และแล้วเช้านี้ก็เป็นเช้าแรกของพวกเราที่ใจกลางกรุงมอสโคว์เมืองหลวงของประเทศรัสเซีย จากการมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็ดูท่าว่าจะต้องสู้แดดกันไม่น้อยเพราะฟ้าใส แดดสวยเหลือเกิน มาฤดูนี้ต้องทำใจกันนิดค่ะ เพราะถ่ายภาพสวยจริงไรจริง แต่แดดแรงไม่ใช่น้อยเหมือนกัน
เมื่อ Host นำพาสปอร์ตมาคืนเราเป็นที่เรียบร้อย พวกเราก็พากันออกเดินเท้าไปสู่จัตุรัสแดงกันเลย เราสามารถเดินกันไปง่ายๆ จากที่พักเลยเพราะเราพักกันบนถนน Tverskaya (Тверская) ซึ่งถ้าเดินไปตรงๆ ก็จะถึงจัตุรัสแดง หรือ Red Square (Кра́сная пло́щадь) ในที่สุด ถนนเส้นนี้เป็นหนึ่งในถนนสายสำคัญเส้นหนึ่ง พวกเรานี่ก็ไม่ใช่เล่นๆ เลยที่มาจองที่พักนอนบนถนนเส้นสำคัญเส้นนี้ ได้พักกับที่พักที่ราคาก็ไม่ได้แพงมากมายอะไร แถมเดินทางก็ค่อนข้างสะดวกค่ะ
ระหว่างการเดินไปบนถนน Tverskaya ร้านรวงต่างๆ ยังไม่ค่อยเปิดค่ะ คงเพราะยังเช้า ร้านส่วนใหญ่จะเปิดทำการเวลาประมาณ 10 โมงเช้า เราก็เลยได้แต่ Window Shopping กันไปตลอดทาง กับได้ชมอาคารบ้านเรือนตึกที่ใหญ่โตมากๆ ของเขา จนอดคิดไม่ได้ว่าทำไมจึงได้สร้างตึกรามบ้านช่องใหญ่โตมโหฬารขนาดนั้น
ตึกสไตล์สตาลินจะมีให้เห็นตลอด
อนุสาวรีย์ใครสักคนระหว่างทางเดิน
ฟ้าไม่มีเมฆเอาเลย
ตึกจะใหญ่โตไปไหนนักหนา
ตึกแถวนี้สวยๆ ทั้งนั้นเลย
สินค้าที่ระลึกฟุตบอลโลก 2018 ก็มีจำหน่าย
จัดเป็นสินค้าตามฤดูกาลอย่างหนึ่งค่ะ
และแล้วเราก็เดินไปจนถึงบริเวณลานกว้างซึ่งเขาเรียกบริเวณนี้ว่า Manege Square (Манежная площадь) ที่มีสิ่งปลูกสร้างต่างๆ มากมายเต็มไปหมด
ด้านหน้า State Historical Museum (Государственный исторический музей) หรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรัสเซีย ตัวอาคารสีแดงสดที่รูปแบบอาคารเป็นเอกลักษณ์แบบรัสเซียชัดเจน อาคารนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงวัตถุมีค่าที่เกี่ยวข้องกับประเทศรัสเซียทั้งหมดนับล้านๆ ชิ้นตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคราชวงศ์โรมานอฟ ว่ากันว่าหากต้องการชมด้านในควรมีเวลาไม่น้อยกว่า 1.30 -2 ชั่วโมงค่ะ เพราะข้าวของเยอะมาก และน่าสนใจทีเดียว พวกเราได้แค่ถ่ายรูปตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ค่ะ ไม่ได้เข้าไป ด้านหน้ามีอนุสาวรีย์นายพล Georgy Zhukov ผู้มีบทบาทสำคัญช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ส่วนอาคารด้านซ้ายสีแดงนั่นก็เป็นพิพิธภัณฑ์เหมือนกันค่ะ นั่นคือ Museum of Patriotic War เป็นพิพิธภัณฑ์สงครามที่จะมีการจัดแสดงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและฝรั่งเศสตั้งแต่ยังมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน จนกระทั่งถึงยุคที่นโปเลียนยกทัพมาตีรัสเซียและพ่ายแพ้กลับไป มีทั้งการจัดแสดงภาพวาดและอาวุธสงครามที่ใช้ในช่วงเวลานั้นได้เก็บรักษาไว้ทั้งหมด
ทั้งสองแห่งนี้เราไม่เข้าเลยค่ะ เก็บเงินไว้รอชมสถานที่อื่นๆ ดีกว่าเพราะมีต้องเสียค่าเข้าชมหลายที่เหมือนกัน แม้ว่าจริงๆ แล้วค่าเงิน RUB ช่วงที่เราไปค่อนข้างถูกก็ตาม เมื่อไม่คิดจะชมทั้งสองแห่งจึงพากันเดินเข้าประตู Voskresensky gate เข้าไปด้านในเพื่อไปสู่ Red Square กัน ซึ่งก่อนจะผ่านจุดนี้ไป จะมีหลักกิโลเมตรที่ 0 (Kilometre 0) อยู่ค่ะ เป็นจุดที่ถนนสายสำคัญทุกสายของมอสโคว์จะวิ่งออกจากจัตุรัสแดงแห่งนี้
Voskresensky gate
สังเกตได้จากวงกลมสีทองทื่พื้นที่มีคนมุงอยู่เยอะๆ มีความเชื่อกันว่า ถ้ายืนแล้วโยนเหรียญข้ามหัวไหล่ตัวเองแล้วยังตกอยู่ในวงกลม เราจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง บรรยากาศตรงนี้ก็เหมือนเมืองไทยตอนลอยกระทงเลยค่ะ มีคนแก่ยืนถือไม้เท้าติดแม่เหล็กมาคอยเก็บเหรียญ คือพอโยนปุ๊บก็ยื่นไม้เท้ามาดูดเหรียญปั๊บ ต่อหน้าต่อตาเอาเลย แต่เห็นอย่างนี้ก็เลือกนะ เหรียญมูลค่าถูกๆ ไม่เอาค่ะ ไม่ได้รับการใยดีเอาเลย
Kilometre 0
พวกเรามาเช็คอินกันเรียบร้อย แต่ไม่มีใครยอมโยนเหรียญกันเลย
เมื่อผ่านเข้าไปทางซ้ายมือเราจะพบกับ Kazan Cathedral (Казанский собор) หรือรู้จักกันในชื่อว่า Cathedral of Our Lady of Kazan เข้าชมฟรีค่ะ แต่ด้านในห้ามถ่ายภาพ เราแค่เดินผ่านไม่ได้เข้าชม
เพราะมีจุดหมายที่จะไปยัง Saint Basil’s Cathedral (Собор Василия Блаженного) เพราะใกล้เวลาที่เขาจะเปิดให้เข้าชมแล้ว แต่ไม่รู้เดินกันอย่างไรกลายเป็นเราพลัดหลงกัน
ร้านน่านั่งริมทางข้างๆ ห้าง GUM
สมาชิกส่วนที่เหลือของเราเดินเล่นกันจนเข้าไปในห้าง Gum (ГУМ) ส่วนพี่ใหญ่กับหนูเล็กมายืนรอเวลาเข้ามหาวิหารกันอยู่สองคน ก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะเรานัดหมายกันไว้แล้วว่าถ้าพลัดหลงกันก็เจอกันที่ห้าง
Saint Basil's Cathedral
Spasskaya Tower หอคอยทางทิศตะวันออกของพระราชวังเครมลิน
เมื่อถึงเวลา 11.00 น. เจ้าหน้าที่ก็มาเปิดแผงเหล็กให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ ซึ่งนักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องไปซื้อบัตรที่ห้องจำหน่ายตั๋วที่ด้านข้างกันก่อนค่ะ เมื่อมีตั๋วแล้วก่อนจะเข้าก็ต้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจสัมภาระ จากนั้นก็เข้าชมได้เลยค่ะ เจ้าหน้าที่แจ้งเราว่า ด้านในสามารถถ่ายภาพได้แต่งดใช้แฟลช
Saint Basil’s Cathedral ถูกบัญชาให้สร้างขึ้นโดยพระเจ้าอีวานที่ 4 (Tsar Ivan IV) เพื่อฉลองชัยชนะเหนือพวกมองโกลที่ยกทัพมาเมืองคาซาน (Kazan) และอัสทราคาน (Astrakhan) ความพิเศษของที่แห่งนี้ก็คือ รูปทรงที่ไม่เหมือนโบสถ์แห่งอื่น อาคารมีรูปทรงแปดเหลี่ยม มี 9 โดม ด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างรัสเซียโบราณ และยุโรปตะวันตก ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงกลายเป็นหอคอยสูง รูปแท่งเทียนกำลังลุกไหม้ และมีแสงจากปลายเทียนแม้ว่าจริงๆ มองดูแล้วเหมือนดอกเห็ดมากกว่า เป็นสถาปัตยกรรมที่ดูลงตัวเป็นอย่างมาก สีสันก็เป็นสีลูกกวาด เมื่อสร้างเสร็จพระเจ้าอีวานที่ 4 ได้ถามคำถามกับ ปอสต์นิค ยาคอฟเลฟ (Postnik Yakovlev) ผู้ซึ่งเป็นสถาปนิกว่าสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างที่สวยงามยิ่งกว่านี้ได้หรือไม่ เขาตอบว่าได้ ดังนั้น พระเจ้าอีวานที่ 4 จึงได้ตอบแทนด้วยการควักลูกตาออกทั้ง 2 ข้าง จะได้ไม่ไปออกแบบสิ่งก่อสร้างที่งดงามแบบนี้ที่ไหนได้อีก จึงเป็นที่มาของชื่อของพระเจ้าอีวานผู้โหดร้าย (Ivan the Terrible) ส่วนด้านหน้าเป็นอนุสาวรีย์นักรบผู้กล้า คอสมา มินิน (Kuzma Minin) และเจ้าชายดมิทริ โปซาร์สกี้ (Dmitry Pozharsky) ผู้นำกองทัพรัสเซียต่อต้านพวกโปล (Poles) ออกจากเขตเครมลินหลังจากได้รับชัยชนะจากกองทัพนโปเลียนซึ่งหล่อด้วยทองสำริด
เมื่อเข้าไปด้านในตัวอาคารของแต่ละโดมตกแต่งลวดลวดและสีสันงดงามแตกต่างกันไป แต่ละโดมมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน ทางเชื่อมเป็นภาพลายผนังที่มีลวดลายแปลกตา เมื่อเข้าไปเดินด้านในจะรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังเดินอยู่ในเขาวงกต
ซึ่งทั้งหมดเป็นหอสวดมนต์ต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันเป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์จัดแสดงประวัติความเป็นมาและข้าวของต่างๆ ที่เกี่ยวกับมหาวิหารแห่งนี้ นอกจากจะสามารถเดินชมที่ชั้นล่างแล้วยังมีบันไดไม้เก่าๆ ให้เดินขึ้นไปชมที่ชั้นสองด้วย สิ่งที่พลาดไม่ได้คือ ภาพรูปเคารพที่โบสถ์กลาง ซึ่งเป็นภาพพระเยซูและสาวกคนสำคัญเป็นผลงานในสไตล์บาโรคซึ่งมีอายุราว 200 กว่าปี แต่ส่วนอื่นๆ ก็ล้วนน่าชมน่าสนใจและน่าตื่นตาตื่นใจไปหมดค่ะสำหรับศิลปะวัฒนธรรมในรูปแบบนี้ที่เราไม่คุ้นตา
หลังจากพี่ใหญ่กับหนูเล็กเดินวนชมทั้งด้านใน ด้านนอกจนพอใจเราก็กลับไปหาพรรคพวกของเราที่นัดหมายกันไว้ที่ห้าง GUM ซึ่งนอกจากต้องการมาชมความงดงามของห้างแล้วยังมีเป้าหมายคือการมากินไอศกรีมอันเลื่องชื่อว่าเป็นสูตรเมื่อร้อยปีที่แล้วตอนห้าง GUM เปิดใหม่ๆ เลยทีเดียว
[CR] Spring Time in Russia : Day 6 เรื่อยไปใน Red Square
https://ppantip.com/topic/37851876
และแล้วเช้านี้ก็เป็นเช้าแรกของพวกเราที่ใจกลางกรุงมอสโคว์เมืองหลวงของประเทศรัสเซีย จากการมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็ดูท่าว่าจะต้องสู้แดดกันไม่น้อยเพราะฟ้าใส แดดสวยเหลือเกิน มาฤดูนี้ต้องทำใจกันนิดค่ะ เพราะถ่ายภาพสวยจริงไรจริง แต่แดดแรงไม่ใช่น้อยเหมือนกัน
เมื่อ Host นำพาสปอร์ตมาคืนเราเป็นที่เรียบร้อย พวกเราก็พากันออกเดินเท้าไปสู่จัตุรัสแดงกันเลย เราสามารถเดินกันไปง่ายๆ จากที่พักเลยเพราะเราพักกันบนถนน Tverskaya (Тверская) ซึ่งถ้าเดินไปตรงๆ ก็จะถึงจัตุรัสแดง หรือ Red Square (Кра́сная пло́щадь) ในที่สุด ถนนเส้นนี้เป็นหนึ่งในถนนสายสำคัญเส้นหนึ่ง พวกเรานี่ก็ไม่ใช่เล่นๆ เลยที่มาจองที่พักนอนบนถนนเส้นสำคัญเส้นนี้ ได้พักกับที่พักที่ราคาก็ไม่ได้แพงมากมายอะไร แถมเดินทางก็ค่อนข้างสะดวกค่ะ
ระหว่างการเดินไปบนถนน Tverskaya ร้านรวงต่างๆ ยังไม่ค่อยเปิดค่ะ คงเพราะยังเช้า ร้านส่วนใหญ่จะเปิดทำการเวลาประมาณ 10 โมงเช้า เราก็เลยได้แต่ Window Shopping กันไปตลอดทาง กับได้ชมอาคารบ้านเรือนตึกที่ใหญ่โตมากๆ ของเขา จนอดคิดไม่ได้ว่าทำไมจึงได้สร้างตึกรามบ้านช่องใหญ่โตมโหฬารขนาดนั้น
ตึกสไตล์สตาลินจะมีให้เห็นตลอด
อนุสาวรีย์ใครสักคนระหว่างทางเดิน
ฟ้าไม่มีเมฆเอาเลย
ตึกจะใหญ่โตไปไหนนักหนา
ตึกแถวนี้สวยๆ ทั้งนั้นเลย
สินค้าที่ระลึกฟุตบอลโลก 2018 ก็มีจำหน่าย
จัดเป็นสินค้าตามฤดูกาลอย่างหนึ่งค่ะ
และแล้วเราก็เดินไปจนถึงบริเวณลานกว้างซึ่งเขาเรียกบริเวณนี้ว่า Manege Square (Манежная площадь) ที่มีสิ่งปลูกสร้างต่างๆ มากมายเต็มไปหมด
ด้านหน้า State Historical Museum (Государственный исторический музей) หรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรัสเซีย ตัวอาคารสีแดงสดที่รูปแบบอาคารเป็นเอกลักษณ์แบบรัสเซียชัดเจน อาคารนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงวัตถุมีค่าที่เกี่ยวข้องกับประเทศรัสเซียทั้งหมดนับล้านๆ ชิ้นตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคราชวงศ์โรมานอฟ ว่ากันว่าหากต้องการชมด้านในควรมีเวลาไม่น้อยกว่า 1.30 -2 ชั่วโมงค่ะ เพราะข้าวของเยอะมาก และน่าสนใจทีเดียว พวกเราได้แค่ถ่ายรูปตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ค่ะ ไม่ได้เข้าไป ด้านหน้ามีอนุสาวรีย์นายพล Georgy Zhukov ผู้มีบทบาทสำคัญช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ส่วนอาคารด้านซ้ายสีแดงนั่นก็เป็นพิพิธภัณฑ์เหมือนกันค่ะ นั่นคือ Museum of Patriotic War เป็นพิพิธภัณฑ์สงครามที่จะมีการจัดแสดงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและฝรั่งเศสตั้งแต่ยังมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน จนกระทั่งถึงยุคที่นโปเลียนยกทัพมาตีรัสเซียและพ่ายแพ้กลับไป มีทั้งการจัดแสดงภาพวาดและอาวุธสงครามที่ใช้ในช่วงเวลานั้นได้เก็บรักษาไว้ทั้งหมด
ทั้งสองแห่งนี้เราไม่เข้าเลยค่ะ เก็บเงินไว้รอชมสถานที่อื่นๆ ดีกว่าเพราะมีต้องเสียค่าเข้าชมหลายที่เหมือนกัน แม้ว่าจริงๆ แล้วค่าเงิน RUB ช่วงที่เราไปค่อนข้างถูกก็ตาม เมื่อไม่คิดจะชมทั้งสองแห่งจึงพากันเดินเข้าประตู Voskresensky gate เข้าไปด้านในเพื่อไปสู่ Red Square กัน ซึ่งก่อนจะผ่านจุดนี้ไป จะมีหลักกิโลเมตรที่ 0 (Kilometre 0) อยู่ค่ะ เป็นจุดที่ถนนสายสำคัญทุกสายของมอสโคว์จะวิ่งออกจากจัตุรัสแดงแห่งนี้
สังเกตได้จากวงกลมสีทองทื่พื้นที่มีคนมุงอยู่เยอะๆ มีความเชื่อกันว่า ถ้ายืนแล้วโยนเหรียญข้ามหัวไหล่ตัวเองแล้วยังตกอยู่ในวงกลม เราจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง บรรยากาศตรงนี้ก็เหมือนเมืองไทยตอนลอยกระทงเลยค่ะ มีคนแก่ยืนถือไม้เท้าติดแม่เหล็กมาคอยเก็บเหรียญ คือพอโยนปุ๊บก็ยื่นไม้เท้ามาดูดเหรียญปั๊บ ต่อหน้าต่อตาเอาเลย แต่เห็นอย่างนี้ก็เลือกนะ เหรียญมูลค่าถูกๆ ไม่เอาค่ะ ไม่ได้รับการใยดีเอาเลย
พวกเรามาเช็คอินกันเรียบร้อย แต่ไม่มีใครยอมโยนเหรียญกันเลย
เมื่อผ่านเข้าไปทางซ้ายมือเราจะพบกับ Kazan Cathedral (Казанский собор) หรือรู้จักกันในชื่อว่า Cathedral of Our Lady of Kazan เข้าชมฟรีค่ะ แต่ด้านในห้ามถ่ายภาพ เราแค่เดินผ่านไม่ได้เข้าชม
เพราะมีจุดหมายที่จะไปยัง Saint Basil’s Cathedral (Собор Василия Блаженного) เพราะใกล้เวลาที่เขาจะเปิดให้เข้าชมแล้ว แต่ไม่รู้เดินกันอย่างไรกลายเป็นเราพลัดหลงกัน
สมาชิกส่วนที่เหลือของเราเดินเล่นกันจนเข้าไปในห้าง Gum (ГУМ) ส่วนพี่ใหญ่กับหนูเล็กมายืนรอเวลาเข้ามหาวิหารกันอยู่สองคน ก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะเรานัดหมายกันไว้แล้วว่าถ้าพลัดหลงกันก็เจอกันที่ห้าง
Spasskaya Tower หอคอยทางทิศตะวันออกของพระราชวังเครมลิน
เมื่อถึงเวลา 11.00 น. เจ้าหน้าที่ก็มาเปิดแผงเหล็กให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ ซึ่งนักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องไปซื้อบัตรที่ห้องจำหน่ายตั๋วที่ด้านข้างกันก่อนค่ะ เมื่อมีตั๋วแล้วก่อนจะเข้าก็ต้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจสัมภาระ จากนั้นก็เข้าชมได้เลยค่ะ เจ้าหน้าที่แจ้งเราว่า ด้านในสามารถถ่ายภาพได้แต่งดใช้แฟลช
Saint Basil’s Cathedral ถูกบัญชาให้สร้างขึ้นโดยพระเจ้าอีวานที่ 4 (Tsar Ivan IV) เพื่อฉลองชัยชนะเหนือพวกมองโกลที่ยกทัพมาเมืองคาซาน (Kazan) และอัสทราคาน (Astrakhan) ความพิเศษของที่แห่งนี้ก็คือ รูปทรงที่ไม่เหมือนโบสถ์แห่งอื่น อาคารมีรูปทรงแปดเหลี่ยม มี 9 โดม ด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างรัสเซียโบราณ และยุโรปตะวันตก ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงกลายเป็นหอคอยสูง รูปแท่งเทียนกำลังลุกไหม้ และมีแสงจากปลายเทียนแม้ว่าจริงๆ มองดูแล้วเหมือนดอกเห็ดมากกว่า เป็นสถาปัตยกรรมที่ดูลงตัวเป็นอย่างมาก สีสันก็เป็นสีลูกกวาด เมื่อสร้างเสร็จพระเจ้าอีวานที่ 4 ได้ถามคำถามกับ ปอสต์นิค ยาคอฟเลฟ (Postnik Yakovlev) ผู้ซึ่งเป็นสถาปนิกว่าสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างที่สวยงามยิ่งกว่านี้ได้หรือไม่ เขาตอบว่าได้ ดังนั้น พระเจ้าอีวานที่ 4 จึงได้ตอบแทนด้วยการควักลูกตาออกทั้ง 2 ข้าง จะได้ไม่ไปออกแบบสิ่งก่อสร้างที่งดงามแบบนี้ที่ไหนได้อีก จึงเป็นที่มาของชื่อของพระเจ้าอีวานผู้โหดร้าย (Ivan the Terrible) ส่วนด้านหน้าเป็นอนุสาวรีย์นักรบผู้กล้า คอสมา มินิน (Kuzma Minin) และเจ้าชายดมิทริ โปซาร์สกี้ (Dmitry Pozharsky) ผู้นำกองทัพรัสเซียต่อต้านพวกโปล (Poles) ออกจากเขตเครมลินหลังจากได้รับชัยชนะจากกองทัพนโปเลียนซึ่งหล่อด้วยทองสำริด
เมื่อเข้าไปด้านในตัวอาคารของแต่ละโดมตกแต่งลวดลวดและสีสันงดงามแตกต่างกันไป แต่ละโดมมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน ทางเชื่อมเป็นภาพลายผนังที่มีลวดลายแปลกตา เมื่อเข้าไปเดินด้านในจะรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังเดินอยู่ในเขาวงกต
ซึ่งทั้งหมดเป็นหอสวดมนต์ต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันเป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์จัดแสดงประวัติความเป็นมาและข้าวของต่างๆ ที่เกี่ยวกับมหาวิหารแห่งนี้ นอกจากจะสามารถเดินชมที่ชั้นล่างแล้วยังมีบันไดไม้เก่าๆ ให้เดินขึ้นไปชมที่ชั้นสองด้วย สิ่งที่พลาดไม่ได้คือ ภาพรูปเคารพที่โบสถ์กลาง ซึ่งเป็นภาพพระเยซูและสาวกคนสำคัญเป็นผลงานในสไตล์บาโรคซึ่งมีอายุราว 200 กว่าปี แต่ส่วนอื่นๆ ก็ล้วนน่าชมน่าสนใจและน่าตื่นตาตื่นใจไปหมดค่ะสำหรับศิลปะวัฒนธรรมในรูปแบบนี้ที่เราไม่คุ้นตา
มองไปไกลๆ เห็นมหาวิทยาลัยมอสโคว์ด้วย
หลังจากพี่ใหญ่กับหนูเล็กเดินวนชมทั้งด้านใน ด้านนอกจนพอใจเราก็กลับไปหาพรรคพวกของเราที่นัดหมายกันไว้ที่ห้าง GUM ซึ่งนอกจากต้องการมาชมความงดงามของห้างแล้วยังมีเป้าหมายคือการมากินไอศกรีมอันเลื่องชื่อว่าเป็นสูตรเมื่อร้อยปีที่แล้วตอนห้าง GUM เปิดใหม่ๆ เลยทีเดียว
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้