สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ต่อจาก คห.7 ค่ะ
พ่อเริ่มแสดงอาการเป็นเจ้าของแม่และเรามากขึ้นค่ะ พ่อจะไปดักรอแม่ที่ทำงานบ้าง หน้าปากซอยเข้าบ้านบ้าง เริ่มอยากให้เราลาออกจากงาน แล้วไปอยู่บ้านเพื่ออยู่ในความปกครองของพ่อ พ่อบอกจะชดเชยทุกอย่างที่ผ่านมา แต่นั่นทำให้แม่อึดอัดค่ะ แม่ไม่สบายใจมาก
(ยายยิ่งไม่สบายใจหนักเลย)
แม่ลูกปรึกษากันหลายวัน จนตัดสินใจแล้วว่า เราควรเลิกติดต่อกับพ่อ ต่างคนต่างใช้ชีวิตเช่นเดิมเหมือนที่ผ่านมาหลายปี
เราเข้าใจแม่ค่ะ เราเลือกตามที่แม่สบายใจ และคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพ่อด้วย เพราะพ่อเองก็เริ่มเครียด เหมือนกับว่าลืมสถานะไปแล้ว
ว่าได้หย่าร้างกันไปแล้ว
เวลาประมาณ 2 เดือน ที่เราได้เจอพ่ออีกครั้ง เรามีความสุขนะคะ แต่ก็จำเป็นต้องเลือกที่จะห่างกันอีกครั้ง แต่ตอนนั้นเราเข้าใจอะไรมากขึ้น เข้าใจปัญหาของผู้ใหญ่ ทำไมแม่ต้องถึงขั้นฟ้องหย่า เข้าใจทั้งาองฝ่ายค่ะ
แต่ชีวิตที่ผ่านมาความผูกพันธ์ ระหว่างพ่อกับเรามันหยุดเมื่อ 20 ปีที่แล้ว การที่ไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันมานาน ไม่ได้เลี้ยงดูกัน ไม่รับรู้นิสัยใจคอกัน คุยกันไม่เข้าใจ ก็อยู่ด้วยกันค่อนข้างลำบากค่ะ ถึงแม้ว่าจะเป็นสายเลือดเดียวกัน
สงสารพ่อนะคะที่ขาดการติดต่อกันไป ตัวเราเองก็ยังไม่มีได้ตอบแทนบุญคุณผู้ให้กำเนิด
ความรัก บางทีก็ไม่อาจจะครอบครองกันได้
การที่ต่างคนต่างใช้ชีวิต อาจจะทำให้เราทุกฝ่ายมีความสุขกว่าการได้พบเจอกันก็ได้
9 ปีที่ผ่านมาเรายังคิดถึงพ่อเช่นเดิม ลองโทรไปเบอร์เดิมก็ปิดบริการ อยากทราบข่าวว่าสบายดีไหม
เราอาจจะตั้งชื่อกระทู้ผิดไป แต่จริงๆ แล้วเราอยากจะทราบว่าจะมีใครบ้าง ที่จดจำเรื่องราวในวันเด็กขนาดนั้นได้บ้าง ซึ่งส่วนตัวเองคิดว่าสิ่งที่เราจำฝังใจเรื่องที่เล่ามานั้น เกิดจากการที่เราเจอเรื่องราวสะเทือนจิตใจ ส่วนเรื่องอื่นจำไม่ได้เลย
เราเคยเล่าให้หลายคนฟังนะคะ เล่าแบบขำๆ "อย่างเรื่องพ่อพานั่งเข่งขยะ" และแทบจะไม่มีใครเชื่อ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ บางช่วงเราอาจจะเล่า งง สักหน่อยนะ
เราก็พิมพ์ไว้เผื่อวันข้างหน้าจะให้ลูกตัวเองมาลองอ่านบ้าง ^^ นี่แหละชีวิตของแม่ 555
พ่อเริ่มแสดงอาการเป็นเจ้าของแม่และเรามากขึ้นค่ะ พ่อจะไปดักรอแม่ที่ทำงานบ้าง หน้าปากซอยเข้าบ้านบ้าง เริ่มอยากให้เราลาออกจากงาน แล้วไปอยู่บ้านเพื่ออยู่ในความปกครองของพ่อ พ่อบอกจะชดเชยทุกอย่างที่ผ่านมา แต่นั่นทำให้แม่อึดอัดค่ะ แม่ไม่สบายใจมาก
(ยายยิ่งไม่สบายใจหนักเลย)
แม่ลูกปรึกษากันหลายวัน จนตัดสินใจแล้วว่า เราควรเลิกติดต่อกับพ่อ ต่างคนต่างใช้ชีวิตเช่นเดิมเหมือนที่ผ่านมาหลายปี
เราเข้าใจแม่ค่ะ เราเลือกตามที่แม่สบายใจ และคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพ่อด้วย เพราะพ่อเองก็เริ่มเครียด เหมือนกับว่าลืมสถานะไปแล้ว
ว่าได้หย่าร้างกันไปแล้ว
เวลาประมาณ 2 เดือน ที่เราได้เจอพ่ออีกครั้ง เรามีความสุขนะคะ แต่ก็จำเป็นต้องเลือกที่จะห่างกันอีกครั้ง แต่ตอนนั้นเราเข้าใจอะไรมากขึ้น เข้าใจปัญหาของผู้ใหญ่ ทำไมแม่ต้องถึงขั้นฟ้องหย่า เข้าใจทั้งาองฝ่ายค่ะ
แต่ชีวิตที่ผ่านมาความผูกพันธ์ ระหว่างพ่อกับเรามันหยุดเมื่อ 20 ปีที่แล้ว การที่ไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันมานาน ไม่ได้เลี้ยงดูกัน ไม่รับรู้นิสัยใจคอกัน คุยกันไม่เข้าใจ ก็อยู่ด้วยกันค่อนข้างลำบากค่ะ ถึงแม้ว่าจะเป็นสายเลือดเดียวกัน
สงสารพ่อนะคะที่ขาดการติดต่อกันไป ตัวเราเองก็ยังไม่มีได้ตอบแทนบุญคุณผู้ให้กำเนิด
ความรัก บางทีก็ไม่อาจจะครอบครองกันได้
การที่ต่างคนต่างใช้ชีวิต อาจจะทำให้เราทุกฝ่ายมีความสุขกว่าการได้พบเจอกันก็ได้
9 ปีที่ผ่านมาเรายังคิดถึงพ่อเช่นเดิม ลองโทรไปเบอร์เดิมก็ปิดบริการ อยากทราบข่าวว่าสบายดีไหม
เราอาจจะตั้งชื่อกระทู้ผิดไป แต่จริงๆ แล้วเราอยากจะทราบว่าจะมีใครบ้าง ที่จดจำเรื่องราวในวันเด็กขนาดนั้นได้บ้าง ซึ่งส่วนตัวเองคิดว่าสิ่งที่เราจำฝังใจเรื่องที่เล่ามานั้น เกิดจากการที่เราเจอเรื่องราวสะเทือนจิตใจ ส่วนเรื่องอื่นจำไม่ได้เลย
เราเคยเล่าให้หลายคนฟังนะคะ เล่าแบบขำๆ "อย่างเรื่องพ่อพานั่งเข่งขยะ" และแทบจะไม่มีใครเชื่อ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ บางช่วงเราอาจจะเล่า งง สักหน่อยนะ
เราก็พิมพ์ไว้เผื่อวันข้างหน้าจะให้ลูกตัวเองมาลองอ่านบ้าง ^^ นี่แหละชีวิตของแม่ 555
ความคิดเห็นที่ 6
ต่อจาก คห.5 ค่ะ
เราขับรถกันไม่กี่นาที ก็ไปถึงหมูบ้านนั้น เลี้ยวขวาเข้าไปเจอบ้านหลังแรก เราลงไปถามว่าคนชื่อ ....... นามสกุล ....... มีไหม
ได้คำตอบมาว่า " มี ขับรถตรงไปเลยนะ บ้านหลังสุดท้าย "
ทุกคนในรถตื่นเต้นกันมาก หัวใจเราเต้นแรงมันดังก้องในอก ความคิดในหัวตอนนั้นมันเร็วมาก #จะเจอพ่อไหม #เจอแล้วจะเป็นยังไง #พ่อจะจำลูกสาวได้ไหม ความคิดมันวิ่งวุ่นในหัวไปหมด
รถมาจอดที่บ้านหลังสุดท้าย เราลงจากรถไปยืนหน้าบ้านทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าเรียกชื่อเลย ยืนนิ่งๆ มือไม้สั่น ขาสั่นไปหมด
ครู่นึงมีคุณป้าเดินออกมาจากบ้านข้างๆ กัน
แกก็ตกใจที่มีคนแปลกหน้าหลายคนมายืนหน้าบ้าน
ป้า : มาหาใครจ๊ะ
เรา : มาหาพ่อ ....... ค่ะ หนูลูกสาวค่ะ
ป้าทำหน้าตกใจหนักมาก แล้วถามขึ้น
ป้า : หนู หนูชื่อ ชมพู่ ใช่ไหม
เราก็ตกใจเช่นกัน ที่ป้าเอ่ยชื่อเราถูก
เรา : ใช่ค่ะ หนูชื่อชมพู่
ป้าเข้ากอดเราทันที ทั้งพูดทั้งร้องไห้
ป้า : นี่ป้าเองลูก จำป้าได้ไหม
ตอนนั้นเรากอดตอบป้า บอกป้าว่า "หนูคุ้นๆ ค่ะ แต่ยังจำไม่ค่อยได้"
แล้วเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้านอีกหลัง เป็นชายที่มีใบหน้าที่คุ้นตา ยืนยิ้มให้เราอยู่ ป้าบอกนี่ไงพ่อ
พ่อ คือพ่อจริงๆ เราเดินไปหาพ่อ แล้วร่างกายมันก็เข้าหาพ่ออัตโนมัติ ยกมือขึ้นไหว้ซบไปที่ไหล่ของพ่อ ไม่สนแล้วว่าพ่อจะอยากเจอเรารึเปล่า น้ำตามันไหลออกมาอาบแก้มเลย ร้องไห้โฮ แบบที่ไม่เคยร้องขนาดนี้มานานมาก ร้องเหมือนตอนที่เราต้องจากกันเมื่อ 20 ปีก่อน พ่อกอดเราและน้ำตาไหลเหมือนกัน นานแค่ไหนไม่รู้ที่เรากอดกันและร้องไห้กันอยู่อย่างนั้น ได้ยินเสียงป้าร้องไห้บอก "ดีใจมาก"
พี่ๆ ช่างภาพที่มีแต่ผู้ชายเราเห็นบางคนก็ปาดน้ำตา
สารภาพเลยว่าตอนนี้ เราพิมพ์ไปน้ำตาก็ไหลไปด้วย คือร้องไห้เลยล่ะ คิดถึงภาพวันนั้นมันสุดจริงๆ
เราขับรถกันไม่กี่นาที ก็ไปถึงหมูบ้านนั้น เลี้ยวขวาเข้าไปเจอบ้านหลังแรก เราลงไปถามว่าคนชื่อ ....... นามสกุล ....... มีไหม
ได้คำตอบมาว่า " มี ขับรถตรงไปเลยนะ บ้านหลังสุดท้าย "
ทุกคนในรถตื่นเต้นกันมาก หัวใจเราเต้นแรงมันดังก้องในอก ความคิดในหัวตอนนั้นมันเร็วมาก #จะเจอพ่อไหม #เจอแล้วจะเป็นยังไง #พ่อจะจำลูกสาวได้ไหม ความคิดมันวิ่งวุ่นในหัวไปหมด
รถมาจอดที่บ้านหลังสุดท้าย เราลงจากรถไปยืนหน้าบ้านทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าเรียกชื่อเลย ยืนนิ่งๆ มือไม้สั่น ขาสั่นไปหมด
ครู่นึงมีคุณป้าเดินออกมาจากบ้านข้างๆ กัน
แกก็ตกใจที่มีคนแปลกหน้าหลายคนมายืนหน้าบ้าน
ป้า : มาหาใครจ๊ะ
เรา : มาหาพ่อ ....... ค่ะ หนูลูกสาวค่ะ
ป้าทำหน้าตกใจหนักมาก แล้วถามขึ้น
ป้า : หนู หนูชื่อ ชมพู่ ใช่ไหม
เราก็ตกใจเช่นกัน ที่ป้าเอ่ยชื่อเราถูก
เรา : ใช่ค่ะ หนูชื่อชมพู่
ป้าเข้ากอดเราทันที ทั้งพูดทั้งร้องไห้
ป้า : นี่ป้าเองลูก จำป้าได้ไหม
ตอนนั้นเรากอดตอบป้า บอกป้าว่า "หนูคุ้นๆ ค่ะ แต่ยังจำไม่ค่อยได้"
แล้วเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้านอีกหลัง เป็นชายที่มีใบหน้าที่คุ้นตา ยืนยิ้มให้เราอยู่ ป้าบอกนี่ไงพ่อ
พ่อ คือพ่อจริงๆ เราเดินไปหาพ่อ แล้วร่างกายมันก็เข้าหาพ่ออัตโนมัติ ยกมือขึ้นไหว้ซบไปที่ไหล่ของพ่อ ไม่สนแล้วว่าพ่อจะอยากเจอเรารึเปล่า น้ำตามันไหลออกมาอาบแก้มเลย ร้องไห้โฮ แบบที่ไม่เคยร้องขนาดนี้มานานมาก ร้องเหมือนตอนที่เราต้องจากกันเมื่อ 20 ปีก่อน พ่อกอดเราและน้ำตาไหลเหมือนกัน นานแค่ไหนไม่รู้ที่เรากอดกันและร้องไห้กันอยู่อย่างนั้น ได้ยินเสียงป้าร้องไห้บอก "ดีใจมาก"
พี่ๆ ช่างภาพที่มีแต่ผู้ชายเราเห็นบางคนก็ปาดน้ำตา
สารภาพเลยว่าตอนนี้ เราพิมพ์ไปน้ำตาก็ไหลไปด้วย คือร้องไห้เลยล่ะ คิดถึงภาพวันนั้นมันสุดจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
คุณมีความทรงจำฝังใจ ในวัยเด็กไหม ?
ตอนนี้เราอายุ 33 แล้วค่ะ ขอเล่าเท่าที่พอจะจำได้ ย้อนไปตอนนั้นเราน่าจะอายุประมาณ 4-5 ขวบ อยู่อนุบาล 1 โรงเรียนในกรุงเทพฯ เราอยู่บ้านเช่ากับแม่และยาย แม่ไปทำงาน ส่วนพ่อจะไม่ค่อยกลับบ้าน
เราไปโรงเรียนโดยการนั่งรถตู้รับ-ส่งนักเรียน บ่อยครั้งที่พ่อจะไปหาเราที่โรงเรียน เอาขนมไปให้ นั่งเล่นนั่งคุยกับเรา สักพักก็ขอตัวกลับ ตอนนั้นเราไม่คิดว่าผิดปกติอะไร
หลายครั้งที่พ่อไปขอรับเรากลับบ้านก่อนเวลาเลิกเรียน คุณครูก็อนุญาติให้กลับได้ พ่อจะพาเราไปดูสัตว์ (สวนสัตว์เขาดิน) และไปนั่งดูน้ำดูเรือ (แม่น้ำเจ้าพระยา) เรานั่งกินขนมถุงใหญ่อย่างมีความสุข นั่งข้างพ่อที่นั่งเงียบๆ
และมีสีหน้าเรียบเฉย มีแสงพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินกระทบกับผิวน้ำ ฟ้าเริ่มมืดพ่อกับเราก็เดินจูงมือกันกลับห้องเช่าของพ่อ ซึ่งไม่ใช่ห้องเช่าที่แม่กับยายอยู่ กี่วันจำไม่ได้ที่เราไม่ได้ไปโรงเรียน แต่อยู่กับพ่อแล้วสนุกจัง
แล้วพ่อก็พาเราไปส่งหาแม่ และจากนั้นเราจะต้องย้ายโรงเรียนอนุบาล
จำได้ว่าเราย้ายโรงเรียนอนุบาลประมาณ 2-3 ครั้ง แต่ไม่ทราบว่าเพราะอะไร เราร้องไห้ทุกครั้งที่ต้องย้าย เพราะเราจะไม่ได้เจอเพื่อนๆ ต้องปรับตัวใหม่ โดนเพื่อนใหม่แกล้ง แต่ก็ปรับตัวและผ่านไปได้ ตามประสาเด็ก
ครั้งสุดท้ายที่ย้ายโรงเรียน คือย้ายไปเรียนแถวเตาปูน เปลี่ยนจากนั่งรถรับ-ส่งของโรงเรียน เป็นยายไปรับ-ส่งเอง โดยการนั่งรถเมล์ เราเหนื่อยกับการเดินทางไปเรียน
แม่และยายจะกำชับเราทุกเช้าว่า "ถ้าพ่อมาหาที่โรงเรียน ไม่ต้องออกมาเจอนะ หนูวิ่งหนีเลยนะ หรือให้ไปบอกคุณครู"
เราก็ตอบรับทุกครั้งว่า "จ้า"
แต่ที่เราจำได้คือ วันนึงพ่อมาหาที่โรงเรียนอีกตอนหลังจากทานข้าวกลางวัน เราเห็นพ่อแล้วดีใจมาก วิ่งหน้าตั้งไปกอดพ่อ แล้วพ่อก็คุยอะไรกับคุณครูสักพัก เราก็ไปกลับบ้านกับพ่อก่อนเวลาเลิกเรียนเช่นเดิม
คราวนี้พ่อหน้าเศร้ากว่าเดิมนะ แต่ก็ตามใจเราทุกอย่างเหมือนเคย เราสนุกและมีความสุขจัง จนลืมสิ่งที่แม่และยายกำชับไว้
และก็ช่วงระหว่างนั้นมาจำได้ตรงที่เราไม่ได้ไปเรียนอีก และพ่อพาไปซื้อรถเข็นสองล้อ ที่เค้าใช้เข็นในตลาด ซื้อเข่งใหญ่มา 2 ใบ (เข่งไม้ไผ่สาน) เข่งใบแรกพ่อเอากล่องกระดาษมาวางให้เต็ม เอาอีกเข่งวางข้างบน เอากล่องผงซักฟองใหญ่ๆ มาวางแล้วให้เรานั่งในนั้น เรานั่งกินขนมกินน้ำในนั้น จากนั้นพ่อก็เข็นรถพาเราเดินไปเรื่อยๆ ไปไหนบ้างไม่รู้ จำได้แค่ว่าจะผ่านมาป้ายรถเมล์ที่มีม้านั่งรอรถ ซึ่งอยู่หน้าปากซอยห้องเช่าที่เราอยู่กับแม่และยาย แล้วก็เข็นกลับเฉยๆ (ซึ่งมาเข้าใจภายหลังว่า พ่อทำให้เหมือนพาลูกสาวเดินเก็บขยะขาย ขอซื้อขวด ถุงพลาสติก ฯลฯ จากลุงแก่คนนึ่ง แล้วเอามาวางไว้ในเข่งตัวเอง)
ทำแบบนี้กี่วันไม่รู้นะ แต่มีอยู่วันนึงพ่อก็เข็นรถที่มีเรานั่งอยู่ ผ่านไปป้ายรถเมล์นั้นอีก เราเห็นยายตั้งแต่ไกลๆ เราตะโกนเรียก 'ยาย ยยยยยยย'
ดีใจจังวันนี้เจอยาย คิดถึงจัง
ยายเห็นเรารีบเดินมาหา พร้อมกับร้องไห้โฮ มือถือถุงใบใหญ่ที่มีขนมเยอะแยะ
ยายหยิบถุงปีโป้ออกมาก แล้วพูดว่า
" นี่ไงขนมที่หนูชอบ ยายซื้อไว้ให้เยอะเลย กลับบ้านกับยายนะ " ทั้งพูดทั้งร้องโฮ เราไม่เข้าใจว่ายายเป็นอะไร แต่ดีใจที่เจอยาย มีขนมที่ชอบเยอะด้วย เราก้าวขาออกจากเข่งขยะ มือเอื้อมไปกอดคอยาย แต่พ่อดึงตัวเรากลับ แล้วพ่อกับยายก็โวยวายกันเราจำคำพูดไม่ได้ ยายถอดรองเท้าแตะสีน้ำเงิน แล้วหยิบขึ้นมาจะตีพ่อ เราตกใจก็ร้องไห้ ได้ยินพ่อพูดว่า " ผมมีปัญญาซื้อให้ลูกกินเอง " แล้วรีบเข็นรถขยะพาเรากลับทันที คนที่นั่งรอรถป้ายรถเมล์ ก็ตกใจกันแต่ไม่มีใครยุ่ง แล้วก็มีคนมาพยุงตัวยายไปนั่งที่ม้านั่ง
เดี๋ยวเรามาเล่าใหม่นะคะ ขอทำธุระสักครู่
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ เราอยากเขียนเล่าไว้เผื่อกลับมาอ่านชีวิตตัวเอง