ในกระทู้นึ่ขอมาเปิดประสบการณ์การเข้าค่ายกับเด็กkiwi ที่พึ่งผ่านมาสดๆร้อนๆกันน๊อ
เกริ่นนิดนึง: เราเรียนอยู่นิวซีแลนด์ y12 (ประมาณม.5) ที่โรงเรียน….(ขอไม่ระบุชื่อละกัน555) และได้มีโอกาศเข้าค่ายเป็นเวลา 6 วัน 5 คืน ที่ Hillary outdoors กับเพื่อนๆอีก 34 คน
ปล. นี่เป็นประสบการณ์ของเราโดยตรง และแต่ละโรงเรียนในนิวก็เข้าค่ายไม่เหมือนกัน เนื้อหาที่จะเอามาพูดในกระทู้นี้มาจากรร.ที่เราอยู่ล้วนๆ อย่าเหมารวมรร.อื่นๆนะจ๊ะ
เข้าเรื่องกันเลย
โรงเรียนที่ New Zealand ส่วนใหญ่จะจัดการเข้าค่ายครั้งใหญ่ให้เด็กแต่ละชั้นไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าทุกระดับชั้นจะได้ไป
ยกตัวอย่างเช่น รร.เรา จะจัดเข้าค่ายให้เด็กระดับชั้น y8 y9 y10 y12 เท้านั้น ส่วน year อื่นที่ไม่ได้ระบุจะไม่มีเข้าค่าย และ สำหรับชั้นที่ได้ไปก็จะได้ไปแค่ 1 ครั้งในปีนั้น (อันนี้เป็นเข้าค่ายค้างคืน ถ้าเช้าเย็นกลับต้องขึ้นอยู่กับแต่ละวิชาที่ลง)
โดยส่วนใหญ่แล้วที่ไทยจะเข้าค่ายตามวิชา แบบ เข้าค่ายวิทยาศาสตร์ ไม่ก็ลูกเสือไรงี้ เพื่อการเรียนรู้ล้วนๆ แต่ที่ New Zealand คือแตกต่างกันโดยชัดเจน เพราะเป้าหมายของเค้าคือเพื่อความสนุก อย่างเดียว และหลักๆคือ ฝึก leadership และสร้าง Friendship ฝึกการพึ่งพาตัวเองและช่วยเหลือคนอื่น เป็นมากกว่าการเรียนทฤษฎีแล้วค่อยปฏิบัติ ไม่มีจดบันทึก ไม่ต้องพกปากกาและดินสอ ถึงจดไปก็ลืมแถมไม่ได้กลับมาอ่านอยู่ดีใช้ม่า ถ้าเราได้ใช้ใจและตัวทำยังไงก็ไม่มีวันลืม
ค่าย Hillary Outdoors ที่จขกท.ไปก็ตามชื่อเลย outdoors อย่างเดียว ย้ำๆ
เราออกเดินทางวันที่ 24/6/18 ถึง 29/6/18 สำหรับที่นี้เป็นช่วงหน้าหนาวพอดี เมืองที่เราอยู่คือ 0 องศา งานนี้คือหนาว
ตอนไปถึงที่เข้าค่ายทางรร.ก็จัดการยึดมือถือเลยจ๊า (ตอนนั้นคือแบบ ม่ายยยย แล้วคือจะถ่ายรูปด้วยอะไร!) จากนั้นก็อแยกย้ายเป็น 4กลุ่มเข้าที่พัก กลุ่มเรามีทั้งหมด 9 คน รวมกันอยู่ในห้องพักที่เครื่องทำความร้อนพัง (คืออะไร) และไม่มีเตียง ต่องใช้ถุงนอน ห้องน้ำเป็นแบบรวมยังดีหน่อยมีส้วมให้ ไม่ต้องใช้ long drop (Long drop = ส้วมที่มีรูใหญ่ๆไว้เก็บของเสียจากร่างกาย ไม่ต้องกดชักโครกเพราะทุกอย่างจะไหลรวมกันและไปกองไว้ที่กดส้วม กลิ่นนี่อย่าให้พูด) สิ่งที่ต้องทำทุกวันคือ ทำความสะอาดห้องน้ำ ห้องนอน ทุกเช้า แค่ละกลุ่มต้องส่งคน2คนไปแพ็คอาหารดที่ยง (ขนมปังทุกวัน) และทุกกลุ่มต้องสลับกันมาเตรียมอาการเช้าและเย็น บรรยากาศนอกcamp ก็จะมีความธรรมชาติๆสุดๆ และวิวส่วนตัวที่เราเชื่อว่าหาที่อื่นได้ยาก
มาดูกันดีกว่าว่าแต่ละวันทำอะไรบ้าง
6.45am : หน่วยทำอาหารเช้าเข้าครัว
7.15am : คนแพ็คอาหารเที่ยงเข้าครัว
7.30 : Breakfast
8.00-9.00 : ทำความสะอาดห้อง + อาบน้ำ แปรงฟัน
9.00 : แยกย้ายทำกิจกรรม outdoor ตามกลุ่ม (แตกต่ากันทุกวัน)
5.00 : หน่วยทำอาการเย็นเข้าครัว
6.00: Dinner
7.30-8.30 : กิจกรรม Indoor
10.00pm : Bedtime
วันแรกของกลุ่มเรา คือเข้าป่าเลยจ๊า แบบมีแค่แผนที่ เข็มทิศ (อย่าลืมว่าโดยยึดมือถือ) คือไม่ได้เดินทางเท้าธรรมดานะเพราะมันไม่มี! ป่าคือป่าจริงๆ ต้องเดินเหยียบต้นไม้ และหาทางกันเอง แถมฝนตก และสุดท้ายก็กินข้าวกลางป่าเขา และฝน (ขนมปังเปียกๆ 55) แต่สุดท้ายก็ออกมาได้ และไปเล่น flying fox คือหน้ากลัวมากเพราะโหนสลิงกลางแม่น้ำ (เคยเกิดเหตุการเสียชิวิตปริเวณใกล้มาก่อน เนื่องจากน้ำไหลเชียวและโขดหินเยอะ) โหนสลิงคือได้ครั้งละคน และทุกคนต้องใส่อุปกรณ์เอง และเช้าเชื่อดึงเพื่อนให้กลับมาถึงฝันเอง (คือหนึ่งโดดและที่เหลือดึงกลับมา) ถ้าไม่ดึงไอคนที่โดดก็ห้อยกลางฟ้าอยู่อย่างนั้นแหละ 555
บางกลุ่มก็โชคดีมาก ไปปีนเขากัน โหดๆๆๆ
Day 2 : วันนี้ไป Caving เข้าถ้ำกันไป มุดลอดตามซอกหิน ต้องเลื้อยเหมือนหนอน ก้มๆเงยๆ แถมซอกแคบมาก (เคยมีคนติดอยู่ในซอกออกไม่ได้หลายชม.) เพื่อเรา 2 คนหลงจากกลุ่มเพราะมุดซอกไม่ทัน และข้างในมืดมากต้องใช้ไฟฉายแบบสวมหัว ตอนนั้นทุกคนตกใจมาก โชคดีที่ยังได้ยินเสียงตะโกนไม่งั้นคือแบบ ลาก่อนจ๊า หายากแน่นอน เพราะถ้ำมีหลายทางออกและบางที่น้ำมาก อาจถึงหัว ต้องระวังมากๆ แต่ถึงแม้จะอันตรายและน่ากลัว มันก็สนุกไปอึกแบบ หัวใจเต้นแรงตลอดเวลา จะลื่นตกน้ำมั๊ย จะมือไปทับหนอนเรืองแสงมั๊ย หนอนเรื่องแสงจริงๆนะ สีฟ้าด้วย!
ปล. หลังจากเข้าออกมาจากถ้ำหนึ่งอาทิตย์ก็มีข่าวเด็กหายในถ้ำหลวง! ถ้ารู้ข่าวก่อนสักนิดใจคงไม่สุขแน่นอน
Day 3 : หิมะจ๊า เค้ามาแล้ว วันนี้ขึ้นภูเขาเพื่อฝึกการใช้มีดตัดน้ำแข็ง และเตรียมตัวไป Tongariro (ไปดูในgoogle 55 จะได้เห็นภาพชัดๆ) มีดตัดน้ำแข็งที่ว่าคือไม่ใช่จะไปตัดน้ำแข็งขายนะ แต่มันเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยชีวิตคนไม่ให้ตกเขาได้ ้เวลาลื่นและตกเขาก็ให้ใช้มีดปักที่หิมะ วันนี้ก็ได้เรียนรู้การช่วยชิวิตคนที่โดนหิมะถล่มด้วยเครื่องส่งสัญญาณ ประสบการณ์นัหาไม่ได้ที่ไทยแน่นอน~
แอบอิจอีกกลุ่มนิดๆ เค้าได้มีโอกาศไปพายเรือตอนพระอาทิตย์ โรแมนติกมากกกก น่าเสียดายที่กลุ่มเราคนดูแลเค้าดูจะชอบปีนเขามากๆ เลยได้ปีนทั้งสองวันเลย
Day 4 : วันสุดท้ายก่อนกลับ และเป็นวันที่โหดที่สุด Tongariro crossing เนื่องจากเราและกลุ่มเพื่อนไปถึงที่นั่นประมาณบ่ายโมงเลยได้ปีนเขาแค่ครึ่งทางของทั้งหมดเพราะ Tongariro crossing ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 ชม และถ้ายิ่งมืดยิ่งอันตราย
# เราเคยข้าม Tongariro ตอน Year 10 (ประมาณม.3) กับอีกโรงเรียนช่วง Summer คือมันโหดมาก ทั้งเหนื่อยและอันตราย เราใช้เวลา8ชมในช่วงนั้น ลองคิดดูว่าช่วง Winter คือโหดยิ่งกว่าเพราะมีทั้งหิมะ ลม และความหนาว + ลื่น โอกาศตกเขามีสูงมาก กลุ่มเราเลยเลือกภูเขาอึกลูกแทน ตอนนั้นคือตกใจมากเพราะอยู่พี่ที่นำทางก็เดินไปรอบๆแล้วอยู่ก็ชี้แบบRandom เอาภูเขาลูกนี้ดีกว่า ดูน่าขึ้นดีไรงี้ คืออะไร! มีการเดินเลือกแบบง่ายๆอย่างงี้ด้วย แต่ก็ช่างเถอะ ถ้าอยากกลับที่พักเร็วก็ต้องปีเขาข้ามไปอึกฝั่งเพราะถ้าเดินจะใช้เวลานานมาก 2ชม+ ปีนเขาแบบเพรียวๆเลยจ๊า ต้องหาทางปีเองเพราะไม่มีทางเดินให้ ไม่เชือกโยงกับเอว ไม่มีsafety หรืออะไรเลย คือแบกกระเป๋าใหญ่เกือบเท่าตัวกลางพายุหิมะ ไม่เห็นฟ้าและดิน ไม่เห็นแม้กระทั้งยอดเขาและจุดหมาย ร้องไห้แป๊บ
แต่สุดท้ายก็ผ่านมันมาได้ด้วยรอยยิ้ม มันเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากมาก ระหว่างทางมีการสร้างมิตรภาพกับเพื่อนๆ ช่วยเหลือกัน ยอมรับกัน มันเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากๆ ขอจบตัวอย่างการเข้าค่ายแบบเด็ก New Zealand ไว้เท่านี้ ไม่ได้อยากให้ทุกคนเอามันไปเปรียบเที่ยบกับการค่ายของไทยนะ ไม่ว่าอันไหนมันดีกว่า หรือ แย่กว่า แต่มันก็ได้เรียนรู้อะไรที่แตกต่างกัน สำหรับเรา และค่ายแบบ New Zealand ที่ไม่มีสมุดจด และปากกา การผ่านอะไรยากๆมันทำให้ตัวเราผ่านความกลัวตัวเองมาได้ จากคนที่กลัวความสูง ก็ปีนเขาที่สูงติดอันดับประเทศนิวซีแลนด์ได้ ค่ายครั้งนี้ไม้ได้ไปเพื่อเอาความรู้มาใช้สอบ แต่ไปเพื่อเปิดโลกใบใหม่ให้ตัวเองเพียงเท่านั้น
เข้าค่ายแบบเด็กนิวซีแลนด์
เกริ่นนิดนึง: เราเรียนอยู่นิวซีแลนด์ y12 (ประมาณม.5) ที่โรงเรียน….(ขอไม่ระบุชื่อละกัน555) และได้มีโอกาศเข้าค่ายเป็นเวลา 6 วัน 5 คืน ที่ Hillary outdoors กับเพื่อนๆอีก 34 คน
ปล. นี่เป็นประสบการณ์ของเราโดยตรง และแต่ละโรงเรียนในนิวก็เข้าค่ายไม่เหมือนกัน เนื้อหาที่จะเอามาพูดในกระทู้นี้มาจากรร.ที่เราอยู่ล้วนๆ อย่าเหมารวมรร.อื่นๆนะจ๊ะ
เข้าเรื่องกันเลย
โรงเรียนที่ New Zealand ส่วนใหญ่จะจัดการเข้าค่ายครั้งใหญ่ให้เด็กแต่ละชั้นไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าทุกระดับชั้นจะได้ไป
ยกตัวอย่างเช่น รร.เรา จะจัดเข้าค่ายให้เด็กระดับชั้น y8 y9 y10 y12 เท้านั้น ส่วน year อื่นที่ไม่ได้ระบุจะไม่มีเข้าค่าย และ สำหรับชั้นที่ได้ไปก็จะได้ไปแค่ 1 ครั้งในปีนั้น (อันนี้เป็นเข้าค่ายค้างคืน ถ้าเช้าเย็นกลับต้องขึ้นอยู่กับแต่ละวิชาที่ลง)
โดยส่วนใหญ่แล้วที่ไทยจะเข้าค่ายตามวิชา แบบ เข้าค่ายวิทยาศาสตร์ ไม่ก็ลูกเสือไรงี้ เพื่อการเรียนรู้ล้วนๆ แต่ที่ New Zealand คือแตกต่างกันโดยชัดเจน เพราะเป้าหมายของเค้าคือเพื่อความสนุก อย่างเดียว และหลักๆคือ ฝึก leadership และสร้าง Friendship ฝึกการพึ่งพาตัวเองและช่วยเหลือคนอื่น เป็นมากกว่าการเรียนทฤษฎีแล้วค่อยปฏิบัติ ไม่มีจดบันทึก ไม่ต้องพกปากกาและดินสอ ถึงจดไปก็ลืมแถมไม่ได้กลับมาอ่านอยู่ดีใช้ม่า ถ้าเราได้ใช้ใจและตัวทำยังไงก็ไม่มีวันลืม
ค่าย Hillary Outdoors ที่จขกท.ไปก็ตามชื่อเลย outdoors อย่างเดียว ย้ำๆ
เราออกเดินทางวันที่ 24/6/18 ถึง 29/6/18 สำหรับที่นี้เป็นช่วงหน้าหนาวพอดี เมืองที่เราอยู่คือ 0 องศา งานนี้คือหนาว
ตอนไปถึงที่เข้าค่ายทางรร.ก็จัดการยึดมือถือเลยจ๊า (ตอนนั้นคือแบบ ม่ายยยย แล้วคือจะถ่ายรูปด้วยอะไร!) จากนั้นก็อแยกย้ายเป็น 4กลุ่มเข้าที่พัก กลุ่มเรามีทั้งหมด 9 คน รวมกันอยู่ในห้องพักที่เครื่องทำความร้อนพัง (คืออะไร) และไม่มีเตียง ต่องใช้ถุงนอน ห้องน้ำเป็นแบบรวมยังดีหน่อยมีส้วมให้ ไม่ต้องใช้ long drop (Long drop = ส้วมที่มีรูใหญ่ๆไว้เก็บของเสียจากร่างกาย ไม่ต้องกดชักโครกเพราะทุกอย่างจะไหลรวมกันและไปกองไว้ที่กดส้วม กลิ่นนี่อย่าให้พูด) สิ่งที่ต้องทำทุกวันคือ ทำความสะอาดห้องน้ำ ห้องนอน ทุกเช้า แค่ละกลุ่มต้องส่งคน2คนไปแพ็คอาหารดที่ยง (ขนมปังทุกวัน) และทุกกลุ่มต้องสลับกันมาเตรียมอาการเช้าและเย็น บรรยากาศนอกcamp ก็จะมีความธรรมชาติๆสุดๆ และวิวส่วนตัวที่เราเชื่อว่าหาที่อื่นได้ยาก
มาดูกันดีกว่าว่าแต่ละวันทำอะไรบ้าง
6.45am : หน่วยทำอาหารเช้าเข้าครัว
7.15am : คนแพ็คอาหารเที่ยงเข้าครัว
7.30 : Breakfast
8.00-9.00 : ทำความสะอาดห้อง + อาบน้ำ แปรงฟัน
9.00 : แยกย้ายทำกิจกรรม outdoor ตามกลุ่ม (แตกต่ากันทุกวัน)
5.00 : หน่วยทำอาการเย็นเข้าครัว
6.00: Dinner
7.30-8.30 : กิจกรรม Indoor
10.00pm : Bedtime
วันแรกของกลุ่มเรา คือเข้าป่าเลยจ๊า แบบมีแค่แผนที่ เข็มทิศ (อย่าลืมว่าโดยยึดมือถือ) คือไม่ได้เดินทางเท้าธรรมดานะเพราะมันไม่มี! ป่าคือป่าจริงๆ ต้องเดินเหยียบต้นไม้ และหาทางกันเอง แถมฝนตก และสุดท้ายก็กินข้าวกลางป่าเขา และฝน (ขนมปังเปียกๆ 55) แต่สุดท้ายก็ออกมาได้ และไปเล่น flying fox คือหน้ากลัวมากเพราะโหนสลิงกลางแม่น้ำ (เคยเกิดเหตุการเสียชิวิตปริเวณใกล้มาก่อน เนื่องจากน้ำไหลเชียวและโขดหินเยอะ) โหนสลิงคือได้ครั้งละคน และทุกคนต้องใส่อุปกรณ์เอง และเช้าเชื่อดึงเพื่อนให้กลับมาถึงฝันเอง (คือหนึ่งโดดและที่เหลือดึงกลับมา) ถ้าไม่ดึงไอคนที่โดดก็ห้อยกลางฟ้าอยู่อย่างนั้นแหละ 555
บางกลุ่มก็โชคดีมาก ไปปีนเขากัน โหดๆๆๆ
Day 2 : วันนี้ไป Caving เข้าถ้ำกันไป มุดลอดตามซอกหิน ต้องเลื้อยเหมือนหนอน ก้มๆเงยๆ แถมซอกแคบมาก (เคยมีคนติดอยู่ในซอกออกไม่ได้หลายชม.) เพื่อเรา 2 คนหลงจากกลุ่มเพราะมุดซอกไม่ทัน และข้างในมืดมากต้องใช้ไฟฉายแบบสวมหัว ตอนนั้นทุกคนตกใจมาก โชคดีที่ยังได้ยินเสียงตะโกนไม่งั้นคือแบบ ลาก่อนจ๊า หายากแน่นอน เพราะถ้ำมีหลายทางออกและบางที่น้ำมาก อาจถึงหัว ต้องระวังมากๆ แต่ถึงแม้จะอันตรายและน่ากลัว มันก็สนุกไปอึกแบบ หัวใจเต้นแรงตลอดเวลา จะลื่นตกน้ำมั๊ย จะมือไปทับหนอนเรืองแสงมั๊ย หนอนเรื่องแสงจริงๆนะ สีฟ้าด้วย!
ปล. หลังจากเข้าออกมาจากถ้ำหนึ่งอาทิตย์ก็มีข่าวเด็กหายในถ้ำหลวง! ถ้ารู้ข่าวก่อนสักนิดใจคงไม่สุขแน่นอน
Day 3 : หิมะจ๊า เค้ามาแล้ว วันนี้ขึ้นภูเขาเพื่อฝึกการใช้มีดตัดน้ำแข็ง และเตรียมตัวไป Tongariro (ไปดูในgoogle 55 จะได้เห็นภาพชัดๆ) มีดตัดน้ำแข็งที่ว่าคือไม่ใช่จะไปตัดน้ำแข็งขายนะ แต่มันเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยชีวิตคนไม่ให้ตกเขาได้ ้เวลาลื่นและตกเขาก็ให้ใช้มีดปักที่หิมะ วันนี้ก็ได้เรียนรู้การช่วยชิวิตคนที่โดนหิมะถล่มด้วยเครื่องส่งสัญญาณ ประสบการณ์นัหาไม่ได้ที่ไทยแน่นอน~
แอบอิจอีกกลุ่มนิดๆ เค้าได้มีโอกาศไปพายเรือตอนพระอาทิตย์ โรแมนติกมากกกก น่าเสียดายที่กลุ่มเราคนดูแลเค้าดูจะชอบปีนเขามากๆ เลยได้ปีนทั้งสองวันเลย
Day 4 : วันสุดท้ายก่อนกลับ และเป็นวันที่โหดที่สุด Tongariro crossing เนื่องจากเราและกลุ่มเพื่อนไปถึงที่นั่นประมาณบ่ายโมงเลยได้ปีนเขาแค่ครึ่งทางของทั้งหมดเพราะ Tongariro crossing ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 ชม และถ้ายิ่งมืดยิ่งอันตราย
# เราเคยข้าม Tongariro ตอน Year 10 (ประมาณม.3) กับอีกโรงเรียนช่วง Summer คือมันโหดมาก ทั้งเหนื่อยและอันตราย เราใช้เวลา8ชมในช่วงนั้น ลองคิดดูว่าช่วง Winter คือโหดยิ่งกว่าเพราะมีทั้งหิมะ ลม และความหนาว + ลื่น โอกาศตกเขามีสูงมาก กลุ่มเราเลยเลือกภูเขาอึกลูกแทน ตอนนั้นคือตกใจมากเพราะอยู่พี่ที่นำทางก็เดินไปรอบๆแล้วอยู่ก็ชี้แบบRandom เอาภูเขาลูกนี้ดีกว่า ดูน่าขึ้นดีไรงี้ คืออะไร! มีการเดินเลือกแบบง่ายๆอย่างงี้ด้วย แต่ก็ช่างเถอะ ถ้าอยากกลับที่พักเร็วก็ต้องปีเขาข้ามไปอึกฝั่งเพราะถ้าเดินจะใช้เวลานานมาก 2ชม+ ปีนเขาแบบเพรียวๆเลยจ๊า ต้องหาทางปีเองเพราะไม่มีทางเดินให้ ไม่เชือกโยงกับเอว ไม่มีsafety หรืออะไรเลย คือแบกกระเป๋าใหญ่เกือบเท่าตัวกลางพายุหิมะ ไม่เห็นฟ้าและดิน ไม่เห็นแม้กระทั้งยอดเขาและจุดหมาย ร้องไห้แป๊บ
แต่สุดท้ายก็ผ่านมันมาได้ด้วยรอยยิ้ม มันเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากมาก ระหว่างทางมีการสร้างมิตรภาพกับเพื่อนๆ ช่วยเหลือกัน ยอมรับกัน มันเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากๆ ขอจบตัวอย่างการเข้าค่ายแบบเด็ก New Zealand ไว้เท่านี้ ไม่ได้อยากให้ทุกคนเอามันไปเปรียบเที่ยบกับการค่ายของไทยนะ ไม่ว่าอันไหนมันดีกว่า หรือ แย่กว่า แต่มันก็ได้เรียนรู้อะไรที่แตกต่างกัน สำหรับเรา และค่ายแบบ New Zealand ที่ไม่มีสมุดจด และปากกา การผ่านอะไรยากๆมันทำให้ตัวเราผ่านความกลัวตัวเองมาได้ จากคนที่กลัวความสูง ก็ปีนเขาที่สูงติดอันดับประเทศนิวซีแลนด์ได้ ค่ายครั้งนี้ไม้ได้ไปเพื่อเอาความรู้มาใช้สอบ แต่ไปเพื่อเปิดโลกใบใหม่ให้ตัวเองเพียงเท่านั้น