คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ยอมรับความเปลี่ยนแปลงให้ได้ค่ะ อดีตจะเป็นยังไงช่างมัน ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลงทุกคน ต่อไปนี้ให้เริ่มต้นใหม่นะคะ
ถ้าอยากเปลี่ยน เราว่า จขกท ควรเริ่มจากปรับใจตัวเองให้เศร้าน้อยลงก่อน เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อน คิดถึงอดีตให้น้อยลง สังเกตดูว่าคิดอะไรแล้วทำให้เศร้าเลิกคิดให้หมดนะคะ หาอะไรที่ทำแล้วมีความสุข เช่น ออกกำลังกาย ทำบุญ ถึงจะฟังดูน้ำเน่าหน่อยๆ แต่พอคุณเศร้าน้อยลงและมีความสุขมากขึ้น ใจจะมีความหวัง และมีแรงพร้อมทำสิ่งใหม่ๆให้ชีวิตดีขึ้นเองค่ะ
ตั้งเป้าในชีวิต วางแผนและลงมือพัฒนาตัวเองไปให้ถึงที่ตั้งไว้ ถึงไม่เก่งก็ทำเท่าที่ได้อย่างน้อยก็พัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกนิดแล้ว ดีกว่าอยู่เฉยๆแล้วไม่ลงมือแก้ปัญหานะคะ อย่าให้ความเก่งอย่างเดียวเป็นตัวกำหนดคุณค่าในชีวิตค่ะ สู้ๆ และเป็นกำลังใจให้นะคะ
ถ้าอยากเปลี่ยน เราว่า จขกท ควรเริ่มจากปรับใจตัวเองให้เศร้าน้อยลงก่อน เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อน คิดถึงอดีตให้น้อยลง สังเกตดูว่าคิดอะไรแล้วทำให้เศร้าเลิกคิดให้หมดนะคะ หาอะไรที่ทำแล้วมีความสุข เช่น ออกกำลังกาย ทำบุญ ถึงจะฟังดูน้ำเน่าหน่อยๆ แต่พอคุณเศร้าน้อยลงและมีความสุขมากขึ้น ใจจะมีความหวัง และมีแรงพร้อมทำสิ่งใหม่ๆให้ชีวิตดีขึ้นเองค่ะ
ตั้งเป้าในชีวิต วางแผนและลงมือพัฒนาตัวเองไปให้ถึงที่ตั้งไว้ ถึงไม่เก่งก็ทำเท่าที่ได้อย่างน้อยก็พัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกนิดแล้ว ดีกว่าอยู่เฉยๆแล้วไม่ลงมือแก้ปัญหานะคะ อย่าให้ความเก่งอย่างเดียวเป็นตัวกำหนดคุณค่าในชีวิตค่ะ สู้ๆ และเป็นกำลังใจให้นะคะ
แสดงความคิดเห็น
รู้สึกไม่ชอบชีวิตของตัวเองมากๆ ต้องทำอย่างไรดี
เมื่อก่อนเคยเป็นผู้นำคนอื่นได้ เคยมีความคิดดีๆ สร้างสรรค์ มีผู้ตามมาก เพราะคิดว่าเราเป็นคนดี สมองดี เรียนดี แต่พอโตมาหน่อย เราก็กลัวว่าทุกอย่างมันจะไม่เหมือนเดิม เรากลัวการไม่มีคนเห็นด้วยกับเรา กลัวว่าจะไม่มีคนอยู่กับเรา กลัวว่าจะเรียนไม่เก่ง กลัวจะไม่มีคนชอบ และความกลัวพวกนั้น กลับกลายเป็นเรื่องจริง เราต้องอยู่คนเดียว ไม่กล้าเกี่ยวข้องกับใคร จากเดิมที่มีคนรู้จักในทางที่ดี เนื่องจากเราอยู่ในครอบครัวที่ดี พ่อกับแม่คนรู้จักเยอะ เราจึงต้องทำตัวดีๆเข้าไว้ จะได้ทำให้ครอบครัวไม่เสื่อมเสีย
แต่โตมา ก็เหมือนบุญเก่าหมด อ่านไปก็ไม่เข้าหัว ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน เรียนยากขึ้น แต่อ่านหนังสือน้อยลง ปรับตัวกับสังคมไม่ได้ จากตอนแรกที่ดี กลายเป็นแย่ เราไม่มีที่พึ่ง ไม่รู้จะปรึกษาใคร ไม่อยากเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง เพราะกลัวว่าจะทำให้เขาหนักใจ
แล้วมันก็เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ กลัวจะทำให้คนนั้นคนนี้ลำบากใจเพราะเรา เลยไม่กล้าทำอะไรกับใคร แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ดี แล้วก็เก็บมาเครียด ตอนม.ปลายเลยมีอาการซึมเศร้า ตอนนั้นเลิกอ่านหนังสือทุกอย่าง คิดแค่เดี๋ยวเวลาจะช่วยเยียวยา และเดี๋ยวทุกอย่างก็จบลง เราติดมหาวิทยาลัยนึง แตกต่างกับเพื่อน ขณะที่เพื่อนได้เป็นหมอ ทันตะ กับเกินครึ่งห้อง เราได้คณะทางสายศิลป์ เราเสียใจกับตัวเองที่ไม่อาจไปกับเพื่อนได้
และความเศร้านั้น มันก็ติดตัวเรามาตลอด ไม่ว่าจะเรียนจบปี 1 ปี 2 เราเศร้าเสียใจ และอ่านหนังสือไม่ได้ มันไม่จำอะไรเลย ใช้ชีวิตไปวันๆ เพื่อให้เราพยายามมีความสุขขึ้นมาสักนิดหนึ่ง เรารู้สึกไม่ได้ชอบการใช้ชีวิตแบบนี้ ไม่ได้ชอบคณะนี้ แต่ไปไหนไม่ได้ สอบกสพทไม่ได้ เพราะไม่อยากลาออก ไม่อยากมีประวัติไม่ดี แต่ก็อ่านหนังสือไม่ไหวอยู่ดี และชื่อเสียงของครอบครัวยังค้ำคอ เราต้องเรียนให้จบก่อน
พอเรียนจบปีที่ 4 คนอื่นเริ่มหางานกัน แต่เราไม่ได้กระตือรือร้นขนาดนั้น ครอบครัวเราทำให้เรามีลู่ทางต่อไปข้างหน้าได้ แต่เราก็ไม่ได้ดีเหมือนกับเพื่อน ม.ปลายคนอื่นๆแน่ เราเริ่มรู้สึกไม่ชอบตัวเองและไม่ชอบชีวิตตัวเอง และถ้าต้องอยู่กับชีวิตแบบนี้ไปตลอดชีวิตเราก็รับไม่ได้ แต่ถ้าเรียนต่อหรือเรียนใหม่ ค่าใช้จ่ายมันอาจมากเกินไป และเราก็พยายามไม่เก็บมาเครียด ตอนนี้พยายามไม่คิดมาก พยายามใช้ชีวิตต่อไปในแต่ละวัน แต่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี
ตอนมหาลัย เราไม่ได้ใช้ชีวิตแบบมหาลัย พอเข้ามหาลัยปุ๊บ สายรหัสก็ขาด เราไม่มีพี่รหัส ไม่มีน้องรหัส เศร้ามาก สังคมในคณะก็แปลกมาก เราอยากได้สังคมที่ดีกว่านี้ พ่อบอกว่าถ้าอยากได้อะไรหรืออยากให้สังคมเป็นแบบไหน ต้องเริ่มที่ตัวเรา แต่เราตอนนั้นคือ เหนื่อยกับชีวิตมาก และทำอะไรไม่ไหวแล้ว เราได้แต่ทนใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ รอให้ผ่านไปในแต่ละวัน เราไม่ได้มีกลุ่มเพื่อนที่เฮฮาหรือตลก แบบที่ควรจะมีในสังคมมหาลัย ไม่มีเหมือนกับม.ปลายด้วยซ้ำ ที่อย่างน้อย เราจะเข้าไปฟังเงียบๆ และหัวเราะไปกับพวกเขา ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจริงๆ
แล้วอีกไม่นานก็จะต้องเริ่มทำงานแล้ว แต่เรายังไม่ชอบชีวิตตอนนี้เลย และการทำงานจะต้องทำให้เราอยู่ที่นี่อีกนาน ทั้งที่เรายังไม่ชอบชีวิตตอนนี้ เราคิดว่าอนาคตต้องเหนื่อยมากแน่ๆ ต้องทำอย่างไรดี