คุณหนูปอรินทร์ขอทักทาย
สวัสดีค่ะชาวพันทิปทุกท่าน หลังจากรถผ้าป่าคว่ำกับการทายผลบอลโลกมาหลายนัดจนแทบจะได้รางวัลนกขั้นเทพอยู่เนืองๆ วันนี้เลยถือโอกาสมารีวิวร้านอาหารอร่อยๆ บรรยากาศดีๆ ย่านShopping ใจกลางเมืองกันค่ะ ถึงแม้จะเป็นรีวิวครั้งที่สองแล้ว แต่ความตื่นเต้นก็ไม่ลดน้อยลงเลยค่ะ
คุณหนูปอรินทร์ชวนคุย
สำหรับร้านอาหารที่คุณหนูปอรินทร์จะมารีวิวในครั้งนี้ คือห้องอาหาร AMAYA Food Gallery ซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 4 ของโรงแรม Amari Water Gate Bangkok อยู่ตรงข้ามกับห้างแพลทินั่ม ย่านประตูน้ำนั่นเองค่ะ
โดยทางโรงแรม Amari Water Gate Bangkok เนรมิตชั้น 4 ทั้งชั้นให้เป็น Street Food ทั้งจาก ไทย ญี่ปุ่น อินเดีย และอิตาลี รวมทั้งขนสารพักอาหารทะเลสดๆ อีกทั้งยังมีเมนูของหวานที่หลากหลายมาไว้ ณ ห้องอาหาร AMAYA Food Gallery แห่งนี้ค่ะ ซึ่งทางห้องอาหารเปิดได้เพียงปีกว่าๆ เท่านั้นเองค่ะ โดยเปิดให้บริการทุกวัน แต่จะแบ่งเป็นช่วงเวลาเป็น
บุฟเฟต์มื้อกลางวัน
- วันจันทร์ - เสาร์ จะเป็นช่วงเวลาตั้งแต่ 12.30 - 15.00 น.
- วันอาทิตย์ (Sunday Brunch) ช่วงเวลาตั้งแต่ 12.00 - 15.30 น.
บุฟเฟต์มื้อเย็น
- วันจันทร์ - พุธ และเสาร์ จะเป็นช่วงเวลาตั้งแต่ 18.00- 22.30 น.
- วันศุกร์ (Friday Seafood Night) จะเป็นช่วงเวลาตั้งแต่ 18.00- 22.30 น.
- วันพฤหัสบดี (Thai Night) จะเป็นมื้อค่ำ แบบ A La Carte จะเป็นช่วงเวลาตั้งแต่ 18.00- 22.30 น.
ซึ่ง Friday Seafood Night และ Sunday Bruch มีความพิเศษตรงที่ เราจะได้ล็อบสเตอร์คนละครึ่งตัว โดยเราสามารถเลือกที่จะให้เชฟปรุงแบบใดก็ได้ 1 แบบ ไม่ว่าจะนึ่ง ย่าง หรืออบชีส (แอบกระซิบนิดนึงตรงที่ Sunday Bruch จะมีตับห่านด้วยค่ะ)
ซึ่งวันที่คุณหนูปอรินทร์และตากล้องมารีวิวเป็นเย็นวันศุกร์(Friday Seafood Night) ค่ะ บรรยากาศโดยรอบ ตอนแรกจากที่ลองเสิร์ชดูจากหลายๆ ที่ ถ่ายภาพมา คุณหนูฯ นึกว่าบรรยากาศน่าจะดูอึกอัดนิดๆ แต่พอมาเจอสถานที่จริงกลับตรงข้ามกับที่คิดไว้เลยค่ะ เพดานยกสูงดูโปร่งโล่ง สบายตา ไม่อึดอัดอย่างที่คิดแม้แต่น้อย ที่นั่งในแต่ละโซนก็ตกแต่งแตกต่างกันออกไป สามารถเลือกนั่งโซนไหนก็ได้ที่เราชอบค่ะ
โซนอาหารก็แบ่งเป็นสัดส่วน แยกกันค่อนข้างห่างเต็มพื้นที่ของชั้น 4 เลยค่ะ
โซนอาหาร Cool seafood และอาหารญี่ปุ่น
อาหารญี่ปุ่นค่ะ
แอบมีมุมชีส อยู่ตรงนี้ด้วย
โซนอาหาร Grill
ไฟเริ่มมา...
ไฟเริ่มไหม้!!!
ไฟไหม้แล้วววว!!!
โซนอาหารอินเดียซึ่งโซนของอาหารอินเดียนั้นได้เชฟส่งตรงมาจากอินเดียเลยค่ะ
แถมเตาอบก็นำเข้ามาจากอินเดียเช่นกันค่ะ
โซนอาหารไทย
มุมส้มตำก็มีนะคะ
โซนอาหารอิตาเลี่ยน
ชีสส!!!!!!!!
พิซซ่า!!!!
ยืดดดดดดดดดด!!!
สารพัด Cold Cut
โซนผักสลัด
โซนของหวาน
โซนไวน์
โซนบาร์ เครื่องดื่ม
คุณหนูปอรินทร์ชวนชิม & รีวิว
หลังจากเดินดูอาหารในแต่ละโซนแล้ว พยาธิตัวน้อยๆ ก็เริ่มส่งเสียงประท้วงค่ะ คุณหนูฯ จึงมาวางของ ณ โต๊ะที่จองเอาไว้
พร้อมค่ะ!!!!
เมื่อนั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว พนักงานคนสวยของห้องอาหารก็เแจกบัตรสำหรับเลือกเมนูสำหรับล็อบสเตอร์ค่ะ
และในส่วนของพิธีกรรมตัวแตกนั้น...ให้ภาพเล่าเรื่องกันดีกว่าเนอะ
คุณหนูฯ เลือกล็อบสเตอร์แบบอบชีส ซอส Holland (ที่เลือกซอสนี้เพราะเพิ่มดูรายการ Master Chef Thailand มากำลังอินค่ะ) เป็นครั้งแรกที่คุณหนูฯ ได้ชิมซอส Holland ค่ะ รสชาติซอสเหมือนที่หม่อมป้อมบอกในรายการเลยค่ะ เนื้อเนียน รสชาตินุ่มลิ้น อบเปรี้ยวนิดๆ ถือเป็นรสชาติแปลกใหม่สำหรับคุณหนูฯ เลยค่ะ
ส่วนตากล้องเลือกล็อบสเตอร์แบบย่าง ซอส Spicy Chili (ก็น้ำจิ้มซีฟู๊ดเนี่ยแหละค่ะ ^^!) คุณหนูฯ แอบแย่งตากล้องชิมน้ำจิ้มซีฟู๊ดนิดนึง รสชาติใช้ได้เลยค่ะ แต่สำหรับชะนีสายแซ่บอย่างคุณหนูฯ ก็ยังแอบคิดว่ายังไม่เผ็ดมาก อาจจะเป็นเพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติและชาวจีนหรือเปล่า เลยทำน้ำจิ้มซีฟู๊ดให้มีรสชาติที่ไม่เผ็ดมาก
จากนั้นก็เป็นเนื้อส่วน Tenderloin แบบ Medium-Rare และเนื้อแกะย่างค่ะ จานนี้ตากล้องซัดเรียบค่ะ เพราะคุณหนูฯ ไม่กินเนื้อ (ใจจริงแอบอยากแย่งเนื้อแกะมาชิมเหมือนกันนะคะ แต่คุณหนูฯ แยกไม่ออกเนี่ยสิ อดเลย
) จากที่เค้นคอถาม เอ๊ย! สัมภาษณ์ตากล้อง ฮีบอกว่า เนื้ออร่อย นุ่มมาก ไม่เหม็นกลิ่นสาปเลย เนื้อแกะก็เช่นกันค่ะ เนื้อนุ่มมาก แถมกลิ่นสาปที่เป็นเอกลักษณ์ของเนื้อแกะนั้น แทบไม่มีเลยค่ะ (ตอนดูตากล้องชิม คุณหนูฯ นี่น้ำลายสอเลยค่ะ)
ในส่วนของโซนอาหารไทยส่ง ฉู่ฉี่กุ้งแม่น้ำ เป็นเมนูแรกค่ะ เมนูนี้คุณหนูจัดการเรียบค่ะ (เป็นการแก้แค้นตากล้องค่ะ ฮ่าๆๆๆ) จานนี้คืออยากได้ข้าวสวยร้อนๆ สักจานค่ะ เครื่องแกงหอมมาก อร่อยมาก รสชาติออกเค็มนิดๆ ส่วนตัวกุ้ง เนื้อสด ฉ่ำหวานมาก จิ้มลงไปทีเนื้อเด้งสู้ส้อมมาก ฟินสุดๆ ค่ะ
จะกินแล้วนะ
กุ้งสดมาก เนื้อเด้งมากกกก
ตามมาด้วยผัดไท ที่ถือเป็น Signatuer ของทางห้องอาหารเลยค่ะ เส้นผัดไทเหนียวนุ่ม ถึงจะเอาทิ้งไว้ แล้วกลับมากินใหม่เส้นผัดไทก็ไม่แข็งกระด้างค่ะ รสชาติกลมกล่อม เปรี้ยวอมหวาน เค็มนิดๆ กินกับกุ้งแม่น้ำที่ให้มาด้วย เข้ากันสุดๆ ค่ะ
ผัดไทเส้นย๊าว ยาว...อร่อยด้วย
โซนอาหารอินเดีย ก็ไม่น้อยหน้าค่ะ ส่ง Papadum พร้อมเครื่องจิ้มของอินเดียค่ะ ทั้งMint Sauce, Mango Chutney และ Mango Pickles ตัวMint Sauce ออกแน่วซ่าๆ อมเปรี้ยวนิดๆ ส่วน Mango Chutney รสชาติคล้ายๆ มะม่วงกวนของบ้านเราเลยค่ะ อันนี้ออกหวานๆ ค่ะ ส่วน Mango Pickles อันนี้รสชาติแปลกสุดที่กินเลยค่ะ ออกมันๆ เค็มๆ แบบโดดเด่นมากค่ะ อันนี้ยอมจริงๆ
จิ้มสักหน่อย
ตามมาด้วยแกงแกะ พร้อมแป้งนานมาให้ได้ชิมกันค่ะ บอกตรงๆ ว่าเมนูนี้ คุณหนูฯ กับตากล้องติดใจมากค่ะ เนื้อแกะเปื่อยนุ่ม แทบละลายในปากเลยค่ะ กลิ่นสาปแกะที่เป็นเอกลักษณ์นั้นแทบไม่มีกลิ่นเลย น้ำซุปรสชาติเข้มข้น ซึมเข้าเนื้อ เครื่องเทศหอมมาก ไม่ฉุดจนเกินไป กินคู่กับแป้งนาน คือดีงามมากค่ะ
แป้งนานมีสองแบบค่ะ ทั้งแบบออริจินัลและแบบเนยกระเทียม (อันหลังคือรสชาติ ดีงามมากกกกกกค่ะ)
+++(ตัวอักษรเกินแล้ว ตามต่อที่คอมเม้นนะคะ)+++
[SR] [SR] คุณหนูปอรินทร์ชวนตัวแตก ณ ห้องอาหาร AMAYA Food Gallery @ โรงแรม Amari Water Gate Bangkok
คุณหนูปอรินทร์ขอทักทาย
สวัสดีค่ะชาวพันทิปทุกท่าน หลังจากรถผ้าป่าคว่ำกับการทายผลบอลโลกมาหลายนัดจนแทบจะได้รางวัลนกขั้นเทพอยู่เนืองๆ วันนี้เลยถือโอกาสมารีวิวร้านอาหารอร่อยๆ บรรยากาศดีๆ ย่านShopping ใจกลางเมืองกันค่ะ ถึงแม้จะเป็นรีวิวครั้งที่สองแล้ว แต่ความตื่นเต้นก็ไม่ลดน้อยลงเลยค่ะ
คุณหนูปอรินทร์ชวนคุย
สำหรับร้านอาหารที่คุณหนูปอรินทร์จะมารีวิวในครั้งนี้ คือห้องอาหาร AMAYA Food Gallery ซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 4 ของโรงแรม Amari Water Gate Bangkok อยู่ตรงข้ามกับห้างแพลทินั่ม ย่านประตูน้ำนั่นเองค่ะ
โดยทางโรงแรม Amari Water Gate Bangkok เนรมิตชั้น 4 ทั้งชั้นให้เป็น Street Food ทั้งจาก ไทย ญี่ปุ่น อินเดีย และอิตาลี รวมทั้งขนสารพักอาหารทะเลสดๆ อีกทั้งยังมีเมนูของหวานที่หลากหลายมาไว้ ณ ห้องอาหาร AMAYA Food Gallery แห่งนี้ค่ะ ซึ่งทางห้องอาหารเปิดได้เพียงปีกว่าๆ เท่านั้นเองค่ะ โดยเปิดให้บริการทุกวัน แต่จะแบ่งเป็นช่วงเวลาเป็น
บุฟเฟต์มื้อกลางวัน
- วันจันทร์ - เสาร์ จะเป็นช่วงเวลาตั้งแต่ 12.30 - 15.00 น.
- วันอาทิตย์ (Sunday Brunch) ช่วงเวลาตั้งแต่ 12.00 - 15.30 น.
บุฟเฟต์มื้อเย็น
- วันจันทร์ - พุธ และเสาร์ จะเป็นช่วงเวลาตั้งแต่ 18.00- 22.30 น.
- วันศุกร์ (Friday Seafood Night) จะเป็นช่วงเวลาตั้งแต่ 18.00- 22.30 น.
- วันพฤหัสบดี (Thai Night) จะเป็นมื้อค่ำ แบบ A La Carte จะเป็นช่วงเวลาตั้งแต่ 18.00- 22.30 น.
ซึ่ง Friday Seafood Night และ Sunday Bruch มีความพิเศษตรงที่ เราจะได้ล็อบสเตอร์คนละครึ่งตัว โดยเราสามารถเลือกที่จะให้เชฟปรุงแบบใดก็ได้ 1 แบบ ไม่ว่าจะนึ่ง ย่าง หรืออบชีส (แอบกระซิบนิดนึงตรงที่ Sunday Bruch จะมีตับห่านด้วยค่ะ)
ซึ่งวันที่คุณหนูปอรินทร์และตากล้องมารีวิวเป็นเย็นวันศุกร์(Friday Seafood Night) ค่ะ บรรยากาศโดยรอบ ตอนแรกจากที่ลองเสิร์ชดูจากหลายๆ ที่ ถ่ายภาพมา คุณหนูฯ นึกว่าบรรยากาศน่าจะดูอึกอัดนิดๆ แต่พอมาเจอสถานที่จริงกลับตรงข้ามกับที่คิดไว้เลยค่ะ เพดานยกสูงดูโปร่งโล่ง สบายตา ไม่อึดอัดอย่างที่คิดแม้แต่น้อย ที่นั่งในแต่ละโซนก็ตกแต่งแตกต่างกันออกไป สามารถเลือกนั่งโซนไหนก็ได้ที่เราชอบค่ะ
โซนอาหารก็แบ่งเป็นสัดส่วน แยกกันค่อนข้างห่างเต็มพื้นที่ของชั้น 4 เลยค่ะ
โซนอาหาร Cool seafood และอาหารญี่ปุ่น
อาหารญี่ปุ่นค่ะ
แอบมีมุมชีส อยู่ตรงนี้ด้วย
โซนอาหาร Grill
ไฟเริ่มมา...
ไฟเริ่มไหม้!!!
ไฟไหม้แล้วววว!!!
โซนอาหารอินเดียซึ่งโซนของอาหารอินเดียนั้นได้เชฟส่งตรงมาจากอินเดียเลยค่ะ
แถมเตาอบก็นำเข้ามาจากอินเดียเช่นกันค่ะ
โซนอาหารไทย
มุมส้มตำก็มีนะคะ
โซนอาหารอิตาเลี่ยน
ชีสส!!!!!!!!
พิซซ่า!!!!
ยืดดดดดดดดดด!!!
สารพัด Cold Cut
โซนผักสลัด
โซนของหวาน
โซนไวน์
โซนบาร์ เครื่องดื่ม
คุณหนูปอรินทร์ชวนชิม & รีวิว
หลังจากเดินดูอาหารในแต่ละโซนแล้ว พยาธิตัวน้อยๆ ก็เริ่มส่งเสียงประท้วงค่ะ คุณหนูฯ จึงมาวางของ ณ โต๊ะที่จองเอาไว้
พร้อมค่ะ!!!!
เมื่อนั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว พนักงานคนสวยของห้องอาหารก็เแจกบัตรสำหรับเลือกเมนูสำหรับล็อบสเตอร์ค่ะ
และในส่วนของพิธีกรรมตัวแตกนั้น...ให้ภาพเล่าเรื่องกันดีกว่าเนอะ
คุณหนูฯ เลือกล็อบสเตอร์แบบอบชีส ซอส Holland (ที่เลือกซอสนี้เพราะเพิ่มดูรายการ Master Chef Thailand มากำลังอินค่ะ) เป็นครั้งแรกที่คุณหนูฯ ได้ชิมซอส Holland ค่ะ รสชาติซอสเหมือนที่หม่อมป้อมบอกในรายการเลยค่ะ เนื้อเนียน รสชาตินุ่มลิ้น อบเปรี้ยวนิดๆ ถือเป็นรสชาติแปลกใหม่สำหรับคุณหนูฯ เลยค่ะ
ส่วนตากล้องเลือกล็อบสเตอร์แบบย่าง ซอส Spicy Chili (ก็น้ำจิ้มซีฟู๊ดเนี่ยแหละค่ะ ^^!) คุณหนูฯ แอบแย่งตากล้องชิมน้ำจิ้มซีฟู๊ดนิดนึง รสชาติใช้ได้เลยค่ะ แต่สำหรับชะนีสายแซ่บอย่างคุณหนูฯ ก็ยังแอบคิดว่ายังไม่เผ็ดมาก อาจจะเป็นเพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติและชาวจีนหรือเปล่า เลยทำน้ำจิ้มซีฟู๊ดให้มีรสชาติที่ไม่เผ็ดมาก
จากนั้นก็เป็นเนื้อส่วน Tenderloin แบบ Medium-Rare และเนื้อแกะย่างค่ะ จานนี้ตากล้องซัดเรียบค่ะ เพราะคุณหนูฯ ไม่กินเนื้อ (ใจจริงแอบอยากแย่งเนื้อแกะมาชิมเหมือนกันนะคะ แต่คุณหนูฯ แยกไม่ออกเนี่ยสิ อดเลย) จากที่เค้นคอถาม เอ๊ย! สัมภาษณ์ตากล้อง ฮีบอกว่า เนื้ออร่อย นุ่มมาก ไม่เหม็นกลิ่นสาปเลย เนื้อแกะก็เช่นกันค่ะ เนื้อนุ่มมาก แถมกลิ่นสาปที่เป็นเอกลักษณ์ของเนื้อแกะนั้น แทบไม่มีเลยค่ะ (ตอนดูตากล้องชิม คุณหนูฯ นี่น้ำลายสอเลยค่ะ)
ในส่วนของโซนอาหารไทยส่ง ฉู่ฉี่กุ้งแม่น้ำ เป็นเมนูแรกค่ะ เมนูนี้คุณหนูจัดการเรียบค่ะ (เป็นการแก้แค้นตากล้องค่ะ ฮ่าๆๆๆ) จานนี้คืออยากได้ข้าวสวยร้อนๆ สักจานค่ะ เครื่องแกงหอมมาก อร่อยมาก รสชาติออกเค็มนิดๆ ส่วนตัวกุ้ง เนื้อสด ฉ่ำหวานมาก จิ้มลงไปทีเนื้อเด้งสู้ส้อมมาก ฟินสุดๆ ค่ะ
จะกินแล้วนะ
กุ้งสดมาก เนื้อเด้งมากกกก
ตามมาด้วยผัดไท ที่ถือเป็น Signatuer ของทางห้องอาหารเลยค่ะ เส้นผัดไทเหนียวนุ่ม ถึงจะเอาทิ้งไว้ แล้วกลับมากินใหม่เส้นผัดไทก็ไม่แข็งกระด้างค่ะ รสชาติกลมกล่อม เปรี้ยวอมหวาน เค็มนิดๆ กินกับกุ้งแม่น้ำที่ให้มาด้วย เข้ากันสุดๆ ค่ะ
ผัดไทเส้นย๊าว ยาว...อร่อยด้วย
โซนอาหารอินเดีย ก็ไม่น้อยหน้าค่ะ ส่ง Papadum พร้อมเครื่องจิ้มของอินเดียค่ะ ทั้งMint Sauce, Mango Chutney และ Mango Pickles ตัวMint Sauce ออกแน่วซ่าๆ อมเปรี้ยวนิดๆ ส่วน Mango Chutney รสชาติคล้ายๆ มะม่วงกวนของบ้านเราเลยค่ะ อันนี้ออกหวานๆ ค่ะ ส่วน Mango Pickles อันนี้รสชาติแปลกสุดที่กินเลยค่ะ ออกมันๆ เค็มๆ แบบโดดเด่นมากค่ะ อันนี้ยอมจริงๆ
จิ้มสักหน่อย
ตามมาด้วยแกงแกะ พร้อมแป้งนานมาให้ได้ชิมกันค่ะ บอกตรงๆ ว่าเมนูนี้ คุณหนูฯ กับตากล้องติดใจมากค่ะ เนื้อแกะเปื่อยนุ่ม แทบละลายในปากเลยค่ะ กลิ่นสาปแกะที่เป็นเอกลักษณ์นั้นแทบไม่มีกลิ่นเลย น้ำซุปรสชาติเข้มข้น ซึมเข้าเนื้อ เครื่องเทศหอมมาก ไม่ฉุดจนเกินไป กินคู่กับแป้งนาน คือดีงามมากค่ะ
แป้งนานมีสองแบบค่ะ ทั้งแบบออริจินัลและแบบเนยกระเทียม (อันหลังคือรสชาติ ดีงามมากกกกกกค่ะ)
+++(ตัวอักษรเกินแล้ว ตามต่อที่คอมเม้นนะคะ)+++
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
ข้อมูลเพิ่มเติม
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น