คุณพ่อเราหัวดื้อมาก ป่วยเป็นโรคหัวใจเคยทำบอลลูนมาสามครั้งแล้วแต่ก็ยัง...

คุณพ่ออายุ 57 ปี ป่วยเป็นโรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน โรคไต พ่อเคยทำบอลลูนมาสามครั้งแล้ว ล่าสุดน้ำท่วมปอดเกือบไม่รอดจนต้องเข้าห้อง ICU พอออกมาจากโรงพยาบาล แรกๆแกก็ใช้ชีวิตประจำวันดีขึ้น ไม่ดื่ม ไม่กินของมันของหวานมากเกินไป ออกกำลังกายบ่อยขึ้น แต่พักหลังพออาการเริ่มทรงตัวพ่อก็เริ่มกลับไปดื่มเหล้าดื่มเบียร์อีกเหมือนเดิม แถมพอออกกำลังกายไปซักพักก็เริ่มเหนื่อยเริ่มเพลีย ตรงนี้เราพอเข้าใจอยู่ว่าอาจจะเกี่ยวกับอายุที่เพิ่มมากขึ้นด้วย เราเลยสงสัยว่าคนเป็นโรคหัวใจควรจะปฎิบัติกับเขาด้วยวิธีไหนดี เพราะพ่อเราเป็นคนที่ชอบกินตามใจปากมาก แถมยังหัวดื้อหัวรั้นแบบสุดๆ ควรจะพูดตักเตือนหรีอทำแบบไหนกับคนประเภทนี้ถึงจะดีคะ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าเราเป็นคนหนึ่งที่พูดไม่เก่งเอามากๆ จะให้ไปพูดคำพูดอะไรสวยหรู เพื่อโน้มน้าวชักจูงใครต่อใครยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลยค่ะ(มันจะรู้สึกเขินๆ) แถมยังเถียงใครไม่ค่อยจะชนะด้วย TOT




***สถานการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2561  (ตรงส่วนนี้ไม่ต้องอ่านก็ได้ค่ะ เราขอระบายอารมณ์เฉยๆ)

ครั้งล่าสุดที่พ่อน้ำท่วมปอด แรกๆ พ่อเรามีอาการเป็นกรดไหลย้อน วิงเวียน แต่แกกลับไม่ยอมไปหาหมอ ทิ้งช่วงไว้หลายสัปดาห์และในระหว่างนั้นแกก็กินดื่มไปตามปกติจนเริ่มมีอาการแน่นหน้าอก หน้าซีดขาว อ่อนเพลีย ขาบวมตึง พอหนูเริ่มรู้สึกไม่ไหวจนต้องบอกต้องบ่นให้พ่อไปหาหมอ ขนาดพวกเพื่อนๆพ่อ หรือแม้แต่ญาติๆยังได้ดุได้บ่นให้แก แต่ไม่ว่าใครจะพูดยังไงแกก็ยังไม่ยอมไปหาหมออยู่ดี เพราะพ่อคิดว่าถ้าตัวเองไปก็คงได้แค่เสียเงินค่ายาค่ารักษาเพิ่มเฉยๆ หรือไม่ก็คงโดนจับนอนโรงพยาบาลลูกเดียวเท่านั้น
ตือเรื่องนี้มันมีเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง เพราะพ่อหนูเป็นเสาหลักของบ้าน แกเลยค่อนข้างที่จะห่วงงานห่วงกิจการที่บ้านมาก แถมเป็นเพราะช่วงนั้นคุณแม่ไม่ค่อยจะได้อยู่ที่บ้าน ต้องไปดูแลน้องที่ต่างจังหวัดอยู่บ่อยๆ เลยไม่มีคนคอยช่วยพ่อดูแลกิจการที่ร้าน ส่วนเราพึ่งอายุ 18 ปี ยังไม่รู้ความรู้งานอะไรมาก ได้แต่นั่งทอนเงินคิดบิล เพราะบริหารร้านยังไม่เป็นเลยช่วงแบ่งเบาภาระพ่อได้ไม่มาก จนมาถึงวันที่อาการพ่อทรุดหนักจริงๆ แม่เรากลับมาถึงบ้านพอดี เราเลยได้โอกาสบังคับพาพ่อไปโรงพยาบาล แต่พอไปถึงที่แกกลับบอกให้คนขับรถเปลี่ยนเส้นทางไปที่คลินิกธรรมดาแทน แล้วคลินิกที่เลือกไปดันเป็นคลินิกที่เคยวินิจฉัยโรคให้เราผิดจนเราถึงกับต้องไปนอนหยอดน้ำเกลือที่โรงบาลมาแล้ว (เราเป็นไซนัสแต่หมอบอกเป็นกรดไหลย้อน TUT) ซึ่งสาเหตุอาจจะเป็นเพราะว่าคลีนิกนั้นเป็นคลีนิกเปิดใหม่จึงทำให้ไม่มีอุปกรณ์ในการตรวจรักษามากพอ ตอนนั้นเราพยายามเตือนพยายามบอกพ่อแล้วแต่แกไม่เชื่อเรา แล้วพอไปถึงที่นั่นพ่อก็ไม่ให้เราเข้าไปคุยกับหมอด้วย เราเลยไม่ค่อยแน่ใจว่าพ่อได้บอกหมอไปรึเปล่าว่าตัวเองมีหลายโรค เพราะหมอให้แค่ยาขับปัสสาวะมากินเฉยๆ ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเหมือนว่าตัวกำลังพูดอยู่คนเดียว ไม่มีสิทธิ์มีเสียง เอาจริงๆการที่ไม่มีใครคิดจะฟังเราเลยมันท้อมากเลยนะ ขนาดคนขับรถยังไม่ยอมเชื่อเราเลย พอเรากลับถึงบ้านได้ไม่ถึงครึ่งชั่งโมง พ่อก็เริ่มหายใจไม่ออก แน่นหน้าอกจนต้องหามไปส่งโรงพยาบาล เหตุการณ์ต่อจากนั้นเราก็ไม่รู้อะไรมาก รู้แค่ว่าสุดท้ายพ่อก็ต้องโดนสอดท่อช่วยหายใจ แล้วปั๊มหัวใจขึ้นมาใหม่ ตอนนั้นเราได้แต่ยืนร้องไห้มองส่งพ่อกับแม่ขึ้นรถ ส่วนเราก็ต้องอยู่ดูแลร้านแทน เอาจริงนี่เป็นครั้งแรกที่เราเห็นพ่อในสภาพแบบนี้ ตอนนั้นเราได้แต่คิดว่าถ้าตอนอยู่บนรถเราเถียงพ่อให้สุดๆ แล้วบอกคนขับรถจับส่งโรงพยาบาลไปเลยก็อาจจะไม่เป็นหนักขนาดนี้ก็ได้ ตอนนี้เรารู้แล้วว่าตัวเองควรจะเปลี่ยนนิสัยหัวอ่อนเชื่อคำพูดผู้ใหญ่ไปซะทุกเรื่องจริงๆ


หลังออกจากโรงพยาบาลก็เป็นอย่างที่บอกไปตอนแรกนั่นแหล่ะค่ะ พออาการดีก็กลับไปทำพฤติกรรมแบบเดิม พอเริ่มรู้สึกว่าอาการไม่ค่อยดีถึงจะเริ่มออกกำลังกายแล้วดูแลตัวเอง เหมือนกับการใช้ชีวิตประจำวันของพ่อเรามันรวนๆ แปลกๆ เราเลยอยากหาวิธีช่วยพ่อปรับระบบการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น แต่แกดันพูดยากมาก ต้องทำยังไงดี ใครเคยมีประสบการณ์แบบนี้รบกสนแนะนำหน่อยนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่