สวัสดีครับ สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันอาทิตย์ MC แอ๊ด (หวางเจ๋)) ประจำการต่ออีก 1 วันครับ ^^
เมื่อวานนี้เริ่มพูดถึงเรื่อง แชมป์เก่าของฟุตบอลโลก มักจะทำผลงานไม่ดีในฟุตบอลโลกครั้งถัดไป ไม่มีทีมใดสามารถป้องกันแชมป์ได้ นับตั้งแต่ทีมชาติอังกฤษ แชมป์โลกปี 1966 เป็นต้นมา...
เรื่องราวเมื่อวานนี้จบตรงที่เยอรมัน แชมป์ปี 1990 ไปป้องกันแชมป์ที่อเมริกา และตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยการแพ้บัลแกเรีย
วันนี้เรามาต่อกันที่.....
8."บราซิล" แชมป์ปี 1994 ไปป้องกันแชมป์ที่ฝรั่งเศส ปี 1998
ฟุตบอลโลกครั้งนี้ นับเป็นฟุตบอลโลกครั้งที่สองที่จัดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส หลังจากที่เคยเป็นเจ้าภาพมาแล้วในปี ค.ศ.1938 กราฟิกหน้าจอโทรทัศน์ครั้งนี้ ขึ้นเป็นตัวหนังสือภาษาฝรั่งเศสไปทั่วโลก ผู้ที่ทำประตูได้มากที่สุดในการแข่งขันครั้งนี้คือ
ดาวอร์ ซูเคอร์ ของโครเอเชีย ซึ่งยิงไป 6 ประตู
และฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กติกา
โกลเดนโกล หรือ
ซัดเดินเดธ ซึ่งกำหนดให้ทีมที่ยิงประตูได้ในช่วงทดเวลาได้ก่อนเป็นผู้ชนะถูกนำมาใช้ โดยโกลเดนโกลครั้งแรกของโลก เกิดขึ้นจากลูกยิงของโลร็องต์ บล็องก์ กองหลังทีมชาติฝรั่งเศสในรอบสองซึ่งพบกับปารากวัย
รอบแรก แชมป์เก่าบราซิลอยู่สาย A ร่วมกับ นอร์เวย์ โมร็อกโก และสก็อตแลนด์ น่าจะเป็นงานง่ายสำหรับขุนพลแซมบ้า นัดแรกชนะสก็อตแลนด์ 2-1 นัดที่สองถล่มโมร็อกโก 3-0 แต่แพ้นอร์เวย์ในนัดสุดท้าย 1-2 แต่ก็ยังเป็นที่หนึ่งในสายเข้ารอบไปกับนอร์เวย์
รอบ 16 ทีมสุดท้าย บราซิลยำชิลีไป 4-1 และเอาชนะ "โคนม" เดนมาร์กในรอบควอเตอร์ไฟนอลไป 3-2 อย่างสุดมันส์ ไปสู่รอบตัดเชือก เสมอกับฮอลแลนด์ในเวลาปกติ 1-1 ต่อเวลาครบ 120 นาทีก็ยังเอาชนะกันไม่ได้ จึงต้องดวลลูกที่จุดโทษตัดสินกัน และเป็นแชมป์เก่าที่เก๋ากว่า ยิงชนะไปได้ 4-2 เข้าไปชิงกับ "เจ้าภาพ" ฝรั่งเศส
12 กรกฎาคม 1998 ที่สนาม สตาร์ด เดอ ฟ้องซ์ ฝรั่งเศสเจ้าภาพได้ประตูขึ้นนำก่อนจากซีเนอดีน ซีดานในนาทีที่ 27 และนำห่างเป็น 2-0 ในนาทีที่ 46 ช่วงทดเวลาเจ็บตอนใกล้จะหมดครึ่งแรก และในครึ่งหลังตลอด 45 นาที แชมป์เก่าก็ไม่สามารถยิงประตูเอาคืนได้แม้แต่ลูกเดียว แถมยังโดน เอ็มมานูเอล เปอตีต์ ยิงปิดกล่องในนาทีที่ 93 ช่วงทดเวลาเจ็บอีกต่างหาก แชมป์เก่าจึงหมดท่าสิ้นลาย แพ้ทีมตราไก่ไปขาดลอย 0-3
นี่คือทีมแชมป์เก่าซึ่งใกล้เคียงมากที่สุดเหมือนอาร์เจนติน่าในปี 1990 ที่เกือบจะป้องกันแชมป์ได้อยู่แล้ว แต่มาแพ้ในนัดสุดท้าย
9.ฝรั่งเศส แชมป์ปี 1998 ไปป้องกันแชมป์ที่เกาหลี/ญี่ปุ่น ปี 2002
ฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นครั้งที่ 17 และเป็นครั้งแรกที่มีเจ้าภาพ 2 ประเทศร่วมกัน ทำให้ทีมชาติเกาหลีใต้และทีมชาติญี่ปุ่นเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกโดยอัตโนมัติเช่นเดียวกับทีมชาติฝรั่งเศสที่ชนะเลิศฟุตบอลโลก 1998 และนับเป็นการแข่งขันครั้งแรกที่จัดขึ้นในทวีปเอเชีย
รอบแรก แชมป์เก่าอยู่สาย A ร่วมกับ เดนมาร์ก เซเนกัล อุรุกวัย เปิดสนามมาก็เจออาถรรพณ์แบบเดียวกับที่อาร์เจนติน่าเคยโดนแคเมอรูนยัดเยียดความพ่ายแพ้ในนัดเปิดสนามแบบเดียวกันเป๊ะ นั่นคือโดน "เซเนกัล" ทีมน้องใหม่จากทวีปแอฟริกาอัดไป 1-0 ขายขี้หน้าแชมป์เก่าอีกแล้ว นัดที่สอง ยังมึนไม่หาย เสมอกับอุรุกวัย 0-0 เก็บมา 1 แต้ม เดือดร้อนถึงนัดสุดท้ายต้องชนะ "โคนม" เดนมาร์กให้ได้สถานเดียวเท่านั้นถ้าคิดหวังจะกรุยทางเข้าไปป้องกันแชมป์ แต่ปรากฏว่าถูกทีมจากแดนโคนมสอยซะ 2 เม็ด
ตกรอบแรกแบบน่าอนาถสุดๆ เพราะยิงใครไม่ได้เลย!!! และ ซีเนอดีน ซีดาน ถึงกับต้องหลั่งน้ำตาอย่างชอกช้ำ
10.บราซิล แชมป์ปี 2002 ไปป้องกันแชมป์ที่เยอรมนี ปี 2006
"แซมบ้า" แชมป์เก่า ได้อยู่กลุ่ม F ในรอบแรก ร่วมกับ ออสเตรเลีย โครเอเชีย และ "ซามูไรบลูส์" ญี่ปุ่น นัดแรกประเดิมด้วยการชนะโครแอต 1-0 นัดที่สองเครื่องร้อนขึ้นมาหน่อย ตบทีมออสซี่ไป 2-0 และนัดสุดท้ายยำใหญ่ใส่ญี่ปุ่น 4-1 เข้ารอบสองสบายๆ
ในรอบสองก็เข้าไปเคี้ยวหมูอย่างกาน่าอย่างสะดวกโยธิน 3-0 เข้าไปสู่รอบควอเตอร์ไฟนอล เจ้ากรรม ดันไปเจอฝรั่งเศสซึ่งอกหักมาจากบอลโลกคราวก่อนและหวังกอบกู้ชื่อเสียงกลับคืนมาในบอลโลกหนนี้ ผลคือโดนทีมตราไก่เฉือนเอาชนะไป 1-0 ด้วยฝีเท้าของ เธียรี่ อองรี อย่างเจ็บแสบ ตกรอบกลับไปเต้นแซมบ้าที่บ้าน (เจอฝรั่งเศสทีไรเหมือนงูกับเชือกกล้วยยังไงไม่รู้ แปลกมาก!!)
11.อิตาลี แชมป์ปี 2006 ไปป้องกันแชมป์ที่แอฟริกาใต้ ปี 2010
ฟุตบอลโลกครั้งนี้มีประเทศเข้าร่วมแข่งขันจำนวนมากที่สุดในรอบคัดเลือกถึง 204 ทีม เทียบเท่ากับจำนวนประเทศในโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 และยังเป็นฟุตบอลโลกครั้งแรกที่ชาติจากทวีปแอฟริกาเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน แถมเป็นครั้งที่เจ้าภาพตกรอบแรกเสียด้วย
"อัซซูรี่" แชมป์เก่า ได้อยู่กลุ่ม F (เหมือนบราซิลคราวที่แล้วเลย) ร่วมกับ ปารากวัย สโลวาเกีย และนิวซีแลนด์ นัดเปิดสนาม เจ๊ากับปารากวัย 1-1 นัดที่สองก็เสมอกับนิวซีแลนด์ด้วยสกอร์เดียวกันอีก จำเป็นต้องชนะสโลวาเกียในนัดสุดท้ายจึงจะได้ไปต่อ แต่ผลปรากฏว่าแพ้ทีมชาวสโลวัคซะอย่างงั้น 2-3 โดยทีแรกเสมอกันอยู่ 2-2 แล้ว โรเบิร์ต วิทเท็ค ของสโลวาเกียยิงประตูชัย ส่งอิตาลีกลับบ้านโดยเมื่อจบครบสามนัดได้เป็นบ๊วยของกลุ่ม เก็บได้แค่สองแต้ม ตกรอบแรก!!! กลับไปกินมะกะโรนีต่อที่บ้าน
12.สเปน แชมป์ปี 2010 ไปป้องกันแชมป์ที่บราซิล ปี 2014
ทีม "กระทิงดุ" คือแชมป์หน้าใหม่สดๆซิงๆจากบอลโลกปี 2010 ก่อนหน้านั้นพวกเขาเป็นแชมป์ยูโร 2008 มาอย่างสง่างามด้วย ดังนั้นหลายคนคิดว่าบางทีอาจจะเป็นทีมนี้แหละ ที่จะลบล้างอาถรรพณ์แชมป์เก่าซึ่งฟอร์มบู่ในบอลโลกครั้งนี้ได้
ฟุตบอลโลกปี 2014 เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 20 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศบราซิล เป็นครั้งที่สองที่บราซิลได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโดยเป็นเจ้าภาพครั้งแรกเมื่อปี 1950 ทำให้บราซิลกลายเป็นประเทศที่ 5 ที่เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกสองครั้งต่อจากเม็กซิโก อิตาลี ฝรั่งเศส และเยอรมนี และเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นในทวีปอเมริกาใต้นับตั้งแต่ปี 1978 ที่ประเทศอาร์เจนตินา เป็นครั้งแรกอีก ที่มีจัดการแข่งขันนอกทวีปยุโรปสองครั้งติดต่อกัน และยังเป็นครั้งแรกที่มีจัดการแข่งขันในซีกโลกใต้สองครั้งติดต่อกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ ฟุตบอลโลก 2010 จัดในประเทศแอฟริกาใต้ นอกจากนี้ ฟีฟ่าก็ได้ใช้เทคโนโลยีโกลไลน์เป็นครั้งแรกในการแข่งขันครั้งนี้ด้วย
แชมป์เก่าได้อยู่กลุ่ม B ในรอบแรก ร่วมกับ ฮอลแลนด์ ชิลี และออสเตรเลีย แค่นัดเปิดสนาม ก็แทบพากันอับอายอยากแทรกแผ่นดินหนีเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป เมื่อโดนทีมแดนกังหันสีส้มถล่มเละเทะไปถึง 5-1 และหายนะมาถึงเร็วมากในนัดที่สองเท่านั้นเองก็แพ้ชิลี 0-2
นัดสุดท้ายแก้หน้ากู้ศักดิ์ศรีแชมป์เก่ากลับมาได้หน่อยโดยการชนะออสเตรเลีย 3-0 จบสามนัดเก็บได้สามแต้ม ตกรอบแรกอีกแล้วสำหรับทีมแชมป์เก่า!! ดูเหมือนช่วงหลังๆ ชักมาถี่ๆแล้ว !!!
แม้นัดสุดท้ายจะชนะได้สวยงาม แต่มันช้าไป สายเกินไป ขุนพลแดนกระทิงดูพากันเดินออกจากสนามด้วยความเศร้า
13.เยอรมัน แชมป์ปี 2014 ไปป้องกันแชมป์ที่รัสเซีย ปี 2018 ล่าสุด !!!
มันน่าตกใจ! สำหรับผู้ที่เชื่อถือเรื่องโชคลาง เพราะมันบังเอิญเป็นครั้งที่ 13 "ลัคกี้นัมเบอร์" พอดิบพอดี ที่แชมป์เก่าจะป้องกันแชมป์ไม่ได้ นับตั้งต้นแต่อังกฤษแชมป์ปี 1966 ไปป้องกันแชมป์ที่เม็กซิโกเมื่อปี 1970 !!!
เป็นความบังเอิญ หรือเป็นเพราะคราวเคราะห์กันแน่ ???
ดังที่ได้ชมการถ่ายทอดสดกันครับ ทีมอินทรีเหล็กประเดิมนัดแรกด้วยการแพ้ทีม "จังโก้" เม็กซิโกไปหวุดหวิด เริ่มเกมเพียงแค่อึดใจ เม็กซิโก ก็มีโอกาสได้ยิงเผาขนทักทายก่อน เยอรมันโต้กลับ ติโม แวร์เนอร์ ก็มีโอกาสได้ยิงเฉียดเสาทักทายเช่นกัน ผ่านไปครึ่งชั่วโมงต่างฝ่ายมีโอกาสยิงเท่าๆกันฝั่งละ 7 ครั้ง แต่ก็ยังไม่มีสกอร์เกิดขึ้น ถึงนาที 35 แฟนกองเชียร์จังโก้ก็ได้เฮกันลั่น เมื่อ เยอรมันโดนโต้กลับเร็ว อีร์บิง โลซาโน ได้บอลเข้ากรอบล็อกด้วยซ้ายหลอกผู้เล่นเยอรมัน ก่อนยิงด้วยขวาเสียบเสาแรก กลายเป็นประตูให้เม็กซิโก หักปากกาเซียน ยิงขึ้นนำไปก่อน 1-0
เริ่มครึ่งหลัง เยอรมันโหมบุกอย่างหนักแทบจะพับสนาม มาร์โก รอยส์ ศูนย์หน้าถูกเปลี่ยนตัวลงมาสัมผัสฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายเป็นครั้งแรก แต่ขุนพลอินทรีเหล็กก็ยังไม่สามารถตีเสมอเม็กซิโกได้ แม้จะมีโอกาสใกล้เคียงจะได้ประตูหลายครั้งหลายหน ล่วงเข้าช่วงท้ายเกมก่อนหมดเวลาห้านาที เยอรมัน มีโอกาสยิงถึง 21 ครั้งแต่กลับเสียจังหวะขาดๆเกินๆไปหมด ซ้ำบางจังหวะยังถูกสวนกลับ เพียงแต่เม็กซิโกนั้นจบสกอร์ไม่คมพอๆกัน จึงชวดได้ประตูหนีห่างไปอย่างน่าเสียดาย ท้ายเกม ยูเลียน บรันด์ ตัวสำรองอินทรีเหล็ก ที่ลงมาแทน แวร์เนอร์ ได้โอกาสสับไกเต็มเหนี่ยว แต่บอลชนเสาออกหลังไปเหลือเชื่อ
ครบ 90 นาทีเต็ม “จังโก้” เม็กซิโก พลิกล็อก เชือด “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี ไปอย่างหวุดหวิด 1-0
เยอรมนียังไม่ตื่นตระหนกตกใจมากนัก พวกเขาเชื่อว่าเกมที่สองที่จะเจอกับสวีเดน พวกเขาจะกอบกู้สถานการณ์กลับมาได้
นัดที่สอง ท่ามกลางความกดดัน ขุนพลอินทรีเหล็กควรจะต้องเอาชนะทีมลูกหลานไวกิ้งให้จงได้ เริ่มเกม ขุนพล”อินทรีเหล็ก” เยอรมัน โหมรุกเข้าใส่ มีโอกาสใกล้เคียงจะได้ประตูหลายครั้งหลายหน นาที 13 จังหวะบุกเพลิน สวีเดนสวนกลับ มาร์คุส เบิร์ก ลากบอลทะลุเข้าไปยิงแต่บอลติดตัว มานูเอล นอยเออร์ นายทวารมือหนึ่งอินทรีเหล็กเซฟลูกอันตรายไว้ได้อย่างหวุดหวิด
นาที 25 เกิดอุบัติเหตุ เมื่อ โอลา ทอยโวเนน ของสวีเดนโดดเบียด เซบาสเตียน รูดี ของเยอรมัน แต่สตั๊ดไปเกียวเข้าดั้งจมูก ถึงกับเลือดทะลักต้องปฐมพยาบาล ข้างสนามอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออก ส่ง อิลคาย กุนโดกัน ลงมาเล่นแทน ถึงนาที 32 แฟนบอลอินทรีเหล็กพากันช็อกทั้งสนาม เมื่อ โอลา ทอยโวเนน ได้บอลทะลุแนวรับ ก่อนพักอกหนึ่งจังหวะก่อนงัดบอลข้ามหัว นอยเออร์ ส่งบอลเข้าประตูกลายเป็นสกอร์ให้ สวีเดน ขึ้นนำไปก่อน 1-0
หลังเสียประตู เยอรมนีพยายามเร่งเติมเกมรุกขนานใหญ่ แต่ก็โดนสวนกลับหลายหน จนเกือบเสียประตูด้วยเหมือนกัน จบครึ่งแรก สวีเดน ฟอร์มดีขึ้นนำเยอรมนีอยู่ 1-0
เริ่มครึ่งหลังได้เพียงสองนาที ติโม แวร์เนอร์ ลากบอลขึ้นกราบซ้ายก่อนเปิดเข้ากลางประตู ให้ มาร์โก รอยส์ ตีเข่าส่งบอลเข้าประตูเป็นลูกตีเสมอให้เยอรมันอย่างรวดเร็ว ด้วยสกอร์ 1-1
(มีต่อครับ)
ห้องเพลง**คนรากหญ้า**พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสีไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียงเพลง 30/6/2561 - อาถรรพณ์แชมป์เก่า (2)
สวัสดีครับ สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันอาทิตย์ MC แอ๊ด (หวางเจ๋)) ประจำการต่ออีก 1 วันครับ ^^
เมื่อวานนี้เริ่มพูดถึงเรื่อง แชมป์เก่าของฟุตบอลโลก มักจะทำผลงานไม่ดีในฟุตบอลโลกครั้งถัดไป ไม่มีทีมใดสามารถป้องกันแชมป์ได้ นับตั้งแต่ทีมชาติอังกฤษ แชมป์โลกปี 1966 เป็นต้นมา...
เรื่องราวเมื่อวานนี้จบตรงที่เยอรมัน แชมป์ปี 1990 ไปป้องกันแชมป์ที่อเมริกา และตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยการแพ้บัลแกเรีย
วันนี้เรามาต่อกันที่.....
8."บราซิล" แชมป์ปี 1994 ไปป้องกันแชมป์ที่ฝรั่งเศส ปี 1998
ฟุตบอลโลกครั้งนี้ นับเป็นฟุตบอลโลกครั้งที่สองที่จัดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส หลังจากที่เคยเป็นเจ้าภาพมาแล้วในปี ค.ศ.1938 กราฟิกหน้าจอโทรทัศน์ครั้งนี้ ขึ้นเป็นตัวหนังสือภาษาฝรั่งเศสไปทั่วโลก ผู้ที่ทำประตูได้มากที่สุดในการแข่งขันครั้งนี้คือ ดาวอร์ ซูเคอร์ ของโครเอเชีย ซึ่งยิงไป 6 ประตู
และฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กติกา โกลเดนโกล หรือ ซัดเดินเดธ ซึ่งกำหนดให้ทีมที่ยิงประตูได้ในช่วงทดเวลาได้ก่อนเป็นผู้ชนะถูกนำมาใช้ โดยโกลเดนโกลครั้งแรกของโลก เกิดขึ้นจากลูกยิงของโลร็องต์ บล็องก์ กองหลังทีมชาติฝรั่งเศสในรอบสองซึ่งพบกับปารากวัย
รอบแรก แชมป์เก่าบราซิลอยู่สาย A ร่วมกับ นอร์เวย์ โมร็อกโก และสก็อตแลนด์ น่าจะเป็นงานง่ายสำหรับขุนพลแซมบ้า นัดแรกชนะสก็อตแลนด์ 2-1 นัดที่สองถล่มโมร็อกโก 3-0 แต่แพ้นอร์เวย์ในนัดสุดท้าย 1-2 แต่ก็ยังเป็นที่หนึ่งในสายเข้ารอบไปกับนอร์เวย์
รอบ 16 ทีมสุดท้าย บราซิลยำชิลีไป 4-1 และเอาชนะ "โคนม" เดนมาร์กในรอบควอเตอร์ไฟนอลไป 3-2 อย่างสุดมันส์ ไปสู่รอบตัดเชือก เสมอกับฮอลแลนด์ในเวลาปกติ 1-1 ต่อเวลาครบ 120 นาทีก็ยังเอาชนะกันไม่ได้ จึงต้องดวลลูกที่จุดโทษตัดสินกัน และเป็นแชมป์เก่าที่เก๋ากว่า ยิงชนะไปได้ 4-2 เข้าไปชิงกับ "เจ้าภาพ" ฝรั่งเศส
12 กรกฎาคม 1998 ที่สนาม สตาร์ด เดอ ฟ้องซ์ ฝรั่งเศสเจ้าภาพได้ประตูขึ้นนำก่อนจากซีเนอดีน ซีดานในนาทีที่ 27 และนำห่างเป็น 2-0 ในนาทีที่ 46 ช่วงทดเวลาเจ็บตอนใกล้จะหมดครึ่งแรก และในครึ่งหลังตลอด 45 นาที แชมป์เก่าก็ไม่สามารถยิงประตูเอาคืนได้แม้แต่ลูกเดียว แถมยังโดน เอ็มมานูเอล เปอตีต์ ยิงปิดกล่องในนาทีที่ 93 ช่วงทดเวลาเจ็บอีกต่างหาก แชมป์เก่าจึงหมดท่าสิ้นลาย แพ้ทีมตราไก่ไปขาดลอย 0-3
นี่คือทีมแชมป์เก่าซึ่งใกล้เคียงมากที่สุดเหมือนอาร์เจนติน่าในปี 1990 ที่เกือบจะป้องกันแชมป์ได้อยู่แล้ว แต่มาแพ้ในนัดสุดท้าย
9.ฝรั่งเศส แชมป์ปี 1998 ไปป้องกันแชมป์ที่เกาหลี/ญี่ปุ่น ปี 2002
ฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นครั้งที่ 17 และเป็นครั้งแรกที่มีเจ้าภาพ 2 ประเทศร่วมกัน ทำให้ทีมชาติเกาหลีใต้และทีมชาติญี่ปุ่นเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกโดยอัตโนมัติเช่นเดียวกับทีมชาติฝรั่งเศสที่ชนะเลิศฟุตบอลโลก 1998 และนับเป็นการแข่งขันครั้งแรกที่จัดขึ้นในทวีปเอเชีย
รอบแรก แชมป์เก่าอยู่สาย A ร่วมกับ เดนมาร์ก เซเนกัล อุรุกวัย เปิดสนามมาก็เจออาถรรพณ์แบบเดียวกับที่อาร์เจนติน่าเคยโดนแคเมอรูนยัดเยียดความพ่ายแพ้ในนัดเปิดสนามแบบเดียวกันเป๊ะ นั่นคือโดน "เซเนกัล" ทีมน้องใหม่จากทวีปแอฟริกาอัดไป 1-0 ขายขี้หน้าแชมป์เก่าอีกแล้ว นัดที่สอง ยังมึนไม่หาย เสมอกับอุรุกวัย 0-0 เก็บมา 1 แต้ม เดือดร้อนถึงนัดสุดท้ายต้องชนะ "โคนม" เดนมาร์กให้ได้สถานเดียวเท่านั้นถ้าคิดหวังจะกรุยทางเข้าไปป้องกันแชมป์ แต่ปรากฏว่าถูกทีมจากแดนโคนมสอยซะ 2 เม็ด ตกรอบแรกแบบน่าอนาถสุดๆ เพราะยิงใครไม่ได้เลย!!! และ ซีเนอดีน ซีดาน ถึงกับต้องหลั่งน้ำตาอย่างชอกช้ำ
10.บราซิล แชมป์ปี 2002 ไปป้องกันแชมป์ที่เยอรมนี ปี 2006
"แซมบ้า" แชมป์เก่า ได้อยู่กลุ่ม F ในรอบแรก ร่วมกับ ออสเตรเลีย โครเอเชีย และ "ซามูไรบลูส์" ญี่ปุ่น นัดแรกประเดิมด้วยการชนะโครแอต 1-0 นัดที่สองเครื่องร้อนขึ้นมาหน่อย ตบทีมออสซี่ไป 2-0 และนัดสุดท้ายยำใหญ่ใส่ญี่ปุ่น 4-1 เข้ารอบสองสบายๆ
ในรอบสองก็เข้าไปเคี้ยวหมูอย่างกาน่าอย่างสะดวกโยธิน 3-0 เข้าไปสู่รอบควอเตอร์ไฟนอล เจ้ากรรม ดันไปเจอฝรั่งเศสซึ่งอกหักมาจากบอลโลกคราวก่อนและหวังกอบกู้ชื่อเสียงกลับคืนมาในบอลโลกหนนี้ ผลคือโดนทีมตราไก่เฉือนเอาชนะไป 1-0 ด้วยฝีเท้าของ เธียรี่ อองรี อย่างเจ็บแสบ ตกรอบกลับไปเต้นแซมบ้าที่บ้าน (เจอฝรั่งเศสทีไรเหมือนงูกับเชือกกล้วยยังไงไม่รู้ แปลกมาก!!)
11.อิตาลี แชมป์ปี 2006 ไปป้องกันแชมป์ที่แอฟริกาใต้ ปี 2010
ฟุตบอลโลกครั้งนี้มีประเทศเข้าร่วมแข่งขันจำนวนมากที่สุดในรอบคัดเลือกถึง 204 ทีม เทียบเท่ากับจำนวนประเทศในโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 และยังเป็นฟุตบอลโลกครั้งแรกที่ชาติจากทวีปแอฟริกาเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน แถมเป็นครั้งที่เจ้าภาพตกรอบแรกเสียด้วย
"อัซซูรี่" แชมป์เก่า ได้อยู่กลุ่ม F (เหมือนบราซิลคราวที่แล้วเลย) ร่วมกับ ปารากวัย สโลวาเกีย และนิวซีแลนด์ นัดเปิดสนาม เจ๊ากับปารากวัย 1-1 นัดที่สองก็เสมอกับนิวซีแลนด์ด้วยสกอร์เดียวกันอีก จำเป็นต้องชนะสโลวาเกียในนัดสุดท้ายจึงจะได้ไปต่อ แต่ผลปรากฏว่าแพ้ทีมชาวสโลวัคซะอย่างงั้น 2-3 โดยทีแรกเสมอกันอยู่ 2-2 แล้ว โรเบิร์ต วิทเท็ค ของสโลวาเกียยิงประตูชัย ส่งอิตาลีกลับบ้านโดยเมื่อจบครบสามนัดได้เป็นบ๊วยของกลุ่ม เก็บได้แค่สองแต้ม ตกรอบแรก!!! กลับไปกินมะกะโรนีต่อที่บ้าน
12.สเปน แชมป์ปี 2010 ไปป้องกันแชมป์ที่บราซิล ปี 2014
ทีม "กระทิงดุ" คือแชมป์หน้าใหม่สดๆซิงๆจากบอลโลกปี 2010 ก่อนหน้านั้นพวกเขาเป็นแชมป์ยูโร 2008 มาอย่างสง่างามด้วย ดังนั้นหลายคนคิดว่าบางทีอาจจะเป็นทีมนี้แหละ ที่จะลบล้างอาถรรพณ์แชมป์เก่าซึ่งฟอร์มบู่ในบอลโลกครั้งนี้ได้
ฟุตบอลโลกปี 2014 เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 20 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศบราซิล เป็นครั้งที่สองที่บราซิลได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโดยเป็นเจ้าภาพครั้งแรกเมื่อปี 1950 ทำให้บราซิลกลายเป็นประเทศที่ 5 ที่เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกสองครั้งต่อจากเม็กซิโก อิตาลี ฝรั่งเศส และเยอรมนี และเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นในทวีปอเมริกาใต้นับตั้งแต่ปี 1978 ที่ประเทศอาร์เจนตินา เป็นครั้งแรกอีก ที่มีจัดการแข่งขันนอกทวีปยุโรปสองครั้งติดต่อกัน และยังเป็นครั้งแรกที่มีจัดการแข่งขันในซีกโลกใต้สองครั้งติดต่อกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ ฟุตบอลโลก 2010 จัดในประเทศแอฟริกาใต้ นอกจากนี้ ฟีฟ่าก็ได้ใช้เทคโนโลยีโกลไลน์เป็นครั้งแรกในการแข่งขันครั้งนี้ด้วย
แชมป์เก่าได้อยู่กลุ่ม B ในรอบแรก ร่วมกับ ฮอลแลนด์ ชิลี และออสเตรเลีย แค่นัดเปิดสนาม ก็แทบพากันอับอายอยากแทรกแผ่นดินหนีเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป เมื่อโดนทีมแดนกังหันสีส้มถล่มเละเทะไปถึง 5-1 และหายนะมาถึงเร็วมากในนัดที่สองเท่านั้นเองก็แพ้ชิลี 0-2
นัดสุดท้ายแก้หน้ากู้ศักดิ์ศรีแชมป์เก่ากลับมาได้หน่อยโดยการชนะออสเตรเลีย 3-0 จบสามนัดเก็บได้สามแต้ม ตกรอบแรกอีกแล้วสำหรับทีมแชมป์เก่า!! ดูเหมือนช่วงหลังๆ ชักมาถี่ๆแล้ว !!!
แม้นัดสุดท้ายจะชนะได้สวยงาม แต่มันช้าไป สายเกินไป ขุนพลแดนกระทิงดูพากันเดินออกจากสนามด้วยความเศร้า
13.เยอรมัน แชมป์ปี 2014 ไปป้องกันแชมป์ที่รัสเซีย ปี 2018 ล่าสุด !!!
มันน่าตกใจ! สำหรับผู้ที่เชื่อถือเรื่องโชคลาง เพราะมันบังเอิญเป็นครั้งที่ 13 "ลัคกี้นัมเบอร์" พอดิบพอดี ที่แชมป์เก่าจะป้องกันแชมป์ไม่ได้ นับตั้งต้นแต่อังกฤษแชมป์ปี 1966 ไปป้องกันแชมป์ที่เม็กซิโกเมื่อปี 1970 !!!
เป็นความบังเอิญ หรือเป็นเพราะคราวเคราะห์กันแน่ ???
ดังที่ได้ชมการถ่ายทอดสดกันครับ ทีมอินทรีเหล็กประเดิมนัดแรกด้วยการแพ้ทีม "จังโก้" เม็กซิโกไปหวุดหวิด เริ่มเกมเพียงแค่อึดใจ เม็กซิโก ก็มีโอกาสได้ยิงเผาขนทักทายก่อน เยอรมันโต้กลับ ติโม แวร์เนอร์ ก็มีโอกาสได้ยิงเฉียดเสาทักทายเช่นกัน ผ่านไปครึ่งชั่วโมงต่างฝ่ายมีโอกาสยิงเท่าๆกันฝั่งละ 7 ครั้ง แต่ก็ยังไม่มีสกอร์เกิดขึ้น ถึงนาที 35 แฟนกองเชียร์จังโก้ก็ได้เฮกันลั่น เมื่อ เยอรมันโดนโต้กลับเร็ว อีร์บิง โลซาโน ได้บอลเข้ากรอบล็อกด้วยซ้ายหลอกผู้เล่นเยอรมัน ก่อนยิงด้วยขวาเสียบเสาแรก กลายเป็นประตูให้เม็กซิโก หักปากกาเซียน ยิงขึ้นนำไปก่อน 1-0
เริ่มครึ่งหลัง เยอรมันโหมบุกอย่างหนักแทบจะพับสนาม มาร์โก รอยส์ ศูนย์หน้าถูกเปลี่ยนตัวลงมาสัมผัสฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายเป็นครั้งแรก แต่ขุนพลอินทรีเหล็กก็ยังไม่สามารถตีเสมอเม็กซิโกได้ แม้จะมีโอกาสใกล้เคียงจะได้ประตูหลายครั้งหลายหน ล่วงเข้าช่วงท้ายเกมก่อนหมดเวลาห้านาที เยอรมัน มีโอกาสยิงถึง 21 ครั้งแต่กลับเสียจังหวะขาดๆเกินๆไปหมด ซ้ำบางจังหวะยังถูกสวนกลับ เพียงแต่เม็กซิโกนั้นจบสกอร์ไม่คมพอๆกัน จึงชวดได้ประตูหนีห่างไปอย่างน่าเสียดาย ท้ายเกม ยูเลียน บรันด์ ตัวสำรองอินทรีเหล็ก ที่ลงมาแทน แวร์เนอร์ ได้โอกาสสับไกเต็มเหนี่ยว แต่บอลชนเสาออกหลังไปเหลือเชื่อ
ครบ 90 นาทีเต็ม “จังโก้” เม็กซิโก พลิกล็อก เชือด “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี ไปอย่างหวุดหวิด 1-0
เยอรมนียังไม่ตื่นตระหนกตกใจมากนัก พวกเขาเชื่อว่าเกมที่สองที่จะเจอกับสวีเดน พวกเขาจะกอบกู้สถานการณ์กลับมาได้
นัดที่สอง ท่ามกลางความกดดัน ขุนพลอินทรีเหล็กควรจะต้องเอาชนะทีมลูกหลานไวกิ้งให้จงได้ เริ่มเกม ขุนพล”อินทรีเหล็ก” เยอรมัน โหมรุกเข้าใส่ มีโอกาสใกล้เคียงจะได้ประตูหลายครั้งหลายหน นาที 13 จังหวะบุกเพลิน สวีเดนสวนกลับ มาร์คุส เบิร์ก ลากบอลทะลุเข้าไปยิงแต่บอลติดตัว มานูเอล นอยเออร์ นายทวารมือหนึ่งอินทรีเหล็กเซฟลูกอันตรายไว้ได้อย่างหวุดหวิด
นาที 25 เกิดอุบัติเหตุ เมื่อ โอลา ทอยโวเนน ของสวีเดนโดดเบียด เซบาสเตียน รูดี ของเยอรมัน แต่สตั๊ดไปเกียวเข้าดั้งจมูก ถึงกับเลือดทะลักต้องปฐมพยาบาล ข้างสนามอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออก ส่ง อิลคาย กุนโดกัน ลงมาเล่นแทน ถึงนาที 32 แฟนบอลอินทรีเหล็กพากันช็อกทั้งสนาม เมื่อ โอลา ทอยโวเนน ได้บอลทะลุแนวรับ ก่อนพักอกหนึ่งจังหวะก่อนงัดบอลข้ามหัว นอยเออร์ ส่งบอลเข้าประตูกลายเป็นสกอร์ให้ สวีเดน ขึ้นนำไปก่อน 1-0
หลังเสียประตู เยอรมนีพยายามเร่งเติมเกมรุกขนานใหญ่ แต่ก็โดนสวนกลับหลายหน จนเกือบเสียประตูด้วยเหมือนกัน จบครึ่งแรก สวีเดน ฟอร์มดีขึ้นนำเยอรมนีอยู่ 1-0
เริ่มครึ่งหลังได้เพียงสองนาที ติโม แวร์เนอร์ ลากบอลขึ้นกราบซ้ายก่อนเปิดเข้ากลางประตู ให้ มาร์โก รอยส์ ตีเข่าส่งบอลเข้าประตูเป็นลูกตีเสมอให้เยอรมันอย่างรวดเร็ว ด้วยสกอร์ 1-1
(มีต่อครับ)