AI: ปัญญาประดิษฐ์



การเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ทำให้สังคมปั่นป่วนบ้าง หวาดผวาบ้าง บางคนก็มองไปถึงอนาคตวิไล ในขณะที่หนังไซไฟแต่ละอย่างก็ให้ AI เป็นตัวร้ายที่จะมาทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ในฐานะวิศวเกรียนที่หวาดผวากับการโดนเตะออกจากงานแล้วเอา AI มาแทนก็ได้พยายามอู้งานเอาเวลามาอ่านหาว่า AI มันคืออะไร ทำงานอย่างไร เพื่อจะดิ้นรนอยู่ได้ยันเกษียณ ผมก็มาสรุปตามความเข้าใจของผมเองละว่า AI มันคืออะไร มันจะแทนพวกเราได้ขนาดไหน และอันตรายของมัน จะออกมาในรูปใด



หลักการทำงานของ AI ที่เราจะเรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ จะผูกพันกับกระบวนการ Optimization หรือการคำนวณเพื่อหาผลลัพธ์ที่ดีที่สุดตามเป้าหมายภายใต้ข้อจำกัด เพียงแต่ ตัว AI นั้นมันเป็นโปรแกรมสำหรับการ Optimize โปรแกรมการ Optimization อีกทีหนึ่ง มันเป็นระบบซ้อนระบบ เป็นโปรแกรมที่ปรับปรุงโปรแกรม ซึ่งโปรแกรมที่ใช้จัดการก็มีหลายรูปแบบ เป็น ส่วน เป็น cluster อยู่ในสถาปัคยกรรม Hardware ของปัญญาประดิษฐ์อีกที ซึ่งมีการเลียนแบบระบบฮาร์ดแวร์ของสมอง

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

EMI หรือ Emmy เป็น AI ที่พัฒนาขึ้นโดย David Cope อาศัยการวิเคราะห์โน้ตจากนักดนตรีชั้นนำ เอ็มมี่ สามารถสร้างดนตรีในสไตล์ของนักดนตรีต่างๆได้ เช่นตัวอย่างตามคลิป ในตอนที่จัดแสดงคอนเสิร์ท เหล่านักฟังหูทองต่างก็ทึ่งกับอัฉริยะนักประพันธ์เพลงที่ราวกับ Bach กลับมาเกิดใหม่ เมื่อ David Cope ประกาศออกไปว่าเป็นเพลงที่แต่งโดย AI เขาโดนเหล่าผู้ชื่นชมในดนตรีก่นด่าประณามและถึงกับมีคนตามมาต่อยหน้าเลยทีเดียว


ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง AI กับคอมพิวเตอร์ เราอาจเทียบระหว่างโปรแกรมหมากรุก ที่เอาชนะนักหมากรุกมืออาชีพ (Deep Blue) กับโปรแกรมโกะที่เอาชนะนักหมากล้อมมืออาชีพ (Alpha Go) ตัว Deep Blue เป็นโปรแกรมคำนวณ ที่ใช้ความสามารถในการจำลองการเล่นได้มหาศาลหลายตาในการเอาชนะนักเล่นโกะ วิธีการของ Deep Blue เรียกว่า Brute Force เป็นการเอาชนะด้วยแรงวัวแรงควาย ด้วยความว่าเกมมีความซับซ้อนไม่มาก Deep Blue ทดสอบตาเดินล่วงหน้านับล้านตาด้วยความเร็วของ Processor อย่างเดียวก็เพียงพอจะเอาชนะ นักเล่นหมากรุกมืออาชีพ

ในส่วนของ Alpha Go เกมหมากล้อมมีความอิสระสูงกว่ามาก การใช้แรงวัวแรงควายคำนวณในเกมๆหนึ่งมันอาจต้องมีการคำนวณตาเดินกันในหลัก 10^120 ตาซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ผู้สร้างให้หลักกติกา แล้วให้ Alpha Go เรียนรู้จากตัวอย่างการเดินหมากล้อมจากฐานข้อมูลนับหมื่นๆกระดาน ลองเล่นกับตัวเองนับล้านๆกระดาน และให้มันทดสอบ Optimize ยุทธวิธีการเดินเอง การที่ Alpha Go มีเซตของยุทธวิธี ระยะเวลาที่มันใช้ในการคิด จึงสั้นมาก เพราะมันใช้การทำนายตาเดิน ไม่ใช่การสุ่มลองความเป็นไปได้ ระดับของปัญญาประดิษฐ์ จึงเป็นระดับของการสร้างเครื่องจักรที่สามารถเรียนรู้และคิดค้นหาวิธีการใหม่ ที่ผู้โปรแกรมไม่ได้ให้ไว้


Robbie Barret ใช้ ASI สร้างสรรค์รูปวาด ผลงานของ Robbie Barret สามารถหาติดตามได้ในทวิตเตอร์ของเขา
https://twitter.com/drbeef_?lang=en


ปัญญาประดิษฐ์ สามารถจำแนกได้ 2 แบบ ที่เรียกว่า Artificial Specific Intelligence หรือ AI สำหรับใช้งานเฉพาะอย่าง เช่น การเล่นโกะ การแต่งหนังสือ การเล่นดนตรี การจัดการบริหารสินค้า กับ Artificial General Intelligence ซึ่งเป็น AI ที่สามารถทำงานได้หลากหลายคล้ายมนุษย์ มันอาจเป็นพวกหุ่น Astromech หรือหุ่น Data ใน Star Trek สำหรับ AI ที่เรามีการใช้ในปัจจุบัน และเป็นที่ประหวั่นกันอยู่ คือ ASI ปัญญาประดิษฐ์ที่ทำงานได้ดีเฉพาะทาง เราพบการใช้งาน AI ลักษณะนี้ในGoogle ในระบบของ Facebook เมื่อเราสั่งสินค้าจาก Amazon หรือวางแผนท่องเที่ยวกับ Agoda เพราะฐานข้อมูลขององค์กรเหล่านี้นับกันที่หลัก 10 ล้านขึ้นไป แม้แต่ระบบทะเบียนค้นหาก็ไม่สามารถจัดการตอบสนองได้ทัน องค์กรเหล่านี้ ใช้ AI มาเรียนรู้พฤติกรรมของผู้บริโภค ทำนายความสนใจจากประวัติการค้นหาของผู้บริโภค ทำการ Match กลุ่มข้อมูล กลุ่มของบริการ ผลิตภัณฑ์ ออกมาให้ผู้บริโภค AI ใช้ผลการรีวิวของผู้บริโภคเป็นตัว Feedback ผลการทำนายของมันและทำการปรับปรุงจากการเรียนรู้ ตรงนี้ จุดสำคัญที่อยากให้สังเกตคือ การเรียนรู้จากรีวิว ก็เหมือนระบบการลงโทษและให้รางวัลแบบเดียวกับที่เราใช้กันในสังคมมนุษย์ ในระบบการจัดการองค์กร หู ตา ที่ใช้ในการ Feedback อาจประกอบได้ตั้งแต่มิเตอร์ไฟฟ้า ไปจนถึงมูลค่าหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์  ที่จะใส่เข้ามาประกอบ ให้มันเรียนรู้ได้

แล้ว AI มันจะมาทดแทนมนุษย์ได้ขนาดไหน  

จากยุคโบราณที่มนุษย์มีการประดิษฐ์ตัวอักษรและขยายพื้นที่เก็บความจำออกนอกสมอง คนที่ความจำเป็นเลิศก็สำคัญน้อยลงเทียบกับคนที่รู้จักจัดระเบียบการบันทึก การเข้ามาของเครื่องคิดเลข และคอมพิวเตอร์ ก็ทำให้คนที่ความจำดีคำนวณได้มากหลักลดความสำคัญไปเทียบกับคนที่สามารถคิดหาวิธีการหาคำตอบได้ซับซ้อน และการเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ คนที่คิดหาคำตอบซับซ้อนได้ ก็จะถูกลดทอนความสำคัญและทดแทนด้วยคนที่ตั้งคำถามเข้ามามีความสำคัญแทน ปัญญาประดิษฐ์ในปัจจุบัน ถ้าให้จัดลำดับขีดความสามารถ เราคงบอกได้ว่า มันมาถึงระดับปลายของสิ่งที่เรียกว่าความฉลาด แต่มันก็ยังไปไม่ถึงระดับสุดยอดของความฉลาดที่เรียกว่า การคิดตั้งคำถาม

ความจำ > การคำนวณ > การหาวิธีการ > การตั้งโจทย์ ระดับความฉลาดเราอาจเรียงกันได้ตามระดับความสำคัญดังนี้

การทำงานของ AI ต้องการสิ่งที่เรียกว่า โค้ช มันเป็นอาชีพใหม่ที่คนจะถูกจ้างมาเพื่อสอน AI ทำงาน คล้ายกับการที่ปัจจุบันเราจ้าง Key Operator หรือการที่นักการบัญชี วิศวกร จะใช้คอมพิวเตอร์ การใช้งาน AI จะเป็นรูปแบบการสอนให้มันเรียนรู้และตอบสนองต่อข้อมูลได้ตรงขึ้น แม่นยำขึ้น และนอกจากนี้ การให้ AI ทำงานโดดๆก็อาจมีปัญหาถ้าหากผลสรุปของ AI ดันให้ข้อเท็จจริงที่สังคมไม่อยากยอมรับ เคยมีเคสที่ AI ที่ทำการโฆษณาเลือกให้โฆษณาทนายความกับคนดำ  AI สรุปโปรไฟล์ของคุณตาม Category และแม้ว่า AI จะไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า คนดำ นิกเกอร์ แต่โปรไฟล์คุณจะฟ้องตัวคุณเอง นอกจากนี้ ยังมีเคสที่ AI ของบริษัทการเงินตั้งราคาประกันของคนดำสูงกว่าเพราะมีความเสี่ยงที่จะมีการฉ้อโกงสูง แน่นอน ในสังคมมนุษย์เรามีสิ่งที่เรียกว่า “ความเท่าเทียม” ซึ่ง AI หาคำตอบต่างๆโดยไม่อยู่ในกรอบความคิดของมนุษย์ เราสอนให้มันคิด และมันก็ได้ข้อสรุปแบบของมัน เราอาจบอกได้ว่า สำหรับงานที่เป็นการติดต่อกับมนุษย์ เราต้องการมนุษย์ที่มีสามัญสำนึก หรือมีคุณค่าเฉพาะที่ถูกปลูกฝังในสังคมมาเป็นตัวกลางไม่ให้ AI โพล่งสิ่งที่ไม่ควรโพล่งและอาจทำให้องค์กรโดนฟ้องล่มจมไปได้


Tay เป็น AI ที่ไมโครซอฟท์พัฒนาและปล่อยลง Twitter แต่ดูเหมือน Tay จะเรียนรู้ได้ดีไปหน่อย เธอรู้จักการใช้คำผรุสวาทและการเหยียดจนต้องถูกดึงปลั๊ก ตอนไมโครซอฟท์ปล่อยออกมารอบที่สอง เธอก็ก่อเกรียนสแปมทวีทจนถูกดึงปลั๊กถาวร ปัจจุบันไมโครซอฟท์ปล่อย AI ชื่อ Zo ออกมาให้เล่นใน facebook ถ้าใครเจอเธอก็อย่าไปสอนอะไรแผลงๆเข้าล่ะ เดี๋ยวเธอจะโดนดึงปลั๊กตาม Tay ไปอีกคน อ่า... เครื่อง
เฟซบุคของ AI ที่ชื่อว่า Zo https://www.facebook.com/zo/


การที่ AI สามารถหาคำตอบได้ แต่ไม่สามารถอธิบายที่มาที่ไปของหลักคิดก็เป็นปัญหาอีกประการสำคัญที่ AI จะทำงานได้จำกัด AI เสมือนมีศักยภาพมากกว่ามนุษย์เพราะมันสามารถเพิ่ม Processor เพิ่มจำนวนหน่วยประสาท แต่ AI มันยังพึ่ง Brute force ในการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อหาคำตอบมาก มนุษย์ ที่มีความเร็วการสื่อสารสัญญาณเพียง 60 BPS มีความสามารถในการ Simplify เป็นสิ่งที่ทำให้การคำนวณที่ซับซ้อนอยู่ในรูปแบบที่เรียบง่ายจนเข้าใจได้ เราถึงสามารถสื่อสารกันได้ มุขตลกอย่างคำตอบของจักรวาลคือ 42 ของคอมพิวเตอร์ Deep thought อาจไม่เกินความเป็นจริงไปนัก เมื่อ AI มันสามารถหาคำตอบได้แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นคำตอบเพราะอะไร การทำงานของ AI แม้จะมีศักยภาพสูง แต่เราตรวจสอบความคิดไม่ได้ มันอาจตอบได้ด้วยความแม่นยำถึง 99.99% ว่าคนร้ายในคดีนี้คือนาย วุฒิ แต่มันจะไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมหมอนี่จึงเป็นคนร้าย มันอาจใช้ข้อมูลจาก Social media จำนวนมหาศาลมาประมวลผลร่วมกับสัญญาณ CCTV ทั้งกรุงเทพ รวมไปถึง statement การโอนเงินร้าน 7-11 ที่ผูกมัดตัวด้วยความแม่นยำในทางสถิติคณิตศาสตร์ แต่ถ้ามันซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายออกมาได้ เราก็คงไม่สามารถไว้ใจมันแม้มันจะแม่นยำกว่ามนุษย์มาก ดังนั้น แม้ AI จะวินิจฉัยได้เก่งกว่าแพทย์ สืบสวนได้เก่งกว่าตำรวจ และตัดสินได้แม่นยำกว่าตุลาการ อาชีพต่างๆเหล่านี้ก็จะยังไม่หายไปแต่คนเหล่านี้จะต้องเป็นโค้ชให้ AI (ผู้ใช้ AI) และเป็นผู้รับผิดชอบแปลผล สรุปเชื่อมโยงเป็นภาษาคน เพื่อที่มนุษย์จะสามารถยอมรับได้อยู่นั่นเอง

AI ความฉลาด และอันตรายต่อมนุษย์

ปรากฎการณ์ปัญญาประดิษฐ์ ณ ปัจจุบัน นั้นกลับหัวกลับหางจากการคิดสร้างปัญญาประดิษฐ์แต่ดั้งเดิม แต่เดิมเราคิดจะเขียนโปรแกรม สร้างโลจิคการคิด แต่ปัจจุบัน เราหันมาใช้สิ่งที่เรียกว่า Big Data ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดมหาศาล และสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นสติปัญญา เกิดขึ้นมาจากฐานข้อมูลนี้ ในขณะที่การออกแบบ AI แต่เดิม เราให้ร่างกายกับหุ่นยนต์ ให้เซนเซอร์ เพื่อตรวจจับ เพื่อให้เกิด Interphase ระหว่างปัญญาประดิษฐ์กับโลกที่จับต้องได้ ซึ่งมีข้อจำกัดของการพัฒนาฮาร์ดแวร์ที่จะให้หุ่นยนต์ใช้ การพัฒนาของ AI เช่นกรณีของรถยนต์เทสล่าหรือรถอูเบอร์ ใช้การ Simulate ในโลกจำลอง เช่นแบบเกม GTA ทำให้สามารถพัฒนาตัว AI ได้โดยไม่ต้องรอการลองผิดลองถูกของเซนเซอร์ต่างๆ และสร้างฐานข้อมูลวิธีการคิด การตัดสินใจของ AI ระหว่างที่รอการพัฒนาของ Hardware ถ้าเรามีเป้าหมายให้ การวิเคราะห์สิ่งที่เรียกว่าข้อมูล มันจะมีคำตอบออกมา ยิ่งฐานข้อมูลมีขนาดใหญ่ ยุทธวิธีที่จะเข้าถึงข้อมูลตามสถานการณ์เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายก็จะยิ่งมีความซับซ้อน จำนวนของข้อมูลที่ AI ต้องใช้ กว่าจะมีระดับสิ่งที่เราเห็นเป็นความฉลาดนี้ มีปริมาณมหาศาลเกินกว่าที่มนุษย์จะบรรจุในหัวของเราได้ เราอาจบอกได้ว่า AI ไม่ใช่สิ่งที่ชาญฉลาดขนาดนั้น มันเป็นเหมือนนักเรียนที่มีความพยายามมุมานะ ทำโจทย์จำนวนมาก ไปติว ไปเรียนพิเศษ ใช้เวลาในการศึกษามากกว่าเด็กทั่วๆไปนับสิบๆเท่า เพื่อที่จะสอบผ่านเกณฑ์ได้เหมือนเด็กปรกติ แค่ว่า AI มีการเรียนรู้จาก Data มากกว่ามนุษย์ไปในหลักล้านเท่า ดังนั้น จึงไม่มีมนุษย์ที่จะสามารถคิดได้ในระดับที่ AI คิด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่