ตามหัวข้อคับ พระเจ้าในคัมภีร์ต่างๆ ที่อ่านและศึกษามา ทำให้คิดว่าผู้เผยพระวจนะ และ นบีต่างๆ คิดขึ้นมาและอ้างถึงเพื่อใช้ในยุคและสถานะการณ์นั้นๆ ของเขา และ บางอันก็เหมือนเพ้อ และ เป็นนิทาน มากๆ ... ความจริงเมื่อใช้วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันมาเทียบดู ความจริงในคัมภีร์ที่เป็นเรื่องจิ้บจ้อยและกล่าวอ้างว่าเป็นไปตามวิทยาศาสตร์ คนสมัยนั้นเขาก็รู้และพิสูจน์ได้ทั้งนั้น โดยไม่ยากอะไร ไม่ใช่เรื่องแปลก อะไรเลย
และ พระคัมภีร์ ก็เขียนถึงอันนู้นอันนี้ที่อยู่บนโลก ถ้าโลกนี้แตกตามพระคัมภีร์ แต่เราย้ายไปอยู่ดาวอังคารแล้ว จะได้ผลกระทบอะไรหรือคับ
แล้วต้องตามไปสักการะถึงดาวอังคารไหมอ่ะ คนเมื่อก่อนคงคิดว่าโลกนี้เป็นที่อาศัยเดียว แต่หารู้ไม่ดาวดวงอื่นยังมีอีกเยอะที่น่าจะไปอยู่ได้ แล้วแบบนี้ จะเป็นอย่างไรหรือ
เพราะการศึกษายังเข้าไม่ถึงพวกเขาหรือ พวกเขามองข้ามคับ ใช้ความเชื่อเป็นที่ตั้ง ทำให้ยังนับถือพระเจ้าทั้งหลายที่ไม่มีจริงอยู่
ถ้าพระเจ้ามีจริงก็คงเป็น จักรวาลและธรรมชาตินี่แหละคับ แต่คงไม่ต้องการการสักการะหรือละหมาด เพราะ ไม่มีสมองเช่นมนุษย์ไม่มีความรู้สึกนึกคิด ไม่ได้รู้สึกดีไปกับการสรรเสริญ ...
ทำไมมนุษย์ ยังนับถือพระเจ้าในคำภีร์ต่างๆ อีกคับ ทั้งๆ ที่เรากำลังไปอยู่ดาวดวงอื่นกันแล้ว
และ พระคัมภีร์ ก็เขียนถึงอันนู้นอันนี้ที่อยู่บนโลก ถ้าโลกนี้แตกตามพระคัมภีร์ แต่เราย้ายไปอยู่ดาวอังคารแล้ว จะได้ผลกระทบอะไรหรือคับ
แล้วต้องตามไปสักการะถึงดาวอังคารไหมอ่ะ คนเมื่อก่อนคงคิดว่าโลกนี้เป็นที่อาศัยเดียว แต่หารู้ไม่ดาวดวงอื่นยังมีอีกเยอะที่น่าจะไปอยู่ได้ แล้วแบบนี้ จะเป็นอย่างไรหรือ
เพราะการศึกษายังเข้าไม่ถึงพวกเขาหรือ พวกเขามองข้ามคับ ใช้ความเชื่อเป็นที่ตั้ง ทำให้ยังนับถือพระเจ้าทั้งหลายที่ไม่มีจริงอยู่
ถ้าพระเจ้ามีจริงก็คงเป็น จักรวาลและธรรมชาตินี่แหละคับ แต่คงไม่ต้องการการสักการะหรือละหมาด เพราะ ไม่มีสมองเช่นมนุษย์ไม่มีความรู้สึกนึกคิด ไม่ได้รู้สึกดีไปกับการสรรเสริญ ...