ไม่ได้มาตั้งคำถามนะครับ แต่จะมาแชร์ประสบการณ์ของผมเอง
สวัสดีครับ ผมชื่อ อิง (นามสมมติ) ตอนนี้ ผมอายุ 19 ปีแล้วครับ ผมจะมาเล่าประสบการณ์ที่ผมใช้ชีวิตร่วมกับ HIV มาตั้งแต่เกิดครับ เผื่อ ท่านใดที่กำลังเครียดกับโรค HIV อยู่ เพราะเราสามารถใช้ชีวิตกับมันอย่างมีความสุขได้ครับ ขณะนี้ผมยังไม่ได้ใช้ยาต้านไว้รัสนะครับ ผมยังไม่พร้อมที่จะเริ่มรับประทานยา เพราะผมยังไม่สามารถจัดระเบียบการใช้ชีวิตของผมได้ แต่ผมยังไม่มีอาการรุนแรง สุขภาพอยู่ในเกณฑ์ปกติครับ (ไม่ใช่ว่าผมไม่แนะนำในการรับยาต้านไวรัสนะครับ เพราะผมยังต้องเตรียมใจในระยะหนึ่งก่อน)
เข้าเรื่องเลยนะครับ
ตอนแรกผมเป็นเด็กน้อยธรรมดา ร่าเริง และ ไร้เดียงสา อาศัยอยู่กับ คุณพ่อ และ คุณแม่(แม่บุญธรรม) พออายุ ผมเริ่ม 8 ขวบ ผมเริ่มมีอาการอ่อนเพลีย ตัวซีดเหลือง ในขณะที่กำลังทำกิจกรรมทำความสะอาดที่โรงเรียน ผมมีอาการวิงเวียนศรีษะ เหนื่อยล้า สักพักผมก็ล้มลงกับพื้น เพื่อนๆก็เรียกคุณครูมาช่วย ผมพยายามจะลืมตาขึ้นมาก็เห็นภาพพอลางๆ คุณที่โรงเรียนอุ้มผมขึ้นรถไปโรงพยาบาลอำเภอ แล้วผมก็หลับไป ตื่นขึ้นมา ที่ห้องฉุกเฉิน ก็เห็นคุณพ่อและคุณแม่ ยืนอยู่ข้างเตียง สีหน้าด้วยความเป็นห่วง พยาบาลเจาะเลือดผมออกมามีลักษณะเป็นเหมือนน้ำปนผสมกับเลือด เป็นสีแดงจางๆ คุณหมอจึงฉีดยาให้ผม (ไม่ทราบว่าเป็นยาชนิดอะไร) เรียบร้อย คุณหมอจึงให้นอนพักที่โรงพยาบาลสองวัน หลังจากพักฟื้นเส็จเรียบร้อยแล้วนั้นคุณหมอก็ให้ยาเพิ่มธาตุเหล็กมาทานซองใหญ่ๆ ผมก็ทานติดต่อกันจนหมดซอง ร่างกายผมก็กลับมาแข็งแรงปกติเช่นเดิม ผมใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาตลอด
จนอายุย่างเข้า 18 (ในระหว่างนั้นผมก็ทานพวกธาตุเหล็ก คลอโลฟิล เพิ่มเลือดความเข้มของเลือดครับ เคยบริจาคเลือดครั้งหนึง เลือดอยู่ในเกณฑ์ แต่ไม่มีการตอบกลับจากพยาบาลว่าเลือดใช้ไม่ได้) ผมเรียนอยู่ ปวส. ผมจึงขอแม่มานอนหอพักในเมืองกับเพื่อนใกล้กับวิทยาลัย ผมได้ใช้ชีวิตแบบไม่ได้มีแม่คอยดุคอยว่า กินเหล้า เที่ยวกลางคืน มีเพศสัมพันธ์กับชายอื่นบ้าง แฟนบ้าง นัดในแอพบ้าง ใส่ถุงบ้าง สดบ้าง ส่วนมากผมจะรับ (ผมเคยรุกสดครั้งหนึง ตอนนั้นผมยังคิดว่าผมไม่ติดเชื้อ) จนมาถึงช่วงหนึง ผมเริ่มกังวลว่า ผมมีโอกาสติดเชื้อหรือป่าว ผมเครียดมาก จนปรึกษาเพื่อน เพื่อนก็ให้เช็คบ้าง กินน้ำมะพร้าว ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น (เพื่อนบอกว่าผู้ติดเชื้อ HIV จะกินน้ำมะพร้าวแล้วผื่นจะขึ้น) เพื่อนก็ให้กำลังใจว่า ‘ไม่ติดหรอก ถ้าติดกูก็ติด’ (ไม่ได้กินเพื่อนนะ หมายถึงใช้แก้วน้ำร่วมกันอะไรงี้) ก็พอสบายใจได้พักหนึง ผมก็ยังทำพฤติกรรมเช่นเดิม จนมาถึงเทอมสอง ผมเริ่มกลับมาเครียดเช่นเดิม ผมจึงปรึกษาเพื่อนว่าจะไปตรวจเลือดให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ถ้าไม่ติดก็จะได้สบายใจ ถ้าติดก็จะได้แก้ไข จนผมไปตรวจที่โรงพยาบาล ปรึกษาคุณหมอ คุณหมอก็แนะนำ(ไม่เชิงแนะนำ เหมือนจะพูดให้เครียดกว่าเดิม) เจาะเลือดเสร็จเรียบร้อย คุณหมอก็ให้รอผลตรวจอีกสองวัน ผมก็เตรียมใจไว้แล้ว ถ้าเกิดขึ้นแล้วมันก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก จนมาถึงวันฟังผลตรวจ ผมเข้าไปหาคุณหมอ ‘ชื่อเล่น หนูชื่ออะไรลูก’ ‘ชื่ออิงครับ’ ‘คืองี้นะน้องอิง ถ้าผลตรวจออกมาเป็นลบ หนูจะทำยังไงต่อ’ ‘ผมก็จะใช้ชีวิตให้ระวังมากขึ้นครับ’ ‘แล้วถ้าเป็นบวกละ’ ‘ผมก็คงต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วใช้ชีวิตต่อไปครับ’ ‘งั้นก็ดีแล้วละ พร้อมฟังผลเลือดหรือยัง’ ‘พร้อมครับ’ ‘เลือดของหนูเป็นบวกนะ’ ผมอึ้งสักพัก หัวใจผมร่วงมาอยู่ตาตุ่ม ผมยิ้มตอบรับคุณหมอ ‘ครับผม’ ถึงใบหน้าผมจะยิ้ม แต่ในใจผมก็คิดเรื่องจะบอกแม่ยังไงดี แม่จะเสียใจมั้ยที่มีลูกมั่วหลงผิดในกามอารมณ์ สักพักคุณหมอให้ผมไปตรวจ CD4 ในเลือด ในระหว่างที่ผมรอเจาะเลือด ผมจึงเดินเข้าห้องน้ำ โทรไปหาแม่ ‘แม่ หนูติดเชื้อ HIV’ ‘ทำไมหนูรู้ละลูก’ ‘หนูตรวจเลือดมาครับ’ ‘แม่รู้ก่อนหนูจะเกิดมาแล้ว’ แล้วคุณแม่ ก็เล่าเรื่องมาตั้งแต่พ่อทำงานที่ต่างจังหวัด แม่แท้ๆของผมติดเชื้อมาจากแฟนก่อนคุณพ่อของผม ซึ่งแม่แท้ๆของผมมีพี่สาวกับพี่ชายมาก่อน หลังจากนั้น แฟนแม่ของผมก็ได้มีเพศสัมพันธุ์กับผู้หญิงคนอื่น แล้วก็ได้แพร่เชื้อมาให้แม่ของผม จนคุณแม่จับได้ จึงไล่แฟนกลับไปอยู่บ้านเดิม และ เลี้ยงลูกตัวคนเดียว จนมาเจอพ่อของผม พ่อผมรักและเอ็นดู ทั้ง แม่ของผม และ พี่ชายพี่สาว จนมีผมขึ้นมา ได้เดือนกว่า คุณพ่อก็มัวแต่ทำงาน แม่ของผมก็ไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลผลปรากฎว่าติดเชื้อ HIV คุณหมอก็ให้ยาต้านไวรัสและนัดติดตามผล คุณแม่ก็เลือกที่จะไม่ไปพบหมอตามกำหนด และทิ้งยาต้านไวรัสเพราะกลัวคุณพ่อจะรู้ อยู่ด้วยกันสักพักคุณพ่อก็กลับบ้านที่อยู่ปัจจุบัน แล้วก็แพร่เชื้อให้คุณแม่(บุญธรรม) จนผมได้ลืมตาดูโลก ปัจจุบัน แม่แท้ๆของผมเสียชีวิตด้วยอะไรไม่ทราบ แต่ในใบมรณะบัตร ระบุว่าท่านติดเชื้อในกระแสเลือด ผมฟังจนจบผมก็ร้องไห้ ทำไมผมต้องมีชะตาเช่นนี้ ผมทำผิดอะไร แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้วครับ ผมไม่โกรธพีอกะแม่แต่อย่างใดที่ทำให้ผมเป็นเช่นนี้ ผมต้องขอบคุณที่พวกท่านยังคงเลี้ยงเรามาจนผมสามารถใช้ชีวิตเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
ทุกวันนี้ผมยังคงใช้ชีวิตตามปกติครับ แต่ก็ระวังไม่ให้เชื้อแพร่กระจายใส่คนอื่น ไม่มีอาการใดๆ แข็งแรงเช่นเดิม อาจจะทานอาหารเสริมบ้าง (มีสารยับยั้งไวรัส แต่ราคาแพงหูฉี่) ดีที่ว่าผมเป็นคนมองโลกในแง่บวก แล้วไม่คิดมากจนเกินไป ถ้าเราอยู่ในภาวะเครียดจนเกินไปจะทำให้ไวรัสสามารถทำร้ายได้มากขึ้น (จากคุณแม่บอกมา) HIV ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แค่เราอยู่กับมันอย่างไรให้มีความสุข ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนให้สู้ชีวิตต่อไปนะครับ
.
.
.
ขอฝากถึงท่านที่กำลังจะสร้างครอบครัวนะครับ ถ้าคิดจะมีลูกควรตรวจเลือดให้แน่ใจก่อน อย่าให้ลูกของคุณต้องได้ติดเชื้อจากความมักของพ่อแม่เหมือนของผมนะครับ พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย แถมยังต้องมาทรมานไปตลอดชีวิตทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
.
.
ขอบคุณทุกคนท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ
ประสบการณ์จากผู้ติดเชื้อ HIV แม่สู่ลูก
สวัสดีครับ ผมชื่อ อิง (นามสมมติ) ตอนนี้ ผมอายุ 19 ปีแล้วครับ ผมจะมาเล่าประสบการณ์ที่ผมใช้ชีวิตร่วมกับ HIV มาตั้งแต่เกิดครับ เผื่อ ท่านใดที่กำลังเครียดกับโรค HIV อยู่ เพราะเราสามารถใช้ชีวิตกับมันอย่างมีความสุขได้ครับ ขณะนี้ผมยังไม่ได้ใช้ยาต้านไว้รัสนะครับ ผมยังไม่พร้อมที่จะเริ่มรับประทานยา เพราะผมยังไม่สามารถจัดระเบียบการใช้ชีวิตของผมได้ แต่ผมยังไม่มีอาการรุนแรง สุขภาพอยู่ในเกณฑ์ปกติครับ (ไม่ใช่ว่าผมไม่แนะนำในการรับยาต้านไวรัสนะครับ เพราะผมยังต้องเตรียมใจในระยะหนึ่งก่อน)
เข้าเรื่องเลยนะครับ
ตอนแรกผมเป็นเด็กน้อยธรรมดา ร่าเริง และ ไร้เดียงสา อาศัยอยู่กับ คุณพ่อ และ คุณแม่(แม่บุญธรรม) พออายุ ผมเริ่ม 8 ขวบ ผมเริ่มมีอาการอ่อนเพลีย ตัวซีดเหลือง ในขณะที่กำลังทำกิจกรรมทำความสะอาดที่โรงเรียน ผมมีอาการวิงเวียนศรีษะ เหนื่อยล้า สักพักผมก็ล้มลงกับพื้น เพื่อนๆก็เรียกคุณครูมาช่วย ผมพยายามจะลืมตาขึ้นมาก็เห็นภาพพอลางๆ คุณที่โรงเรียนอุ้มผมขึ้นรถไปโรงพยาบาลอำเภอ แล้วผมก็หลับไป ตื่นขึ้นมา ที่ห้องฉุกเฉิน ก็เห็นคุณพ่อและคุณแม่ ยืนอยู่ข้างเตียง สีหน้าด้วยความเป็นห่วง พยาบาลเจาะเลือดผมออกมามีลักษณะเป็นเหมือนน้ำปนผสมกับเลือด เป็นสีแดงจางๆ คุณหมอจึงฉีดยาให้ผม (ไม่ทราบว่าเป็นยาชนิดอะไร) เรียบร้อย คุณหมอจึงให้นอนพักที่โรงพยาบาลสองวัน หลังจากพักฟื้นเส็จเรียบร้อยแล้วนั้นคุณหมอก็ให้ยาเพิ่มธาตุเหล็กมาทานซองใหญ่ๆ ผมก็ทานติดต่อกันจนหมดซอง ร่างกายผมก็กลับมาแข็งแรงปกติเช่นเดิม ผมใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาตลอด
จนอายุย่างเข้า 18 (ในระหว่างนั้นผมก็ทานพวกธาตุเหล็ก คลอโลฟิล เพิ่มเลือดความเข้มของเลือดครับ เคยบริจาคเลือดครั้งหนึง เลือดอยู่ในเกณฑ์ แต่ไม่มีการตอบกลับจากพยาบาลว่าเลือดใช้ไม่ได้) ผมเรียนอยู่ ปวส. ผมจึงขอแม่มานอนหอพักในเมืองกับเพื่อนใกล้กับวิทยาลัย ผมได้ใช้ชีวิตแบบไม่ได้มีแม่คอยดุคอยว่า กินเหล้า เที่ยวกลางคืน มีเพศสัมพันธ์กับชายอื่นบ้าง แฟนบ้าง นัดในแอพบ้าง ใส่ถุงบ้าง สดบ้าง ส่วนมากผมจะรับ (ผมเคยรุกสดครั้งหนึง ตอนนั้นผมยังคิดว่าผมไม่ติดเชื้อ) จนมาถึงช่วงหนึง ผมเริ่มกังวลว่า ผมมีโอกาสติดเชื้อหรือป่าว ผมเครียดมาก จนปรึกษาเพื่อน เพื่อนก็ให้เช็คบ้าง กินน้ำมะพร้าว ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น (เพื่อนบอกว่าผู้ติดเชื้อ HIV จะกินน้ำมะพร้าวแล้วผื่นจะขึ้น) เพื่อนก็ให้กำลังใจว่า ‘ไม่ติดหรอก ถ้าติดกูก็ติด’ (ไม่ได้กินเพื่อนนะ หมายถึงใช้แก้วน้ำร่วมกันอะไรงี้) ก็พอสบายใจได้พักหนึง ผมก็ยังทำพฤติกรรมเช่นเดิม จนมาถึงเทอมสอง ผมเริ่มกลับมาเครียดเช่นเดิม ผมจึงปรึกษาเพื่อนว่าจะไปตรวจเลือดให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ถ้าไม่ติดก็จะได้สบายใจ ถ้าติดก็จะได้แก้ไข จนผมไปตรวจที่โรงพยาบาล ปรึกษาคุณหมอ คุณหมอก็แนะนำ(ไม่เชิงแนะนำ เหมือนจะพูดให้เครียดกว่าเดิม) เจาะเลือดเสร็จเรียบร้อย คุณหมอก็ให้รอผลตรวจอีกสองวัน ผมก็เตรียมใจไว้แล้ว ถ้าเกิดขึ้นแล้วมันก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก จนมาถึงวันฟังผลตรวจ ผมเข้าไปหาคุณหมอ ‘ชื่อเล่น หนูชื่ออะไรลูก’ ‘ชื่ออิงครับ’ ‘คืองี้นะน้องอิง ถ้าผลตรวจออกมาเป็นลบ หนูจะทำยังไงต่อ’ ‘ผมก็จะใช้ชีวิตให้ระวังมากขึ้นครับ’ ‘แล้วถ้าเป็นบวกละ’ ‘ผมก็คงต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วใช้ชีวิตต่อไปครับ’ ‘งั้นก็ดีแล้วละ พร้อมฟังผลเลือดหรือยัง’ ‘พร้อมครับ’ ‘เลือดของหนูเป็นบวกนะ’ ผมอึ้งสักพัก หัวใจผมร่วงมาอยู่ตาตุ่ม ผมยิ้มตอบรับคุณหมอ ‘ครับผม’ ถึงใบหน้าผมจะยิ้ม แต่ในใจผมก็คิดเรื่องจะบอกแม่ยังไงดี แม่จะเสียใจมั้ยที่มีลูกมั่วหลงผิดในกามอารมณ์ สักพักคุณหมอให้ผมไปตรวจ CD4 ในเลือด ในระหว่างที่ผมรอเจาะเลือด ผมจึงเดินเข้าห้องน้ำ โทรไปหาแม่ ‘แม่ หนูติดเชื้อ HIV’ ‘ทำไมหนูรู้ละลูก’ ‘หนูตรวจเลือดมาครับ’ ‘แม่รู้ก่อนหนูจะเกิดมาแล้ว’ แล้วคุณแม่ ก็เล่าเรื่องมาตั้งแต่พ่อทำงานที่ต่างจังหวัด แม่แท้ๆของผมติดเชื้อมาจากแฟนก่อนคุณพ่อของผม ซึ่งแม่แท้ๆของผมมีพี่สาวกับพี่ชายมาก่อน หลังจากนั้น แฟนแม่ของผมก็ได้มีเพศสัมพันธุ์กับผู้หญิงคนอื่น แล้วก็ได้แพร่เชื้อมาให้แม่ของผม จนคุณแม่จับได้ จึงไล่แฟนกลับไปอยู่บ้านเดิม และ เลี้ยงลูกตัวคนเดียว จนมาเจอพ่อของผม พ่อผมรักและเอ็นดู ทั้ง แม่ของผม และ พี่ชายพี่สาว จนมีผมขึ้นมา ได้เดือนกว่า คุณพ่อก็มัวแต่ทำงาน แม่ของผมก็ไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลผลปรากฎว่าติดเชื้อ HIV คุณหมอก็ให้ยาต้านไวรัสและนัดติดตามผล คุณแม่ก็เลือกที่จะไม่ไปพบหมอตามกำหนด และทิ้งยาต้านไวรัสเพราะกลัวคุณพ่อจะรู้ อยู่ด้วยกันสักพักคุณพ่อก็กลับบ้านที่อยู่ปัจจุบัน แล้วก็แพร่เชื้อให้คุณแม่(บุญธรรม) จนผมได้ลืมตาดูโลก ปัจจุบัน แม่แท้ๆของผมเสียชีวิตด้วยอะไรไม่ทราบ แต่ในใบมรณะบัตร ระบุว่าท่านติดเชื้อในกระแสเลือด ผมฟังจนจบผมก็ร้องไห้ ทำไมผมต้องมีชะตาเช่นนี้ ผมทำผิดอะไร แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้วครับ ผมไม่โกรธพีอกะแม่แต่อย่างใดที่ทำให้ผมเป็นเช่นนี้ ผมต้องขอบคุณที่พวกท่านยังคงเลี้ยงเรามาจนผมสามารถใช้ชีวิตเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
ทุกวันนี้ผมยังคงใช้ชีวิตตามปกติครับ แต่ก็ระวังไม่ให้เชื้อแพร่กระจายใส่คนอื่น ไม่มีอาการใดๆ แข็งแรงเช่นเดิม อาจจะทานอาหารเสริมบ้าง (มีสารยับยั้งไวรัส แต่ราคาแพงหูฉี่) ดีที่ว่าผมเป็นคนมองโลกในแง่บวก แล้วไม่คิดมากจนเกินไป ถ้าเราอยู่ในภาวะเครียดจนเกินไปจะทำให้ไวรัสสามารถทำร้ายได้มากขึ้น (จากคุณแม่บอกมา) HIV ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แค่เราอยู่กับมันอย่างไรให้มีความสุข ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนให้สู้ชีวิตต่อไปนะครับ
.
.
.
ขอฝากถึงท่านที่กำลังจะสร้างครอบครัวนะครับ ถ้าคิดจะมีลูกควรตรวจเลือดให้แน่ใจก่อน อย่าให้ลูกของคุณต้องได้ติดเชื้อจากความมักของพ่อแม่เหมือนของผมนะครับ พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย แถมยังต้องมาทรมานไปตลอดชีวิตทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
.
.
ขอบคุณทุกคนท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ