ออกตัวก่อนว่าผู้ตั้งกระทู้ ไม่ได้เป็นคนที่เจอคดีนี้เอง แต่ทุกคนที่เกี่ยวกับคดีนี้เป็นคนในครอบครัว และผมเป็นคนเดียวที่เล่น pantip เลยอยากมาขอคำปรึกษาแทนทุกคนในครอบครัวที่เจอครับ
จะพยายามเล่าให้สั้น และ กระชับที่สุด อาจมีรายละเอียดอะไรตกหล่นหรือผิดพลาดบ้าง ต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยครับ
- เมื่อ 20 ปีก่อน ที่บ้านทำธุรกิจครอบครัว มีการกู้เงินกับธนาคารกรุงเทพ และ ธนาคารกสิกรไทย ในการทำธุรกิจ วงเงินรวมกันเกิน 50 ล้านบาท
- การกู้เงินในตอนนั้นเป็นการกู้ในนามบริษัท
- การกู้ในครั้งนั้นมีลูกหนี้ร่วมเป็นคุณพ่อผมที่เป็นเจ้าของบริษัท
- และมีผู้ค้ำประกันคือญาติซีงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับธุรกิจนี้
- สาเหตุที่ญาติกลายมาเป็นผู้ค้ำ เพราะตอนขอสินเชื่อ ญาติได้นำที่ดินตัวเองแปลงนึงมาให้คุณพ่อ เพื่อช่วยคุณพ่อในการขอสินเชื่อ แม้ภายหลังญาติจะได้ปลดที่ดินแปลงนี้ออกตัวสินเชื่อแล้ว แต่สัญญาค้ำประกันในสินเชื่อไม่ได้ถูกปลดไปด้วย การค้ำประกันเลยยังอยู่ มูลค่า 9 ล้านบาท
- เมื่อ 10 ปีก่อน ธุรกิจเริ่มพบปัญหา ไม่สามารถชำระหนี้ได้ จึงเข้าไปเจรจากับทั้งธนาคารกรุงเทพ และ กสิกรไทย
- ณ เวลานั้น ธนาคารกสิกรไทย ให้ความร่วมมือดีมาก สุดท้ายเลยมีการ ตีคืนทรัพย์สินกับธนาคารกสิกร เพื่อหักกลบลบหนี้กันจนหมด ไม่มีหนี้กับธนาคารกสิกรไทยอีกต่อไป
- พอมีการตีคืนทรัพยืสินกับธนาคารกสิกรสำเร็จ มูลค่าหนี้จึงลดลงเหลือ 30 ล้านบาท และทั้งหมดที่เหลือจึงเป็นของธนาคารกรุงเทพ
- ณ เวลานั้น ธนาคารกรุงเทพ ให้ความร่วมมือน้อยมาก การเจรจาไม่ได้ผล จึงมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น เพื่อพิทักษ์ทรัพย์บังคับคดี
- การฟ้องร้อง คนที่ถูกฟ้อง มีทั้งบริษัท(ลูกหนี้) พ่อผม (ลูกหนี้ร่วม) และ ญาติ (ผู้ค้ำ)
- เมื่อ ประมาณ 5 ปีก่อน ทรัพย์สินแปลงสุดท้ายที่อยู่กับธนาคารพรุงเทพ ได้ถูกขายทอดตลาด
- มูลค่าหนี้ทั้งของธนาคารกรุงเทพตอนนี้น่าจะลดเหลือ 15 ล้านบาท
- ปัจจุบัน ทั้งคุณพ่อ และ ญาติ ไม่มีทรัพย์สินใดๆ ในชื่อตัวเองเหลืออีกแล้ว
- หลังจากทรัพย์แปลงสุดท้ายถูกขายทอดตลาด คุณพ่อได้พยายามเข้าไปเจรจากับ ธ.กรุงเทพอีกรอบ แต่ ธ.กรุงเทพบอกว่า "ไว้จะติดต่อกลับมาเอง"
- ปัจจุบัน เวลาผ่านมา 5 ปีนับตั้งแต่ตอนขายทอดตลอดที่แปลงสุดท้าย ไม่มีการติดต่อใดๆมาจาก ธ.กรุงเทพอีก เงียบสนิท
- ตอนนี้ญาติผู้ค้ำค่อนข้างเดือดร้อน เพราะไม่กล้าทำธุรกิจ หรือ ธุรกรรมใดๆ กับธนาคารใดๆเลย มานานหลายปีแล้ว เพราะติดคดีค้ำประกัน กลัวโดนยึดทรัพย์ และญาติไม่อยากตกอยู่ในสภาพนี้อีกเพราะญาติจริงๆแล้วไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย อายุก็ยังไม่เยอะ ยังอยากทำอะไรในชื่อตัวเองอีกมาก แต่ทำไม่ได้
จากเรื่องราวทั้งหมดที่เล่ามา ผมอยากมาปรึกษาว่า
1) ตอนนี้สิ่งที่ครอบครัวต้องการที่สุด คือการให้ญาติหลุดจากคดีนี้ ผมควรทำอย่างไร
ผมทำงานในบริษัทใหญ่แห่งนึง รายได้ค่อนข้างดี ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ แต่พอมีมีเงินเก็บประมาณ 3-4 ล้าน (แต่มูลค่าค้ำประกันของญาติคือ 9 ล้าน)
ผมควรเข้าไปเจรจากับ ธ.กรุงเทพแทนญาติผมตอนนี้หรือไม่ ?
2) ธนาคารกรุงเทพเมื่อ 5-10 ปีที่แล้ว กับ ตอนนี้เปลี่ยนไปมากหรือยังครับ? เพราะที่ผ่านมาการเจรจากับธนาคารกรุงเทพยากลำบากมาก ต่างกับธนาคารกสิกรไทย คือพนักงานไม่ให้ความร่วมมือเลย เหมือนมองเราเป็นผู้ร้ายตลอดแม้เรามีความต้องการจะชำระหนี้ ซึ่งต่างกับ ธ.กสิกรไทยในเวลานั้นซึ่งให้ความร่วมมือได้ดีกว่ามาก
3) สิ่งที่ธนาคารกรุงเทพต้องการในตอนนี้ น่าจะเป็นอะไร หากมีการเข้าไปเจรจาจริงๆ ผมจะได้รู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของเค้า
4) ถ้าไม่นับเรื่องญาติ ทางเลือกที่ฉลาดที่สุดคือการเข้าไปเจรจาหรือไม่ หรือควรปล่อยเรื่องนี้เงียบๆไป รอ ธ.ติดต่อมาเอง ตามที่ธนาคารบอก แม้ธนาคารจะไม่ได้ติดต่ออะไรเรามาเลย 5 ปีแล้ว
เจอคดีหนี้ ในฐานะผู้ค้ำ กับธ.กรุงเทพ มูลค่ามากกว่า 15 ล้านบาท ควรเจรจาหรือไม่ อย่างไรครับ
จะพยายามเล่าให้สั้น และ กระชับที่สุด อาจมีรายละเอียดอะไรตกหล่นหรือผิดพลาดบ้าง ต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยครับ
- เมื่อ 20 ปีก่อน ที่บ้านทำธุรกิจครอบครัว มีการกู้เงินกับธนาคารกรุงเทพ และ ธนาคารกสิกรไทย ในการทำธุรกิจ วงเงินรวมกันเกิน 50 ล้านบาท
- การกู้เงินในตอนนั้นเป็นการกู้ในนามบริษัท
- การกู้ในครั้งนั้นมีลูกหนี้ร่วมเป็นคุณพ่อผมที่เป็นเจ้าของบริษัท
- และมีผู้ค้ำประกันคือญาติซีงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับธุรกิจนี้
- สาเหตุที่ญาติกลายมาเป็นผู้ค้ำ เพราะตอนขอสินเชื่อ ญาติได้นำที่ดินตัวเองแปลงนึงมาให้คุณพ่อ เพื่อช่วยคุณพ่อในการขอสินเชื่อ แม้ภายหลังญาติจะได้ปลดที่ดินแปลงนี้ออกตัวสินเชื่อแล้ว แต่สัญญาค้ำประกันในสินเชื่อไม่ได้ถูกปลดไปด้วย การค้ำประกันเลยยังอยู่ มูลค่า 9 ล้านบาท
- เมื่อ 10 ปีก่อน ธุรกิจเริ่มพบปัญหา ไม่สามารถชำระหนี้ได้ จึงเข้าไปเจรจากับทั้งธนาคารกรุงเทพ และ กสิกรไทย
- ณ เวลานั้น ธนาคารกสิกรไทย ให้ความร่วมมือดีมาก สุดท้ายเลยมีการ ตีคืนทรัพย์สินกับธนาคารกสิกร เพื่อหักกลบลบหนี้กันจนหมด ไม่มีหนี้กับธนาคารกสิกรไทยอีกต่อไป
- พอมีการตีคืนทรัพยืสินกับธนาคารกสิกรสำเร็จ มูลค่าหนี้จึงลดลงเหลือ 30 ล้านบาท และทั้งหมดที่เหลือจึงเป็นของธนาคารกรุงเทพ
- ณ เวลานั้น ธนาคารกรุงเทพ ให้ความร่วมมือน้อยมาก การเจรจาไม่ได้ผล จึงมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น เพื่อพิทักษ์ทรัพย์บังคับคดี
- การฟ้องร้อง คนที่ถูกฟ้อง มีทั้งบริษัท(ลูกหนี้) พ่อผม (ลูกหนี้ร่วม) และ ญาติ (ผู้ค้ำ)
- เมื่อ ประมาณ 5 ปีก่อน ทรัพย์สินแปลงสุดท้ายที่อยู่กับธนาคารพรุงเทพ ได้ถูกขายทอดตลาด
- มูลค่าหนี้ทั้งของธนาคารกรุงเทพตอนนี้น่าจะลดเหลือ 15 ล้านบาท
- ปัจจุบัน ทั้งคุณพ่อ และ ญาติ ไม่มีทรัพย์สินใดๆ ในชื่อตัวเองเหลืออีกแล้ว
- หลังจากทรัพย์แปลงสุดท้ายถูกขายทอดตลาด คุณพ่อได้พยายามเข้าไปเจรจากับ ธ.กรุงเทพอีกรอบ แต่ ธ.กรุงเทพบอกว่า "ไว้จะติดต่อกลับมาเอง"
- ปัจจุบัน เวลาผ่านมา 5 ปีนับตั้งแต่ตอนขายทอดตลอดที่แปลงสุดท้าย ไม่มีการติดต่อใดๆมาจาก ธ.กรุงเทพอีก เงียบสนิท
- ตอนนี้ญาติผู้ค้ำค่อนข้างเดือดร้อน เพราะไม่กล้าทำธุรกิจ หรือ ธุรกรรมใดๆ กับธนาคารใดๆเลย มานานหลายปีแล้ว เพราะติดคดีค้ำประกัน กลัวโดนยึดทรัพย์ และญาติไม่อยากตกอยู่ในสภาพนี้อีกเพราะญาติจริงๆแล้วไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย อายุก็ยังไม่เยอะ ยังอยากทำอะไรในชื่อตัวเองอีกมาก แต่ทำไม่ได้
จากเรื่องราวทั้งหมดที่เล่ามา ผมอยากมาปรึกษาว่า
1) ตอนนี้สิ่งที่ครอบครัวต้องการที่สุด คือการให้ญาติหลุดจากคดีนี้ ผมควรทำอย่างไร
ผมทำงานในบริษัทใหญ่แห่งนึง รายได้ค่อนข้างดี ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ แต่พอมีมีเงินเก็บประมาณ 3-4 ล้าน (แต่มูลค่าค้ำประกันของญาติคือ 9 ล้าน)
ผมควรเข้าไปเจรจากับ ธ.กรุงเทพแทนญาติผมตอนนี้หรือไม่ ?
2) ธนาคารกรุงเทพเมื่อ 5-10 ปีที่แล้ว กับ ตอนนี้เปลี่ยนไปมากหรือยังครับ? เพราะที่ผ่านมาการเจรจากับธนาคารกรุงเทพยากลำบากมาก ต่างกับธนาคารกสิกรไทย คือพนักงานไม่ให้ความร่วมมือเลย เหมือนมองเราเป็นผู้ร้ายตลอดแม้เรามีความต้องการจะชำระหนี้ ซึ่งต่างกับ ธ.กสิกรไทยในเวลานั้นซึ่งให้ความร่วมมือได้ดีกว่ามาก
3) สิ่งที่ธนาคารกรุงเทพต้องการในตอนนี้ น่าจะเป็นอะไร หากมีการเข้าไปเจรจาจริงๆ ผมจะได้รู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของเค้า
4) ถ้าไม่นับเรื่องญาติ ทางเลือกที่ฉลาดที่สุดคือการเข้าไปเจรจาหรือไม่ หรือควรปล่อยเรื่องนี้เงียบๆไป รอ ธ.ติดต่อมาเอง ตามที่ธนาคารบอก แม้ธนาคารจะไม่ได้ติดต่ออะไรเรามาเลย 5 ปีแล้ว