จริงๆ ผมดูไปตั้งแต่มันเข้าแรกๆ แล้วล่ะ เพียงแต่มีหนังเรื่องอื่นๆ มาเข้าเบียดผมเลยต้องทำรีวิวเรื่องนั้นๆ ก่อน จนลืมทำเรื่องนี้ไปเลย (หรือมันไม่น่าจดจำนะ55) พูดง่ายๆ ว่า
"ผมดูเรื่องนี้ตั้งแต่แรกคลอดแต่มาทำรีวิวตอนรอดเป็นทารกนั่นเอง" งั้นเอาเป็นว่า รีวิวนี้ผมขอถลอก
หนังแบบเหลือแต่กระดูกเลยละกัน
ตัวหนังเล่าถึงการเดินหน้าปราบปรามกลุ่มค้ายาเสพติดที่ชายแดนสหรัฐฯ - เม็กซิโก แต่ครั้งนี้สถานการณ์กลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากกลุ่มค้ายาเสพติดได้พยายามส่งผู้ก่อการร้ายข้ามพรมแดนมายังสหรัฐฯ ดังนั้นเพื่อการรับมือต่อกร แมทท์ เกรเวอร์ (จอช โบรลิน) หน่วยกองกำลังเฉพาะกิจของรัฐบาล จึงต้องร่วมมือกับ นายทหารรับจ้าง อเล็กฮานโดร (เบเนซิโอ เดล โตโร่) เพื่อฝ่าอันตรายทำภารกิจเดือดแห่งสงครามยาเสพติดครั้งใหญ่
ก่อนที่ผมจะตัดสินใจดู ผมได้ไปดูรีวิวรอบสื่อของช่องๆ หนึ่งบน YouTube มา (ขอไม่เอ่ยชื่อช่องนะครับ ใครอยากรู้ก็หลังไมค์มา อิอิ) เขาบอกว่า
"หนังมีดีแค่แอคชั่นและนักแสดง ส่วนที่เหลือของหนังทำภาคแรกเสียของ" ซึ่งผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรมาก เพราะความคาดหวังของผมกับภาคนี้ก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ตอนนั้นผมก็นึกในใจว่า "งั้นรอดูแผ่นเอาวะ!" แต่พอกระแสออกมา ผมถึงกับร้อง "เยสสสส" ในใจ เพราะมันดีเกินคาดมาก ผมจึงรีบคว้ากระเป๋าตังค์และ Going to เมเจอร์ทันที ผลปรากฎว่า..................................................................................................
"เออ ดีอย่างที่พูดจริงๆ ว่ะ"
ขอพูดถึงส่วนของบทก่อน โดยรวมทำได้ถึงเครื่องและจัดจ้านไม่แพ้ภาคแรกเลย ย้อนรอยกลับไปภาคแรกเราจะรู้สึกว่าหนังไม่ได้เน้นตู้มต้ามระเบิดภูเขาเผากระท่อมแบบหนังแอคชั่นทั่วๆ ไป (ก็มันไม่ใช่หนังแอคชั่นนี่หว่า55) แต่จะเน้นการดำเนินเรื่องแบบละเมียดละไม และเน้นที่ตัวละครซะส่วนใหญ่ ทำให้ตัวหนังมีน้ำหนักในเรื่องของบทมากพอสมควร ในทางแอคชั่นนั้นน้อยจนนับฉากได้เลยล่ะ เพราะมันเป็นแค่น้ำจิ้มของอาหารจานเด็ดแค่นั้น นั่นคือสาเหตุที่ภาคแรกได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ (รวมถึงคนดูหนังธรรมดาอย่างผม) เป็นอย่างมาก พอมาถึงภาคนี้ ความเข้มข้นของบทนั้นจางหายจากภาคแรกไปพอสมควร หนังดูเน้นแอคชั่นสาดกระสุนซะส่วนใหญ่ แต่กระนั้นบทหนังไม่ได้ทิ้งลายภาคแรกไปแบบดื้อๆ แต่หนังนั่นก็เรื่องราวและที่มาที่ไปอย่างชัดเจน ไม่ดูยัดเยียดการเมืองจนน่าเบื่อ และถ้าพูดถึงแอคชั่น มันเยอะขึ้นก็จริง แต่มันไม่ได้เยอะจนเอือมระอาและน่ารำคาญ ฉากแอคชั่นนั้นเรียกว่าเป็นของหวานเลยดีกว่า รสชาติดีและไม่ผิดปาก เพียงแต่บทหนังนั้นอร่อยกว่าของหวานประมาณ 1 ดีกรี
ในด้านของนักแสดงเรียกได้ว่าเป็นจุดแข็งของหนังทั้งเรื่องเลยก็ว่าได้ เพราะทุกคนทำหน้าที่ในการแสดงได้ดีมาก เดล โทโรในบททหารมาดเข้มแสดงดีมาก เราเห็นถึงความสุขุมเลือดเย็นของตัวละครนี้อย่างชัดเจน ดูหยิ่งผยองมาก โบรลินในบทเกร์เวอร์ ก็เล่นโคตรดี เนื่องจากผมพึ่งติดตาลุงแกมาจาก Infinity War มาหมาดๆ ดังนั้นการแสดงของลุงจึงไม่ต้องลงไม้ลงมืออะไรมาก แค่เดินใส่เสื้อเกราะมาก็หวาดผวาลุงแกไปเป็นเดือนละ ส่วนอีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ Isabella Moner หนูน้อยลิตเติ้ล เจ-โลของเรานั่นเอง หลังจาก The Last Knight ที่เรื่องนั้นใจ
ใหญ่มาก มาเรื่องนี้ถึงแม้จะหลบฝ่ากระสุนหลบฝุ่นเสื่องตายมากเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถกลบความน่ารักของเธอได้เลย อนาคตข้างหน้ามีรุ่งแน่คนนี้ เชียร์สุดใจครับ
มาถึงจุดนี้แล้วผมก็ต้องขอบอกว่า
"Sicario: Day of Soldado" เป็นหนังภาคต่ออีกเรื่องที่ถือว่าทำออกมาได้ดี ถึงแม้จะไม่ขลังเท่าภาคแรก แต่ว่าฤทธิ์เดชของหนังภาคนี้ต่อกรกับหนังแอคชั่นเรื่องอื่นๆ ได้อย่างสบาย ใครที่ยังไม่ดู (จริงๆ อาจจะดูกันหมดแล้วมั้ง55) แนะนำให้ไปสัมผัสสักรอบครับ หนังดีจริงๆ
คะแนน : 8.5/10
(หลังดู) Sicario: Day of Soldado (2018) ทีมพิฆาตทะลุแดนเดือด 2 | [*No Spoil]
จริงๆ ผมดูไปตั้งแต่มันเข้าแรกๆ แล้วล่ะ เพียงแต่มีหนังเรื่องอื่นๆ มาเข้าเบียดผมเลยต้องทำรีวิวเรื่องนั้นๆ ก่อน จนลืมทำเรื่องนี้ไปเลย (หรือมันไม่น่าจดจำนะ55) พูดง่ายๆ ว่า "ผมดูเรื่องนี้ตั้งแต่แรกคลอดแต่มาทำรีวิวตอนรอดเป็นทารกนั่นเอง" งั้นเอาเป็นว่า รีวิวนี้ผมขอถลอกหนังแบบเหลือแต่กระดูกเลยละกัน
ตัวหนังเล่าถึงการเดินหน้าปราบปรามกลุ่มค้ายาเสพติดที่ชายแดนสหรัฐฯ - เม็กซิโก แต่ครั้งนี้สถานการณ์กลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากกลุ่มค้ายาเสพติดได้พยายามส่งผู้ก่อการร้ายข้ามพรมแดนมายังสหรัฐฯ ดังนั้นเพื่อการรับมือต่อกร แมทท์ เกรเวอร์ (จอช โบรลิน) หน่วยกองกำลังเฉพาะกิจของรัฐบาล จึงต้องร่วมมือกับ นายทหารรับจ้าง อเล็กฮานโดร (เบเนซิโอ เดล โตโร่) เพื่อฝ่าอันตรายทำภารกิจเดือดแห่งสงครามยาเสพติดครั้งใหญ่
ก่อนที่ผมจะตัดสินใจดู ผมได้ไปดูรีวิวรอบสื่อของช่องๆ หนึ่งบน YouTube มา (ขอไม่เอ่ยชื่อช่องนะครับ ใครอยากรู้ก็หลังไมค์มา อิอิ) เขาบอกว่า "หนังมีดีแค่แอคชั่นและนักแสดง ส่วนที่เหลือของหนังทำภาคแรกเสียของ" ซึ่งผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรมาก เพราะความคาดหวังของผมกับภาคนี้ก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ตอนนั้นผมก็นึกในใจว่า "งั้นรอดูแผ่นเอาวะ!" แต่พอกระแสออกมา ผมถึงกับร้อง "เยสสสส" ในใจ เพราะมันดีเกินคาดมาก ผมจึงรีบคว้ากระเป๋าตังค์และ Going to เมเจอร์ทันที ผลปรากฎว่า.................................................................................................."เออ ดีอย่างที่พูดจริงๆ ว่ะ"
ขอพูดถึงส่วนของบทก่อน โดยรวมทำได้ถึงเครื่องและจัดจ้านไม่แพ้ภาคแรกเลย ย้อนรอยกลับไปภาคแรกเราจะรู้สึกว่าหนังไม่ได้เน้นตู้มต้ามระเบิดภูเขาเผากระท่อมแบบหนังแอคชั่นทั่วๆ ไป (ก็มันไม่ใช่หนังแอคชั่นนี่หว่า55) แต่จะเน้นการดำเนินเรื่องแบบละเมียดละไม และเน้นที่ตัวละครซะส่วนใหญ่ ทำให้ตัวหนังมีน้ำหนักในเรื่องของบทมากพอสมควร ในทางแอคชั่นนั้นน้อยจนนับฉากได้เลยล่ะ เพราะมันเป็นแค่น้ำจิ้มของอาหารจานเด็ดแค่นั้น นั่นคือสาเหตุที่ภาคแรกได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ (รวมถึงคนดูหนังธรรมดาอย่างผม) เป็นอย่างมาก พอมาถึงภาคนี้ ความเข้มข้นของบทนั้นจางหายจากภาคแรกไปพอสมควร หนังดูเน้นแอคชั่นสาดกระสุนซะส่วนใหญ่ แต่กระนั้นบทหนังไม่ได้ทิ้งลายภาคแรกไปแบบดื้อๆ แต่หนังนั่นก็เรื่องราวและที่มาที่ไปอย่างชัดเจน ไม่ดูยัดเยียดการเมืองจนน่าเบื่อ และถ้าพูดถึงแอคชั่น มันเยอะขึ้นก็จริง แต่มันไม่ได้เยอะจนเอือมระอาและน่ารำคาญ ฉากแอคชั่นนั้นเรียกว่าเป็นของหวานเลยดีกว่า รสชาติดีและไม่ผิดปาก เพียงแต่บทหนังนั้นอร่อยกว่าของหวานประมาณ 1 ดีกรี
ในด้านของนักแสดงเรียกได้ว่าเป็นจุดแข็งของหนังทั้งเรื่องเลยก็ว่าได้ เพราะทุกคนทำหน้าที่ในการแสดงได้ดีมาก เดล โทโรในบททหารมาดเข้มแสดงดีมาก เราเห็นถึงความสุขุมเลือดเย็นของตัวละครนี้อย่างชัดเจน ดูหยิ่งผยองมาก โบรลินในบทเกร์เวอร์ ก็เล่นโคตรดี เนื่องจากผมพึ่งติดตาลุงแกมาจาก Infinity War มาหมาดๆ ดังนั้นการแสดงของลุงจึงไม่ต้องลงไม้ลงมืออะไรมาก แค่เดินใส่เสื้อเกราะมาก็หวาดผวาลุงแกไปเป็นเดือนละ ส่วนอีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ Isabella Moner หนูน้อยลิตเติ้ล เจ-โลของเรานั่นเอง หลังจาก The Last Knight ที่เรื่องนั้นใจใหญ่มาก มาเรื่องนี้ถึงแม้จะหลบฝ่ากระสุนหลบฝุ่นเสื่องตายมากเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถกลบความน่ารักของเธอได้เลย อนาคตข้างหน้ามีรุ่งแน่คนนี้ เชียร์สุดใจครับ
มาถึงจุดนี้แล้วผมก็ต้องขอบอกว่า "Sicario: Day of Soldado" เป็นหนังภาคต่ออีกเรื่องที่ถือว่าทำออกมาได้ดี ถึงแม้จะไม่ขลังเท่าภาคแรก แต่ว่าฤทธิ์เดชของหนังภาคนี้ต่อกรกับหนังแอคชั่นเรื่องอื่นๆ ได้อย่างสบาย ใครที่ยังไม่ดู (จริงๆ อาจจะดูกันหมดแล้วมั้ง55) แนะนำให้ไปสัมผัสสักรอบครับ หนังดีจริงๆ
คะแนน : 8.5/10