การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นได้เพราะความเสี้ยนอยากเดินป่าล้วนๆ และก็มีตัวเลือกอยู่ไม่มากว่า "ฤดูฝน" สถานที่แห่งใดที่สามารถเดินป่าในฤดูฝน ใช้งบไม่เยอะและคงความสวยงามให้เราได้ไปซึมซับบรรยากาศได้บ้าง
คำตอบที่ได้ก็คือ
" เขาหลวงสุโขทัย อ. คีรีมาศ " และไหนๆ ก็ไปจังหวัดสุโขทัยทั้งที ถ้าจะไม่ไป
" อุทยานประวัติศาสตร์ " มันก็จะแปลกๆ รู้สึกเสียเที่ยวเหมือนมาไม่ถึงจังหวัดสุโขทัยยังไงก็ไม่รู้ และเพื่อให้การท่องเที่ยวในครั้งนี้ซึมซับความเป็นสุโขทัยให้มากที่สุด เราจะใช้เวลา 3 วัน 2 คืน กับการใช้ชีวิตในจังหวัดสุโขทัย โดยวางกำหนดการไว้ดังนี้
วันที่ 25 - 28 พ.ค. 2561
วันแรก 26 พ.ค. 2561 : เดินป่าพิชิตเขาหลวงสุโขทัย และค้างแรม 1 คืน
วันที่สอง 27 พ.ค. 2561 : ลงจากเขา และมุ่งหน้าเข้าเมืองเก่า ปั่นจักรยานเที่ยวชมอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และค้างแรมอีก 1 คืน
วันที่สาม 28 พ.ค. 2561 : ช่วงเช้า เก็บตกบรรยากาศอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยยามเช้า และเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ
วันที่ 25 พ.ค. 2561
เวลา 21.00 น. ณ สถานีขนส่งหมอชิต 2 รอเวลาออกเดินทางสู่ จังหวัดสุโขทัย โดยใช้บริการของบริษัท
สุโขทัย วินทัวร์ ในรอบเวลา 22.00 น. เพื่อให้ถึงปลายทางที่เราจะลง คือ อ. คีรีมาศ ประมาณ ตี 4-5 ต้องบอกก่อนว่ารอบรถที่เรามาเป็นรถประภท ป.1 ก็ตามสภาพอย่างที่เคยนั่งๆ กัน แต่สำหรับบางคนถ้าอยากได้รถนั่งสบายกว่านี้ก็อาจจะได้รอบเวลา ที่เร็วหน่อย แต่ก็จะถึงปลายทางประมาณ ตี 1-2 หรือเร็วกว่านั้นก็แล้วแต่รอบเวลา การเดินทางก็จะใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง
วันที่ 26 พ.ค. 2561
เวลา 05.00 น. เราก็เดินทางมาถึงยัง อ. คีรีมาศ ซึ่งเป็นปลายทางที่เราจะเหมารถต่อไปยัง อุทยานแห่งชาติรามคำแหง หรือเขาหลวงสุโขทัย นั่นเอง ซึ่งการเหมารถนั้น เขาจะคิดราคาเป็นกลุ่ม ซึ่งเราโทรแจ้งไว้ว่ามาแค่ 2 คน ก็ได้ราคาที่ 350 บาท แต่วันนั้นบังเอิญมีเพื่อนเดินทางเพิ่มอีก 2 คนที่ อ. คีรีมาศ ขอไปด้วย ก็เลยโดนเรทราคาเท่ากับเรา คือ 2 คน 350 บาทเหมือนกัน เพราะถือว่าเป็นคนละกลุ่มกัน
(สมมุติถ้าแจ้งว่ามา 4 คน ตั้งแต่แรก ก็จะอาจจะแค่ 4 คน 350 บาท ประมาณนี้)
ระหว่างรอคนมารับก็กักตุนเสบียงอาหารให้เรียบร้อย เพื่อเอาไว้กินระหว่างเดินทางขึ้นเขา และระหว่างใช้ชีวิตอยู่บนนั้น จริงๆ ข้างบนก็มีร้านค้าของเจ้าหน้าที่นะ แต่ว่าของน้อยอาจไม่เพียงพอสำหรับบางคน
05.40 น. รถที่เราได้ทำการเหมาไว้ก็มารับ และพาแวะซื้อเสบียงตุน ข้าวเหนียวหมู ไว้ไปกินระหว่างทางเดินขึ้นเขา ใช้เวลาเดินทางไม่นานเราก็มาถึงยัง อุทยานแห่งชาติรามคำแหง หลังจากนี้ก็ไปล้างหน้า แปรงฟัน รอเวลาที่ทำการอุทยานเปิด ประมาณ 7.00 น. เพื่อเช่าเต๊นท์ และมัดจำขยะ ค่าใช้จ่ายก็จะมีประมาณนี้
- ค่าเต๊นท์ 1-3 คน 225 บาท
- ค่าที่รองนอนแผ่นละ 20 บาท
- ค่ามัดจำขยะ 200 บาท
หลังจากนี้ ก็ได้เวลาของการ “พิชิตเขาหลวงสุโขทัย ไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก” เราเริ่มเดินขึ้นเขาในเวลา 7.40 น. บรรยากาศในวันนั้นไม่ร้อนมากนัก เพราะเมฆค่อนข้างหนา
ก่อนจะขึ้นนั้นก็แวะขอพร พระแม่ย่า และพระพุทธรูปที่ศาลาข้างๆ เพื่อเป็นศิริมงคลกันก่อน
จากจุดนี้เราจะเดินทางด้วยระยะทาง 3,720 ม. สู่ค่ายพักแรมด้านบน ต้องบอกก่อนเลยว่ามีแต่ทางชัน 98% ฮ่าๆ
เดินมาประมาณเกือบ 40 นาที กับระยะทาง 1 กิโลเมตร เราก็มาถึงยังจุดแรก นั่นคือ “ประดู่ใหญ่“ แค่ด่านแรกก็เล่นเอาเสียเเหงื่อไปพอสมควร และทางที่เหลือจะเป็นอย่างไร รอดูได้เลย
เดินมาอีก 30 นาที ก็มาถึง “มออีกหก“ ระยะทางแค่ 400 เมตร แต่ทำไมเดินนาน ก็เพราะว่าเรามีแอบแวะพักระหว่างทางนิดหน่อย แล้วอีกอย่างทางมันค่อนข้างชัน และไม่มีรูปมาให้ได้ดูเลย
ตอนนี้เราก็เดินมาระยะทาง 1,600 เมตร จากจุดที่แล้ว ใช้เวลาในการเดินไม่ถึง 10 นาที ก็มาถึงยัง “จุดชมวิว“ ซึ่งเป็นจุดที่สามารถมองลงไปเห็นวิวด้านล่างได้ มองดีๆ จะเห็นหลังคาที่ทำการอุทยานด้านล่างเลย และจุดนี้ยังเป็นจุดให้นั่งพักด้วย
หลังจากนั่งพักให้พอหายเหนื่อย เราก็เดินทางกันต่อซึ่งระหว่างทางนั้นก็ผ่าน จุดพัก “น้ำดิบผามะหาด” ที่ระยะทาง 2,320 เมตร ซึ่งเป็นจุดของต้นน้ำดิบที่ต่อท่อลงไปด้านล่างให้เราได้ดื่มกินกันตลอดทาง และเดินต่อมาอีก 400 เมตร ก็มาถึงยังจุด “ชานเบิกไพร” ซึ่ง 2 จุดที่ผ่านมานั้นไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ชม
และตอนนี้เราก็เดินทางมาเป็นระยะทาง 3,000 เมตร ซึ่งจุดนี้เรียกว่า “ไทรงาม” ซึ่งก็งดงามสมกับชื่อ ซึ่งผ่านมาถึงจุดนี้ต้องบอกเลยว่าอากาศค่อนข้างเย็นสบายมากถ้าเทียบกับที่ผ่านๆ มา
เดินต่อมาอีกนิดเราก็ผ่านจุด “ ถ้ำพระนาราย” 3,030 ม. “ถ้ำพระ” 3,040 ม. “ถ้ำค้างคาว” 3,100 ม.
20 นาทีถัดมาก็มาถึงยังจุด “ปล่องนางนาค” ซึ่งเป็นจุดที่มีเรื่องราวความเชื่อที่เราสืบต่อกันมา หากอยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรก็ลองอ่านได้ที่รูปถัดไปเลย
จากปล่องนางนาคเดินมาอีกอึดใจเดียวก็มาถึงยังจุด “พระยาแล่นเรือ” ที่ระยะทาง 3,520 ม. ซึ่งขอบอกเลยว่าเตรียมดีใจได้เลย เพราะอีกไม่ถึง 200 เมตร คุณก็จะเป็นผู้พิชิตเขาหลวงสุโขทัยแล้ว
และในที่สุด เวลา 11.40 น. เราก็มาถึงยังค่ายพักแรม ณ ยอดเขาหลวงสุโขทัย ที่ ระยะทาง 3,720 เมตร กับความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ผมใช้เวลา 4 ชม. ซึ่งก็เป็นมาตรฐานสำหรับคนที่เดินเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักอย่างผม
เดินมา 4 ชม. ผมขอทิ้งตัวนอนบนยอดเขาสักหน่อยซึมซับบรรยากาศสักพัก มันฟินเหลือเกินนนนน
หลังจากนี้เราก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เลือกจุดที่จะกางเต๊นท์นอนในค่ำคืนนี้ ซึ่งมาถึงแรกๆ พื้นที่ก็มีให้เลือกเยอะอยากนอนตรงไหนก็บอกเจ้าหน้าที่ได้เลย
หลังจากได้นอนสักชั่วโมง เวลา 14.30 เราก็ลุยกันต่อเลยซึ่งจุดหมายของเรานั่นก็คือ ยอดเขาเจดีย์ ยอดเขาภูกา และไปดูพระอาทิตย์ตกที่ยอดเขาพระแม่ย่า ซึ่งระยะทางก็ตามรูปด้านล่างนี้เลย
เดินมายังไม่ทันจะถึงยอดเขาเจดีย์ เมฆฝนก็ลอยมาเต็มหัวเเล้ว และในที่สุดก็ตกลงมาจนได้ ต้องบอกว่าฝนตกหนักมาก ทำให้กังวลเรื่องความปลอดภัย ซึ่งพื้นนั้นค่อนข้างที่จะลื่น และทางเดินก็เป็นทางชัน ทำให้เราตัดสินใจที่จะเดินกลับที่ไปยังค่ายพักเเรม หวังว่าฝนจะหยุดและจะมาลุยกันใหม่ และสุดท้ายก็ผิดหวังเพราะฝนตกยัน 6 โมงเย็น ทำให้เราตัดสินใจอาบน้ำ เข้านอน และภาวนาให้ฝนหยุดเพื่อทีตอนเช้าหวังจะได้เห็นแสงอาทิตย์ และทะเลหมอก ที่ยอดเขาพระนาราย์
วันที่ 27 พ.ค. 2561
เช้าวันรุ่งขึ้น รีบตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน และรีบเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดเขาพระนารายณ์ ที่อยู่เพียงแค่ 400 เมตรเท่านั้น ซึ่งต้องบอกว่าเป็นความทรงจำที่ประทับใจมาก ซึ่งเช้าวันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งมาก และพระอาทิตย์ก็โผล่ออกมาให้เราเห็น
ต้องบอกเลยว่าชัตเตอร์ของแต่ละคนนั้นรัวกันไม่หยุดเลยทีเดียว เราใช้เวลาถ่ายรูปและเก็บบรรยากาศ ณ จุดนี้ประมาณ ชั่วโมงนึง เราก็เดินเท้าไปกันต่อยัง ยอดเขาพระแม่ย่าที่เมื่อวานเราไม่ได้ไปดูพระอาทิตย์ตกเนื่องจากท้องฟ้าปิด และฝนตกหนัก
ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงยอดเขาพระแม่ย่า ซึ่งต้องบอกเลยว่าวิวสวยมาก เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่ได้มาดูพระอาทิตย์ตกที่นี่
และที่เห็นอยู่นั่นก็คือ “ยอดเขาภูกา” ซึ่งเป็นยอดเขาที่อยู่ไกลที่สุด ตอนแรกว่าจะไปให้ได้แต่ด้วยลางสังหรณ์ที่ไม่ดีคือ ทางเดินลงจากยอดเขาพระแม่ย่าชันมาก 60 - 70 องศา ทำให้ค่อนข้างที่จะลื่นมากๆ และบังเอิญไปเจอกับลูกงูเล็กอีก รู้สึกใจคอไม่ดีเลยตัดสินใจกลับ และไปแวะที่ “ผาชมปรง” แทน
เดินกลับมาประมาณ 10 นาที ก็ถึงแล้ว “ผาชมปรง” จริงๆ แล้วมันอยู่ใกล้ๆ “ผานารายณ์” นั่นแหละ แต่แค่ไม่ได้แวะในตอนแรก
ซึ่งถ้าใครขี้เกียจเดินมาเขาพระแม่ย่า ก็เลือกที่จะมาผาชมปรง แล้วกลับก็ได้ ที่เห็นอยู่ไม่ไกล 2 ยอดนั้นถ้าไล่จากซ้ายไปขวานั่นก็คือ ยอดเขาพระแม่ย่า และยอดเขาภูกา นั่นเอง
เอาจริงๆ วิวตรงนี้ก็สวยงามไม่แพ้ที่อื่นเลย พูดง่ายๆ ยอดเขาทุกยอดที่นี่สวยงามหมดทุกที่เลย
หลังจากเรากลับมาถึงยังค่ายพักแรม ก็แวะนั่งกินมาม่า เป็นอาหารเช้ารองท้องสักหน่อย ส่วนสัมภาระฝากลูกหาบลงไปตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว และเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ
รอติดตามตอนต่อไป[/
[CR] ปีนเขาหลวง ปั่นรถถีบ นอนสักงีบสุโขทัย 3 วัน 2 คืน
การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นได้เพราะความเสี้ยนอยากเดินป่าล้วนๆ และก็มีตัวเลือกอยู่ไม่มากว่า "ฤดูฝน" สถานที่แห่งใดที่สามารถเดินป่าในฤดูฝน ใช้งบไม่เยอะและคงความสวยงามให้เราได้ไปซึมซับบรรยากาศได้บ้าง
คำตอบที่ได้ก็คือ " เขาหลวงสุโขทัย อ. คีรีมาศ " และไหนๆ ก็ไปจังหวัดสุโขทัยทั้งที ถ้าจะไม่ไป " อุทยานประวัติศาสตร์ " มันก็จะแปลกๆ รู้สึกเสียเที่ยวเหมือนมาไม่ถึงจังหวัดสุโขทัยยังไงก็ไม่รู้ และเพื่อให้การท่องเที่ยวในครั้งนี้ซึมซับความเป็นสุโขทัยให้มากที่สุด เราจะใช้เวลา 3 วัน 2 คืน กับการใช้ชีวิตในจังหวัดสุโขทัย โดยวางกำหนดการไว้ดังนี้
วันที่ 25 - 28 พ.ค. 2561
วันแรก 26 พ.ค. 2561 : เดินป่าพิชิตเขาหลวงสุโขทัย และค้างแรม 1 คืน
วันที่สอง 27 พ.ค. 2561 : ลงจากเขา และมุ่งหน้าเข้าเมืองเก่า ปั่นจักรยานเที่ยวชมอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และค้างแรมอีก 1 คืน
วันที่สาม 28 พ.ค. 2561 : ช่วงเช้า เก็บตกบรรยากาศอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยยามเช้า และเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ
วันที่ 25 พ.ค. 2561
เวลา 21.00 น. ณ สถานีขนส่งหมอชิต 2 รอเวลาออกเดินทางสู่ จังหวัดสุโขทัย โดยใช้บริการของบริษัท สุโขทัย วินทัวร์ ในรอบเวลา 22.00 น. เพื่อให้ถึงปลายทางที่เราจะลง คือ อ. คีรีมาศ ประมาณ ตี 4-5 ต้องบอกก่อนว่ารอบรถที่เรามาเป็นรถประภท ป.1 ก็ตามสภาพอย่างที่เคยนั่งๆ กัน แต่สำหรับบางคนถ้าอยากได้รถนั่งสบายกว่านี้ก็อาจจะได้รอบเวลา ที่เร็วหน่อย แต่ก็จะถึงปลายทางประมาณ ตี 1-2 หรือเร็วกว่านั้นก็แล้วแต่รอบเวลา การเดินทางก็จะใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง
วันที่ 26 พ.ค. 2561
เวลา 05.00 น. เราก็เดินทางมาถึงยัง อ. คีรีมาศ ซึ่งเป็นปลายทางที่เราจะเหมารถต่อไปยัง อุทยานแห่งชาติรามคำแหง หรือเขาหลวงสุโขทัย นั่นเอง ซึ่งการเหมารถนั้น เขาจะคิดราคาเป็นกลุ่ม ซึ่งเราโทรแจ้งไว้ว่ามาแค่ 2 คน ก็ได้ราคาที่ 350 บาท แต่วันนั้นบังเอิญมีเพื่อนเดินทางเพิ่มอีก 2 คนที่ อ. คีรีมาศ ขอไปด้วย ก็เลยโดนเรทราคาเท่ากับเรา คือ 2 คน 350 บาทเหมือนกัน เพราะถือว่าเป็นคนละกลุ่มกัน
(สมมุติถ้าแจ้งว่ามา 4 คน ตั้งแต่แรก ก็จะอาจจะแค่ 4 คน 350 บาท ประมาณนี้)
ระหว่างรอคนมารับก็กักตุนเสบียงอาหารให้เรียบร้อย เพื่อเอาไว้กินระหว่างเดินทางขึ้นเขา และระหว่างใช้ชีวิตอยู่บนนั้น จริงๆ ข้างบนก็มีร้านค้าของเจ้าหน้าที่นะ แต่ว่าของน้อยอาจไม่เพียงพอสำหรับบางคน
05.40 น. รถที่เราได้ทำการเหมาไว้ก็มารับ และพาแวะซื้อเสบียงตุน ข้าวเหนียวหมู ไว้ไปกินระหว่างทางเดินขึ้นเขา ใช้เวลาเดินทางไม่นานเราก็มาถึงยัง อุทยานแห่งชาติรามคำแหง หลังจากนี้ก็ไปล้างหน้า แปรงฟัน รอเวลาที่ทำการอุทยานเปิด ประมาณ 7.00 น. เพื่อเช่าเต๊นท์ และมัดจำขยะ ค่าใช้จ่ายก็จะมีประมาณนี้
- ค่าเต๊นท์ 1-3 คน 225 บาท
- ค่าที่รองนอนแผ่นละ 20 บาท
- ค่ามัดจำขยะ 200 บาท
หลังจากนี้ ก็ได้เวลาของการ “พิชิตเขาหลวงสุโขทัย ไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก” เราเริ่มเดินขึ้นเขาในเวลา 7.40 น. บรรยากาศในวันนั้นไม่ร้อนมากนัก เพราะเมฆค่อนข้างหนา
ก่อนจะขึ้นนั้นก็แวะขอพร พระแม่ย่า และพระพุทธรูปที่ศาลาข้างๆ เพื่อเป็นศิริมงคลกันก่อน
จากจุดนี้เราจะเดินทางด้วยระยะทาง 3,720 ม. สู่ค่ายพักแรมด้านบน ต้องบอกก่อนเลยว่ามีแต่ทางชัน 98% ฮ่าๆ
เดินมาประมาณเกือบ 40 นาที กับระยะทาง 1 กิโลเมตร เราก็มาถึงยังจุดแรก นั่นคือ “ประดู่ใหญ่“ แค่ด่านแรกก็เล่นเอาเสียเเหงื่อไปพอสมควร และทางที่เหลือจะเป็นอย่างไร รอดูได้เลย
เดินมาอีก 30 นาที ก็มาถึง “มออีกหก“ ระยะทางแค่ 400 เมตร แต่ทำไมเดินนาน ก็เพราะว่าเรามีแอบแวะพักระหว่างทางนิดหน่อย แล้วอีกอย่างทางมันค่อนข้างชัน และไม่มีรูปมาให้ได้ดูเลย
ตอนนี้เราก็เดินมาระยะทาง 1,600 เมตร จากจุดที่แล้ว ใช้เวลาในการเดินไม่ถึง 10 นาที ก็มาถึงยัง “จุดชมวิว“ ซึ่งเป็นจุดที่สามารถมองลงไปเห็นวิวด้านล่างได้ มองดีๆ จะเห็นหลังคาที่ทำการอุทยานด้านล่างเลย และจุดนี้ยังเป็นจุดให้นั่งพักด้วย
หลังจากนั่งพักให้พอหายเหนื่อย เราก็เดินทางกันต่อซึ่งระหว่างทางนั้นก็ผ่าน จุดพัก “น้ำดิบผามะหาด” ที่ระยะทาง 2,320 เมตร ซึ่งเป็นจุดของต้นน้ำดิบที่ต่อท่อลงไปด้านล่างให้เราได้ดื่มกินกันตลอดทาง และเดินต่อมาอีก 400 เมตร ก็มาถึงยังจุด “ชานเบิกไพร” ซึ่ง 2 จุดที่ผ่านมานั้นไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ชม
และตอนนี้เราก็เดินทางมาเป็นระยะทาง 3,000 เมตร ซึ่งจุดนี้เรียกว่า “ไทรงาม” ซึ่งก็งดงามสมกับชื่อ ซึ่งผ่านมาถึงจุดนี้ต้องบอกเลยว่าอากาศค่อนข้างเย็นสบายมากถ้าเทียบกับที่ผ่านๆ มา
เดินต่อมาอีกนิดเราก็ผ่านจุด “ ถ้ำพระนาราย” 3,030 ม. “ถ้ำพระ” 3,040 ม. “ถ้ำค้างคาว” 3,100 ม.
20 นาทีถัดมาก็มาถึงยังจุด “ปล่องนางนาค” ซึ่งเป็นจุดที่มีเรื่องราวความเชื่อที่เราสืบต่อกันมา หากอยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรก็ลองอ่านได้ที่รูปถัดไปเลย
จากปล่องนางนาคเดินมาอีกอึดใจเดียวก็มาถึงยังจุด “พระยาแล่นเรือ” ที่ระยะทาง 3,520 ม. ซึ่งขอบอกเลยว่าเตรียมดีใจได้เลย เพราะอีกไม่ถึง 200 เมตร คุณก็จะเป็นผู้พิชิตเขาหลวงสุโขทัยแล้ว
และในที่สุด เวลา 11.40 น. เราก็มาถึงยังค่ายพักแรม ณ ยอดเขาหลวงสุโขทัย ที่ ระยะทาง 3,720 เมตร กับความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ผมใช้เวลา 4 ชม. ซึ่งก็เป็นมาตรฐานสำหรับคนที่เดินเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักอย่างผม
เดินมา 4 ชม. ผมขอทิ้งตัวนอนบนยอดเขาสักหน่อยซึมซับบรรยากาศสักพัก มันฟินเหลือเกินนนนน
หลังจากนี้เราก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เลือกจุดที่จะกางเต๊นท์นอนในค่ำคืนนี้ ซึ่งมาถึงแรกๆ พื้นที่ก็มีให้เลือกเยอะอยากนอนตรงไหนก็บอกเจ้าหน้าที่ได้เลย
หลังจากได้นอนสักชั่วโมง เวลา 14.30 เราก็ลุยกันต่อเลยซึ่งจุดหมายของเรานั่นก็คือ ยอดเขาเจดีย์ ยอดเขาภูกา และไปดูพระอาทิตย์ตกที่ยอดเขาพระแม่ย่า ซึ่งระยะทางก็ตามรูปด้านล่างนี้เลย
เดินมายังไม่ทันจะถึงยอดเขาเจดีย์ เมฆฝนก็ลอยมาเต็มหัวเเล้ว และในที่สุดก็ตกลงมาจนได้ ต้องบอกว่าฝนตกหนักมาก ทำให้กังวลเรื่องความปลอดภัย ซึ่งพื้นนั้นค่อนข้างที่จะลื่น และทางเดินก็เป็นทางชัน ทำให้เราตัดสินใจที่จะเดินกลับที่ไปยังค่ายพักเเรม หวังว่าฝนจะหยุดและจะมาลุยกันใหม่ และสุดท้ายก็ผิดหวังเพราะฝนตกยัน 6 โมงเย็น ทำให้เราตัดสินใจอาบน้ำ เข้านอน และภาวนาให้ฝนหยุดเพื่อทีตอนเช้าหวังจะได้เห็นแสงอาทิตย์ และทะเลหมอก ที่ยอดเขาพระนาราย์
วันที่ 27 พ.ค. 2561
เช้าวันรุ่งขึ้น รีบตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน และรีบเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดเขาพระนารายณ์ ที่อยู่เพียงแค่ 400 เมตรเท่านั้น ซึ่งต้องบอกว่าเป็นความทรงจำที่ประทับใจมาก ซึ่งเช้าวันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งมาก และพระอาทิตย์ก็โผล่ออกมาให้เราเห็น
ต้องบอกเลยว่าชัตเตอร์ของแต่ละคนนั้นรัวกันไม่หยุดเลยทีเดียว เราใช้เวลาถ่ายรูปและเก็บบรรยากาศ ณ จุดนี้ประมาณ ชั่วโมงนึง เราก็เดินเท้าไปกันต่อยัง ยอดเขาพระแม่ย่าที่เมื่อวานเราไม่ได้ไปดูพระอาทิตย์ตกเนื่องจากท้องฟ้าปิด และฝนตกหนัก
ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงยอดเขาพระแม่ย่า ซึ่งต้องบอกเลยว่าวิวสวยมาก เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่ได้มาดูพระอาทิตย์ตกที่นี่
และที่เห็นอยู่นั่นก็คือ “ยอดเขาภูกา” ซึ่งเป็นยอดเขาที่อยู่ไกลที่สุด ตอนแรกว่าจะไปให้ได้แต่ด้วยลางสังหรณ์ที่ไม่ดีคือ ทางเดินลงจากยอดเขาพระแม่ย่าชันมาก 60 - 70 องศา ทำให้ค่อนข้างที่จะลื่นมากๆ และบังเอิญไปเจอกับลูกงูเล็กอีก รู้สึกใจคอไม่ดีเลยตัดสินใจกลับ และไปแวะที่ “ผาชมปรง” แทน
เดินกลับมาประมาณ 10 นาที ก็ถึงแล้ว “ผาชมปรง” จริงๆ แล้วมันอยู่ใกล้ๆ “ผานารายณ์” นั่นแหละ แต่แค่ไม่ได้แวะในตอนแรก
ซึ่งถ้าใครขี้เกียจเดินมาเขาพระแม่ย่า ก็เลือกที่จะมาผาชมปรง แล้วกลับก็ได้ ที่เห็นอยู่ไม่ไกล 2 ยอดนั้นถ้าไล่จากซ้ายไปขวานั่นก็คือ ยอดเขาพระแม่ย่า และยอดเขาภูกา นั่นเอง
เอาจริงๆ วิวตรงนี้ก็สวยงามไม่แพ้ที่อื่นเลย พูดง่ายๆ ยอดเขาทุกยอดที่นี่สวยงามหมดทุกที่เลย
หลังจากเรากลับมาถึงยังค่ายพักแรม ก็แวะนั่งกินมาม่า เป็นอาหารเช้ารองท้องสักหน่อย ส่วนสัมภาระฝากลูกหาบลงไปตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว และเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ รอติดตามตอนต่อไป[/
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น