ผมเป็นคนเจน y ที่ตอนเด็กโตมา อยู่กับคนรุ่นปู่ย่าเยอะมาก ส่วนหนึ่งเพราะคุณย่าทำอาหารเป็น เลยไปกินข้าวบ้านคุณย่าทุกเย็น
ในความทรงจำ แม้แต่ในปัจจุบัน คุณปู่คุณย่าเป็นคนที่สมถะมากๆ ไม่เคยซื้อเครื่องเพชร หรือเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง อยู่บ้านเดี่ยว มีสวนเล็กๆ ตกแต่งดีระดับนึง แต่ไม่ถึงขั้นหรูหราอะไรมาก
ส่วนการใช้ชีวิตก็ไม่ฟุ้งเฟ้อ อย่างเวลาไปช่วยแกจ่ายตลาด แกมักจะบ่นว่าผักในห้างแพง ซื้อตลาดถูกกว่ามาก จะซื้ออะไรทีก็ต่อ เลือกอยู่นานมาก และคุณปู่คุณย่าแทบไม่กินข้าวนอกบ้านเลย นอกจากจะมีวันหยุด นัดกินเลี้ยงตามวาระโอกาส
จนกระทั่งวันที่คุณปู่เสีย มรดกที่ถูกแบ่งมา ทำให้รู้ว่าคุณปู่มีทรัพย์สินอยู่เยอะมาก ทั้งเงินและอสังหา แต่พอนึกย้อนไป ทำไมไม่ตระหนักรู้เรื่องว่าคุณปู่ร่ำรวยขนาดนี้ เช่นเดียวกัน พอคิดไปถึงเพื่อนๆ ของคุณปู่ที่อยู่ในสังคมเดียวกัน ก็ไม่ค่อยมีคนฟุ้งเฟ้อ ต่างเป็นคนสูงอายุที่มีกิจการ ร้านค้า อสังหา แต่ว่าใช้ชีวิตเหมือนกับคนทั่วๆ ไป ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ว่ารวย
พอมาถึงยุคคุณพ่อคุณแม่ และญาติๆ (ช่วงปลายๆ baby boomer) ดูฟุ้งเฟ้อกว่ามาก เที่ยวเมืองนอก ซื้อเสื้อผ้าแพงๆ กินอาหารนอกบ้านทุกวัน แต่อาจจะไม่เท่าคนในสังคมอื่น (ที่ถอยไอโฟน แมคบุค หรือหิ้วแบรนด์เนมได้โดยไม่รู้สึกเสียดายเงิน) แต่พวกเขาก็รวยอยู่ ส่วนหนึ่งเพราะสืบทอดกิจการที่คนรุ่นก่อนนั้นสร้างไว้ ส่วนคนยุคผม และยุคต่อมา คงไม่ต้องพูดถึง เรียกว่าใช้เงินกันเป็นเบี้ย เดือนชนเดือน
ครั้งหนึ่งเคยจำได้ว่า พ่อแม่เล่าให้ฟังว่า สมัยแกยังเด็กๆ คุณปู่ชอบบ่นว่า ลูก(ซึ่งก็คือพ่อแม่เรา) เป็นคนเหยาะแหยะ ใช้ไม่ได้ ขนาดคุณปู่เอง อายุ 13 ปีก็จากบ้านเกิด นั่งเรือมาตายเอาดาบหน้าหางานทำได้แล้ว แล้วอย่างนี้คนยุคหลังๆ แบบเราหรือน้องเราที่โตมาทีหลัง นี่แทบใช้ไม่ได้เลยหรือเปล่านะ
ทำไมคนรวยสมัยก่อนถึงสมถะ มัธยัสถ์มากๆ (คนก่อนยุค babyboomer) ผิดกับคนเจน X
ในความทรงจำ แม้แต่ในปัจจุบัน คุณปู่คุณย่าเป็นคนที่สมถะมากๆ ไม่เคยซื้อเครื่องเพชร หรือเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง อยู่บ้านเดี่ยว มีสวนเล็กๆ ตกแต่งดีระดับนึง แต่ไม่ถึงขั้นหรูหราอะไรมาก
ส่วนการใช้ชีวิตก็ไม่ฟุ้งเฟ้อ อย่างเวลาไปช่วยแกจ่ายตลาด แกมักจะบ่นว่าผักในห้างแพง ซื้อตลาดถูกกว่ามาก จะซื้ออะไรทีก็ต่อ เลือกอยู่นานมาก และคุณปู่คุณย่าแทบไม่กินข้าวนอกบ้านเลย นอกจากจะมีวันหยุด นัดกินเลี้ยงตามวาระโอกาส
จนกระทั่งวันที่คุณปู่เสีย มรดกที่ถูกแบ่งมา ทำให้รู้ว่าคุณปู่มีทรัพย์สินอยู่เยอะมาก ทั้งเงินและอสังหา แต่พอนึกย้อนไป ทำไมไม่ตระหนักรู้เรื่องว่าคุณปู่ร่ำรวยขนาดนี้ เช่นเดียวกัน พอคิดไปถึงเพื่อนๆ ของคุณปู่ที่อยู่ในสังคมเดียวกัน ก็ไม่ค่อยมีคนฟุ้งเฟ้อ ต่างเป็นคนสูงอายุที่มีกิจการ ร้านค้า อสังหา แต่ว่าใช้ชีวิตเหมือนกับคนทั่วๆ ไป ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ว่ารวย
พอมาถึงยุคคุณพ่อคุณแม่ และญาติๆ (ช่วงปลายๆ baby boomer) ดูฟุ้งเฟ้อกว่ามาก เที่ยวเมืองนอก ซื้อเสื้อผ้าแพงๆ กินอาหารนอกบ้านทุกวัน แต่อาจจะไม่เท่าคนในสังคมอื่น (ที่ถอยไอโฟน แมคบุค หรือหิ้วแบรนด์เนมได้โดยไม่รู้สึกเสียดายเงิน) แต่พวกเขาก็รวยอยู่ ส่วนหนึ่งเพราะสืบทอดกิจการที่คนรุ่นก่อนนั้นสร้างไว้ ส่วนคนยุคผม และยุคต่อมา คงไม่ต้องพูดถึง เรียกว่าใช้เงินกันเป็นเบี้ย เดือนชนเดือน
ครั้งหนึ่งเคยจำได้ว่า พ่อแม่เล่าให้ฟังว่า สมัยแกยังเด็กๆ คุณปู่ชอบบ่นว่า ลูก(ซึ่งก็คือพ่อแม่เรา) เป็นคนเหยาะแหยะ ใช้ไม่ได้ ขนาดคุณปู่เอง อายุ 13 ปีก็จากบ้านเกิด นั่งเรือมาตายเอาดาบหน้าหางานทำได้แล้ว แล้วอย่างนี้คนยุคหลังๆ แบบเราหรือน้องเราที่โตมาทีหลัง นี่แทบใช้ไม่ได้เลยหรือเปล่านะ