าเค้าทดลองซื้อก่อน เค้าก็จะซื้อที่ หมื่นชิ้นหรือห้าพันชิ้น
และขอบอกเลยว่าสินค้าแบบนี้ขายได้ทุกวันค่ะ คุณผลิตให้ทันก็พอ ยิ่งดีไซน์ของคุณสวยเท่าไหร่ ดูแพงเท่าไหร่ แต่ราคาสวนทาง คุณยิ่งจะขายได้ดีค่ะ เพราะลูกค้าที่ซื้อไป เค้าเอาไปทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ เค้าเอาไปจัดชุดขายโหลละ 65-99 ได้สบายๆ
ถามว่าเราต้องไปจีนมั้ย ตอนที่ดิฉันเริ่มทำ ไม่ได้ไปจีนค่ะ สั่งแล้วก็ลงขายเลย แต่หลังๆ มีสินค้าเยอะขึ้น ดิฉันก็ไปเปิดบริษัทในจีนมาได้ประมาณ 3 ปีแล้ว ตอนนี้งานก็เริ่มล้นมือขึ้นมากๆ สินค้าพวกนี้ขายได้ไม่มีวันหมด แต่ระหว่างนั้นดิฉันก็เคยพยายามลองหา innovation ใหม่ๆ พบว่ายังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
สินค้าที่ขายได้ดี และทำกำไรแบบไม่มีวันจบสิ้นก็คือสินค้าธรรมดาๆ ที่มีใช้กันทุกบ้านนี่แหละค่ะ อยากได้ความรู้ด้านไหนเพิ่มเติม สอบถามได้ในกระทู้นะคะ ขอไม่ตอบหลังไมค์ เดี๋ยวมีคนหาว่ามาขายคอร์สบ้าบอ สอบถามในกระทู้เลยค่ะ คนอื่นจะได้ทราบด้วย ไว้เป็นแนวทางร่วมกันค่ะ ยินดีตอบให้ทุกข้อสงสัยในธุรกิจค่ะ แต่ไม่รับทำให้นะคะ มาแนะแนวทางให้แล้ว คนที่มีใจอยากทำธุรกิจ มักจะเริ่มและทำทันทีด้วยตัวเองอยู่แล้วค่ะ บางคนมองข้ามสิ่งทำกำไรง่ายๆ แต่บางคนเมื่อรู้แล้วก็จะไม่ปล่อยให้หลุดมือ
สำหรับสินค้าไทย ก็เคยนำเข้าไปขายนะคะ แต่ต้นทุนการขนส่ง นำเข้า(ไปจีน) ยังสูงอยู่มากๆ ดิฉันจึงเลือกสินค้าไทยไว้จำหน่ายในช่องทางอื่นแทน ซึ่งตอนนี้ยังปั้นอยู ถ้าปั้นสำเร็จเมื่อไหร่จะมาแชร์ประสบการณ์ให้ฟังกันนะคะ
ไม้แขวนเสื้อ ลงทุนแนวเก่า ผลิตสินค้าขายเอง อยากแชร์ประสบการณ์ไว้เป็นทางเลือกของนักลงทุนค่ะ
จุดประสงค์คือแนะนำ แนะนำหนทางทำเงินใหม่ๆ แล้วให้ไปหาทางทำกันเอง
การลงทุนที่ว่า ก็คือผลิตสินค้าจากประเทศจีน ออกขายทั่วโลก โดยตอนนี้จะมาแชร์วิธีการผลิตสินค้าจากจีนก่อน เหตุผลที่เราเลือกผลิตสินค้าจากประเทศจีน แทนที่จะเป็นประเทศไทย เพราะว่า ค่าแรงถูก ต้นทุนวัสดุถูก และการส่งออกที่ถูก เพียงสามสิ่งนี้ก็เป็นปัจจัยดีๆ ที่ทำให้เกิดกำไรได้แล้วค่ะ
ขั้นตอนที่ 1 เลือกสินค้าที่จะผลิต
สินค้าที่จะผลิต เรามักจะเลือกจากสามหลักการนี้คือ
1. สินค้าที่ใช้เป็นประจำทุกวัน
2. สินค้าที่ใช้แล้วหมดไปต้องซื้อตลอด
3. สินค้าที่ไม่อยู่ในหมวดสินค้าฟุ่มเฟือย
สามสิ่งนี้เป็นเกณฑ์การตัดสินใจว่าจะเลือกผลิตสินค้าอะไร เมื่อมีโจทย์สามอย่างนี้แล้วเราก็คัดเลือกออกมาได้เป็นสินค้า ประมาณนี้ โดยเราจะตัดสินค้าที่มีผลต่อการส่งออก เช่นอาหาร และสารเคมีออกไป และเลือกสินค้าชิ้นเล็ก เพื่อสะดวกต่อต้นทุนการขนส่ง โดยแยกการส่งออกเป็นโซน ดังนี้
โซนเอเชีย ในกระทู้นี้จะขอเอ่ยถึงสินค้าเฉพาะในโซนเอเชียนะคะ เรามักจะเลือกสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันของคนเอเชีย นั่นก็คือ
- ไม้แขวนเสื้อ
- ที่หนีบผ้า
- กล่องใส่ของ
- ตะกร้า
ถามว่าสินค้าพวกนี้ไม่มีผลิตและขายในไทยหรือ ก็มีค่ะ แต่ว่าการผลิตจากจีนแล้วนำเข้ามาขาย หรือส่งออกไปขายในหลายๆ ประเทศ เราไปแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดใหญ่ๆ แม้แย่งชิงมาได้ในจำนวนน้อยๆ ก็กำไรมหาศาลค่ะ เรามาว่ากันเรื่องไม้แขวนเสื้อ ละกันเนอะ
ยกตัวอย่างเช่นไม้แขวนเสื้อ ผลิตจากเมืองไทย ต้นทุนต่อชิ้นไม่ขอเอ่ยถึงราคาในไทย แต่ให้ดูราคาจากผู้ผลิตจีนละกันนะคะ เพราะเรื่องราคาเนี่ย โดยมากเลยในไทย ก็จะรับขึ้นรูปพลาสติคตามสั่ง ราคาก็ต้องมีการเสนองานกัน ถึงจะได้ราคามา หลังจากที่เราสำรวจอยู่ครึ่งปี ก็พบว่าไม่น่าลงทุนค่ะ จึงไปเริ่มต้นที่จีน ราคาในจีน ตกต่อ 10,000 ชิ้นคือ 400 หยวน ตีถ้วนๆ เลยก็ x5 บาทเข้าไปก็ตก 2,000 บาท ต่อ 10,000 ชิ้น ราคาสินค้าผลิตใหม่นะคะ ไม่ใช่มือสอง ราคานี้คือรวมแบบ รวมบล๊อคแล้ว เรียกว่าก็ตกชิ้นละ 20 สตางค์บ้านเรา ยิ่งสั่งเยอะ ก็ยิ่งถูกลง
ถามว่า 10,000 ชิ้น นำมาจัดชุดขายได้กี่บาท ก็ถ้าขายโหลนึง แบบถูกๆ ที่ขายตามบิ๊กซีโลตัส ก็โหลละ 30-60 บาท แต่ต้นทุนโหลนึงคือ 2.4 บาท คำนวนกำไรกันเองเน้อ ถามว่าราคาต้นทุนนี้ต้องสั่งทีละล้านชิ้นมั้ย ก็ไม่ค่ะ สมัยก่อน เน้นสั่งเยอะราคาถูก สมัยนี้ เน้น min order ในจำนวนต่ำ เพราะว่า มีเครื่องมือที่ผลิตสินค้าในราคาต่ำๆ ได้แล้วเยอะแยะ พลาสติคพวกนี้ก็ recycle ค่ะ ซึ่งราคาเม็ดพลาสติคในไทยที่ recycle แล้ว มันก็ไม่ถูกนะคะ เราก็ไม่รู้ว่าที่โรงงานจีน ทำไมผลิตได้ถูกขนาดนี้ ซึ่งก็ไม่ทราบราคาเม็ดพลาสติคในจีนนะคะ
แล้วคุณภาพละ เท่าที่ลองใช้ คุณภาพไม่ต่างกับที่ซื้อสินค้าในไทยค่ะ บางอย่างก็ทนกว่า อย่างในไทยจะนิยมใช้ลวด แล้วสักพักลวดก็ขึ้นสนิม หรือไม่ก็พลาสติคที่เคลือบลวดหลุดออกไป ทำให้สนิมเลอะเสื้อผ้า จุกขาวๆ ที่ปิดบนหัวลวดมักจะหลุดหายก่อน ทำให้มีความคมของลวดออกมา หรือถ้าเทียบกับไม้แขวนแบบพลาสติคของบ้านเรา ก็ราคาแพงค่ะ เคยซื้อถูกสุดก็ 10 ชิ้น 55 บาทในบิ๊กซี แต่ใช้งานพอกัน
สีของพลาสติคและรูปแบบ ในจีนผลิตออกมาได้สวยกว่า และเราสามารถเลือกดีไซน์หรือออกแบบเองได้ แต่เรามักจะเลือกที่เค้ามีบล๊อคอยู่แล้ว เพราะว่าไม่เสียค่าบล๊อค ซึ่งแบบของเค้าก็มีสวยๆ เยอะ และแปลกตากว่าแบบที่มีในไทย สไตล์เกาหลี สไตล์ญี่ปุ่นก็มีค่ะ ซึ่งมันไม่ต่างกันมากนะ แต่ถ้าใครซื้อไม้แขวนเสื้อบ่อยๆ จะรู้ว่าแบบนี้ดูดี แบบนี้ดูไม่ดี มันก็มีความต่างอยู่นิดหน่อย
นี่เป็นแบบที่เรามักจะสั่งค่ะ ขายปลีกกันอยู่ที่ชิ้นละประมาณ 8 บาท จะเห็นว่าราคาต่างกับขายส่งมาก เพราะขายปลีกขายเป็นชิ้น แต่ขายส่ง ขายเป็นลอท ถ้าเราสั่งผลิตเอง สไตล์นี้หน้าตาแบบนี้เลยอยู่ที่ 10,000 ชิ้นต่อ 400 หยวนค่ะ สั่งขั้นต่ำคือ 10,000 ชิ้นนะคะ
ถ้าในไทย เรื่องสีพลาสติค ก็จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นค่ะ แต่ถ้าในจีน สีพลาสติคจะมีโทนให้เลือกได้โดยไม่มี cost เพิ่ม สไตล์นี้จะขายดีมากที่สุด เพราะตัวไม้แขวนเองมีฟังก์ชั่นอยู่ในตัว แขวนผ้าชิ้นเล็กได้ หนีบได้ แขวนเสื้อสายเดี่ยวได้ โดยเราไม่เลือกแบบที่เว้าจากขอบไม้แขวน เพราะเวลาแขวนเสื้อยึดแล้วมันไม่ตกตรงขอบเว้า จะทำให้เสื้อยืดเป็นรอยไม้แขวน แบบนี้ดีตรง ถ้าจะแขวนเสื้อสายเดี่ยวก็เลือกเกาะจากด้านในได้ ด้านนอกแขวนเสื้อยืดได้เรียบเนียนไม่มีรอย และแบบนี้ก็ขายดีที่สุดเท่าที่เราเคยทำมาค่ะ
ขั้นตอนที่ 2 เช็คต้นทุนอื่นๆ ต้นทุนอื่นๆ มีดังนี้ค่ะ
1. ค่าใบอนุญาต มอก ของจีน (ไม่เสียค่ะ ถ้าเราทำตามแบบที่เค้ามี ถ้านอกเหนือแบบที่มีจะมีค่ารายการตรงนี้ประมาณ 1,500 หยวน)
2. ค่าขนส่ง หากเราสั่งรวมแล้วเป็นเงินมากกว่า 100,000 หยวน และส่งออกไปประเทศในแถบเอเชียทั้งหมด เค้าจะส่งออกให้เราฟรี 1 ตันค่ะ ตันที่ 2 ถึงจะเริ่มคิดค่าขนส่ง โดยค่าขนส่งก็จะถูกมาก คิดเป็นต่อชิ้น ประมาณ 1 บาท (รวมภาษีนำเข้าหมดทุกอย่างแล้วนะคะ) อันนี้คิดออกมาให้เห็นกันง่ายๆ ค่ะ ก็เท่ากับต้นทุนตอนนี้ 1.20 บาทต่อชิ้น ยกเว้นอินโดนีเซีย อินเดีย และฟิลิปปินส์ ต้นทุนค่าขนส่งต่อชิ้นจะประมาณ 1.75 บาท ค่ะ เท่ากับโดยรวมแล้วต้นทุนต่อชิ้นจะยังอยู่ที่ไม่เกิน 2 บาทต่อชิ้น
จะนำไปขายในประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างไร แนะนำสองประเทศนี้ก่อน เพราะว่านิยมสินค้าจากจีนมาก และยังมีการขนส่งที่สะดวกสบายอีกด้วย นั่นก็คือ เวียดนามและลาว
เวียดนามนั้น จะมีบริษัทที่รับซื้อสินค้าเราต่อ เพื่อนำไปวางขายในห้าง โดยเราเสนอราคาสินค้าที่ถูก และเค้าสนใจ เค้าก็จะซื้อสินค้าเราเป็นจำนวนมาก ไปติดแบรนด์เอง แล้วนำไปขายในห้าง ตรงนี้เราก็ไม่มีต้นทุนอะไร เพียงแต่ขายและส่งสินค้าให้เค้าเท่านั้นจบ
แต่ถ้าเราต้องการจะติดแบรนด์เอง ตรงนี้ไม่แนะนำค่ะ เพราะคุณจะต้องไปขออนุญาติ มอก ในประเทศเค้า ในฐานะแบรนด์ของคุณเอง แล้วก็ต้องจดจัดตั้งบริษัทแล้วเสียภาษีเอง
ในลาวก็เช่นกัน ก็จะมีบริษัทที่รับซื้อสินค้าเราต่อ แล้วนำไปวางขายในห้าง เหมือนๆ กับเวียดนาม และถ้าเราทำแบรนด์ตัวเราเอง ก็ต้องจดบริษัท และเสียภาษีขออนุญาติมาตรฐาน มอก อะไรอีกหลายอย่าง
ขั้นตอนที่ 3 หาทางเลือกที่ดีในการจัดจำหน่าย ขายในจีนค่ะ ให้เค้ามาซื้อสินค้าของเราไปติดแบรนด์และขายในประเทศอื่นๆ แทน เราก็แค่ทำการส่งสินค้าไปให้เค้า และยังสามารถขายได้ทั่วโลกอีกด้วย
ขายในจีนทำยังไงหล่ะ ก็ไม่ยากอะไรเลย คุณก็แค่สมัคร alibaba.com เป็น seller แบบพรีเมี่ยม โดยมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ปีละ 55,000 บาทโดยประมาณ แล้วจากนั้นก็ สั่งผลิตสินค้าจากโรงงานในจีน แล้วนำสินค้าต้นแบบของคุณ โพสลงขายที่ alibaba แบบ premium seller (เพราะถ้าไม่ใช่ premium รับรองขายไม่ออก) จากนั้นเมื่อมี order คุณก็ให้ทางโรงงาน ทำการจัดจำนวนชุดตามสั่ง ส่งไปที่ลูกค้า จบค่ะ ง่ายๆ สวยๆ และที่สำคัญนะคะ ค่าขนส่ง ลูกค้าเป็นผู้จ่ายค่ะ
ดังนั้นก็จะกลับมาที่ต้นทุนการผลิต 20 สตางค์ต่อชิ้นถูกมั้ยคะ คุณก็จัดลงขายเลยค่ะ โดย search ราคาตลาดทั้งหมดใน alibaba ก่อน ว่าเค้าขายรูปแบบคุณกันอยู่ที่เท่าไหร่ สำหรับตัวนี้ก็มีขายอยู่ที่ราคา 0.20USD โดยมากนะคะ เราก็ขายที่ 0.10 - 0.15 USD เราก็จะแย่งฐานลูกค้ามาได้ระดับนึง สำหรับลูกค้าที่ชอบลองของใหม่ แต่ราคาถูก เค้าก็จะทดลองซื้อไปก่อน แล้วเมื่อเห็นว่าไม่ต่างกัน เค้าก็จะมาเลือกเรามากขึ้น
0.10 USD ก็เท่ากับตกอันละ 3 บาท (ตีกลมๆ) คุณก็กำไรอันละ 2.80 บาทแล้ว วันนึงขายได้หมื่นชิ้น ก็ได้ 28,000 บาท โดยมากบริษัทที่ซื้อไปติดแบรนด์เอง ก็จะซื้อครั้งละแสนชิ้นขึ้นไป แต่ถ้าเค้าทดลองซื้อก่อน เค้าก็จะซื้อที่ หมื่นชิ้นหรือห้าพันชิ้น
และขอบอกเลยว่าสินค้าแบบนี้ขายได้ทุกวันค่ะ คุณผลิตให้ทันก็พอ ยิ่งดีไซน์ของคุณสวยเท่าไหร่ ดูแพงเท่าไหร่ แต่ราคาสวนทาง คุณยิ่งจะขายได้ดีค่ะ เพราะลูกค้าที่ซื้อไป เค้าเอาไปทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ เค้าเอาไปจัดชุดขายโหลละ 65-99 ได้สบายๆ
ถามว่าเราต้องไปจีนมั้ย ตอนที่ดิฉันเริ่มทำ ไม่ได้ไปจีนค่ะ สั่งแล้วก็ลงขายเลย แต่หลังๆ มีสินค้าเยอะขึ้น ดิฉันก็ไปเปิดบริษัทในจีนมาได้ประมาณ 3 ปีแล้ว ตอนนี้งานก็เริ่มล้นมือขึ้นมากๆ สินค้าพวกนี้ขายได้ไม่มีวันหมด แต่ระหว่างนั้นดิฉันก็เคยพยายามลองหา innovation ใหม่ๆ พบว่ายังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
สินค้าที่ขายได้ดี และทำกำไรแบบไม่มีวันจบสิ้นก็คือสินค้าธรรมดาๆ ที่มีใช้กันทุกบ้านนี่แหละค่ะ อยากได้ความรู้ด้านไหนเพิ่มเติม สอบถามได้ในกระทู้นะคะ ขอไม่ตอบหลังไมค์ เดี๋ยวมีคนหาว่ามาขายคอร์สบ้าบอ สอบถามในกระทู้เลยค่ะ คนอื่นจะได้ทราบด้วย ไว้เป็นแนวทางร่วมกันค่ะ ยินดีตอบให้ทุกข้อสงสัยในธุรกิจค่ะ แต่ไม่รับทำให้นะคะ มาแนะแนวทางให้แล้ว คนที่มีใจอยากทำธุรกิจ มักจะเริ่มและทำทันทีด้วยตัวเองอยู่แล้วค่ะ บางคนมองข้ามสิ่งทำกำไรง่ายๆ แต่บางคนเมื่อรู้แล้วก็จะไม่ปล่อยให้หลุดมือ
สำหรับสินค้าไทย ก็เคยนำเข้าไปขายนะคะ แต่ต้นทุนการขนส่ง นำเข้า(ไปจีน) ยังสูงอยู่มากๆ ดิฉันจึงเลือกสินค้าไทยไว้จำหน่ายในช่องทางอื่นแทน ซึ่งตอนนี้ยังปั้นอยู ถ้าปั้นสำเร็จเมื่อไหร่จะมาแชร์ประสบการณ์ให้ฟังกันนะคะ