‘Maldives’ heaven on earth
‘ครั้งนึงในชีวิต ต้องไปให้ได้’
ประโยคคุ้นหู ที่พาเราเดินทางข้ามน้ำ ข้ามทะเลมาไกลกว่า 4 ชม. จนเมื่อได้มาเห็นเองกับตา กลับกลายเป็น 3 วัน 2 คืน ที่น่าประทับใจสุดๆ ครั้งนึงในชีวิตจริงๆค่ะ
หมดไปเท่าไหร่ : 34,500 บาท ต่อคน
บินสายการบินอะไร : Air Asia
มีโปรมั้ย : All Inclusive Plus แบบห้องหลุดจอง
พักที่ไหน: Meeru Island Resort & Spa
Sponsor: NO
เราตั้งงบไว้ไม่เยอะนัก เพราะอยากไปลองดูก่อน ถ้าดี…ครั้งหน้าค่อยว่ากันใหม่ เลยจัดการจองห้องหลุดจองในราคาพิเศษ รวมทุกสิ่งอย่างและตั๋วเครื่องบินไว้ด้วยกันในราคาคนละสามหมื่นนิดๆ … เออ ราคาไหวอยู่
สิ่งที่ควรทำก่อนไปมัลดีฟส์
-นอนเยอะๆ
-กินอาหารที่ชอบเยอะๆ
-ตากแอร์เยอะๆ
เพราะ?
+-+-+-+-+-+-+-+
#เที่ยวตัวแตก
#TripBuffet
เพราะที่นี่ ‘ร้อนมาก’ ร้อนแบบอร๊ายยย ร้อน พอไปหลบในที่ร่ม ก็จะรู้สึกไม่คุ้มอีก แต่ความร้อนนี้ ทำให้ฟ้าโคตรสวย น้ำโคตรรรรรรรใส ใสแบบอื้อหือ นี่สระว่ายน้ำรึเปล่า แค่เดินออกมาด้านหน้าสนามบิน จะเจอท่าเรือ และน้ำตรงนั้นคือดีมาก ออกไปถ่ายรูปได้เลย
ถ้าใครมานอนที่ Meeru Island พออกจากสนามบิน ให้เดินมาที่ Counter เบอร์ 59 เค้าจะเช็คชื่อและเอา Tag ติดกระเป๋าให้ เสร็จแล้วให้เดินไปซื้อซิม dhiraagu ราคา 16 เหรียญ ได้เน็ต 3GB สัญญาณดีมาก เพราะมีเสาสัญญาณอยู่บนเกาะ ไวกว่าเมืองไทยอี๊กกก
รอแป๊ปนึง เค้าจะมาเรียกเราไปขึ้นเรือ Speedboat ใครที่ขึ้นเรือตอนบ่ายแบบอุ้ม จำให้ดี “นั่งฝั่งขวา” นะคะ … ใช่แล้ว อุ้มนั่งฝั่งซ้าย เป็นหนึ่งชม.ที่ทรมานมาก ขาดำไปซีกนึงได้ 555 ดีที่กินยาแก้เมามา เลยหลับ หลับมันแบบแดดเผานี่ละ
เออ สงสัยกันมั้ย ทำไมน้ำมันถึงสีฟ้าได้ขนาดนี้ อธิบายง่ายๆเลยว่า เมื่อก่อนพื้นที่แถวนี้เป็นภูเขาไฟล้วนๆ รอบๆภูเขาไฟ ก็จะมีแนวปะการังมาทับถมไว้ เรียกว่า Atoll (อะทอลล์) เมื่อภูเขาไฟหายไป แนวปะการังนี้ยังอยู่ ทำให้เกิดความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ จนเป็นเอกลักษณ์ของมัลดีฟส์อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้
ถ้าใครอยากเห็น Atoll ชัดๆ ก็นั่งเครื่องบินฝั่งซ้ายมานะคะ ส่วนอุ้มย้ายไม่ทัน นั่งตรงกลางตรงปีก จบไปค่ะ
ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. เราก็มาถึง Meeru Island Resort & Spa ทีมงานจะพาเราไปนั่งรอใน Kakuni Bar พร้อมกับตีกลองต้อนรับ บอกเลยว่าไม่ต้องยกกระเป๋านะคะ เดินตัวเปล่ามาเลย ใครอยากได้รูปตรงนี้ ไม่ต้องรีบถ่ายค่ะ เดี๋ยวได้มาบ่อยๆ 555
พนักงานของทาง Meeru จะอธิบายว่า อะไรที่รวมอยู่ในแพ็ก All Inclusive Plus บ้าง และประโยคที่แสนเศร้าของวันนี้คือ “ห้ามบินโดรนทั้งเกาะ”
บ้านกลางน้ำของที่นี่จะมี 2 โซนนะคะ คือโซน 3 และ โซน 7 ถ้าไม่อยากเดินไกล ก็ขอเค้าอยู่โซน 3 ตั้งแต่จองเลยนะคะ จะใช้เวลาเดินประมาณ 500 เมตร และน้ำไม่ลึกนัก รอบแรกเค้าจะเอารถกอล์ฟไปส่งให้เราชะล่าใจ ส่วนรอบต่อๆไป เดินล้วนๆ 555 เดี๋ยวเราต้องกลับมากินข้าวทุกมื้อที่นี่ด้วยจ้า
รีวิวที่พักสักหน่อย ห้องแบบ Jacuzzi Water Villa เบอร์ 320 สักหน่อย ห้องนี้เดินไม่ไกลจากฝั่งเท่าไหร่ เปิดประตูเข้าไป ด้านขวาจะเจอเตียงแบบ King Size มีโซฟา ทีวี และเมื่อเราเปิดผ้าม่านออกมา จะเจอกับระเบียงที่มีบันได ลงไปเล่นน้ำหน้าบ้านได้เลย ฟิน!!!
ด้านในจะมี Walk-in Closet ขนาดใหญ่ เปิดประตูเข้าห้องน้ำไป จะเป็นห้องน้ำแบบ Open-air เดินไปถึง Jacuzzi อันใหญ่ นอนสบายสองคนได้เลยด้านหลัง
โดยรวมที่พักดีมากค่ะ
วันแรกกว่าจะเรียบร้อยทุกสิ่งอย่าง ก็ปาไปประมาณบ่าย 2 แถวๆห้องพักจะมีบาร์ และสระว่ายน้ำ ถ้าอยากทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ไปสั่งได้ตลอดเวลา [รสชาติ Cocktail ต้องลองด้วยตัวเองนะคะ แต่สำหรับอุ้มคือ … ไม่ไหว กินไวน์ดีกว่า]
ส่วนมินิบาร์ในห้อง จะมีบางอย่างรวมและบางอย่างไม่รวม เช่น เหล้า ช็อคโกแลต ถั่วเนี่ย ไม่รวม อย่าไปกินนะ ส่วนคืนที่สอง เค้าจะเอาแชมเปญขวดเล็กมาให้ อันนี้ฟรี กินได้
นอนแช่ Jacuzzi เพลินๆ หิวเว้ย เพราะเวลาที่นี่ช้ากว่าประเทศไทย 2 ชม. และห้องอาหารจะเปิดตอนทุ่มนึง เท่ากับสามทุ่มที่ประเทศไทย ถ้าใครมาถึงสนามบินแล้วเรือยังไม่ออก กินมาให้อิ่มเลยนะคะ ขอเตือน 555
อาหารที่นี่ก็เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ ที่นั่งจะเป็นที่เดิมตลอดสามวันสองคืน และจะมีพนักงานคนเดิม ดูแลเราตลอดการทานอาหารที่นี่ รสชาติอาหารก็ … … … ลองชิมดู 555 ประกอบไปด้วยแกง เครื่องเทศจัดๆ นี่ขนาดอุ้มชอบกินพวกแกงกะหรี่ ยังต้องยอมแพ้
แต่อย่าท้อใจไปค่ะ ต้องมีสักอย่างที่เรากินได้ อย่างอุ้มก็เลือกผัดหมี่มัลดีฟส์มาทาน ส่วนพี่บีมก็ได้พวกแกงเนื้อกับข้าวสวย
ของหวานก็ทานไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ถ้าไปอีกนะ จะเอามาม่าไปเยอะๆ
ความเก๋ของที่นี่คือ ตอนกลางคืนจะมีไฟสปอตไลต์ส่องไปในน้ำทะเล ทำให้ฝูงปลาดำมาเล่นไฟใต้บ้านเราเต็มไปหมด และยังมีปลากระเบน และปลาฉลาม ที่ทุกคนที่มาที่นี่ ต้องได้เห็นมันมาโชว์ตัว เป็นภาพที่ประทับใจมากๆ
ถ้าเงยหน้ามองบนฟ้า เราก็จะเจอดวงดาวมากมาย อาจจะโชคดีที่วันแรกอากาศดีมากๆ ฟ้าเลยสวยสุดๆ และง่วงมากๆ เพลียแดดเหนียวตัว นอนดีกว่า
ถ้านับกันจริงๆ วันที่สอง จะเป็นวันเดียวที่เราจะอยู่มัลดีฟส์แบบเต็มวัน วันนี้อากาศไม่ดีเหมือนเมื่อวาน เราเลือกที่จะไปทานอาหารเช้ากันตั้งแต่ 7.30 น. พร้อมกับยืม Snorkel จากทางรีสอร์ท (รวมในแพ็กเกจ) เพราะวันนี้เราจะไป Snorkeling กลางทะเลกันค่ะ
Meeru ไม่ใช่เกาะที่มีปะการังรอบบ้านสมบูรณ์นักค่ะ คือสวยมั้ย สวย แต่อาจจะไม่ได้ดั่งใจคนชอบดำน้ำเท่าไหร่นัก เช้านี้เราเลยออกไป Snorkeling กับหมู่มวลชาวไทย นั่งเรือไปไม่ไกลนัก เค้าก็จะปล่อยเราลงทะเล
โดยรวมก็ไม่ค่อยเห็นอะไรนัก 555 ข้างบ้านยังแอบสวยใสกว่าหน่อยๆ ถือว่าว่ายน้ำป๋อมแป๋มเอาบรรยากาศ แต่ถ้าอุ้มเลือกได้ คงใช้เวลาอยู่หน้าบ้านดีกว่า
เราใช้เวลาทั้งบ่ายนี้ในน้ำ โชคดีที่วันนี้ฟ้าครึ้มๆ เลยไม่ร้อนนัก เรา Snorkeling จากหน้าบ้านไปเรื่อยๆ ดูปลาน้อยใหญ่ จากคนที่กลัวปลาแบบอุ้ม นี่คือประสบการณ์ใหม่ที่ดีมากๆ คุณปลานิสัยดี น่ารักและไม่ทำร้ายเรา ความฟินในครั้งนี้ ทำให้อุ้มอยากลงน้ำดูปลามากขึ้นกว่าเดิม จากหน้ามือเป็นหน้ามือเลยค่ะ
นอกจากการดำน้ำตื้นๆ ดูปะการังแล้ว กิจกรรมที่นี่ยังหนาแน่นให้เลือกเต็มไปหมด ทั้งการออกไปดูโลมาตอนพระอาทิตย์ตกดิน (แต่อุ้มไม่เจอปลาโลมา) หรือจะเล่นสนุกเกอร์ เล่นPool ปาเป้า หมากรุก ไดร์ฟกอล์ฟ ตีแบด ตีเทนนิส จนไปถึงการเดินรอบเกาะไปเรื่อยๆ ดูบ้านในรูปแบบอื่นๆบ้าง ก็บันเทิงเริงใจไม่แพ้กัน
ส่วนใหญ่คนไทยจะเลือกนอนบ้านกลางน้ำกันนะคะ แต่ฝรั่งจะเลือกนอนบ้านริมหาด หรือ Beach Front กันเป็นส่วนใหญ่ ทำเลไม่เลวเลยค่ะ แต่จะเดินไกลหน่อย
มาครั้งนี้ มีอะไรสนุกๆกว่าการจับมือถือมาเล่นโซเชียล หรือจับกล้องมาถ่ายเยอะแยะเลย การได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตและจิตใจ ให้มองทุกอย่างรอบตัวบ้าง ก็ดีไม่น้อยเลยนะคะ
วันนี้ฝนตกหนักมาก แต่โชคดีที่ค่ำแล้ว และกิจกรรมทั้งหมดก็ถูกทำไปหมดแล้ว ถ้ามาทานข้าวที่ห้องอาหารแล้วฝนตก สามารถเดินลัดไปที่ Reception และขอยืมร่มเค้าได้ฟรีเลย ตอนค่ำๆ ทางเดินกลับห้อง อาจจะมืดนิดนึงนะคะ แต่ไม่ได้ดูอันตรายอะไร
ปกติแล้วฝนที่นี่ จะตกประมาณ 15 นาที แล้วหยุด แต่คืนนี้อาจจะพิเศษส่งท้ายทริปของเรา ตกยันเช้าเลยจ้า คืนนี้จะมีแชมเปญ พร้อมจดหมายที่บอกว่าพรุ่งนี้เราต้องเอากระเป๋ามาวางหน้าห้องกี่โมง และเชคเอ้าท์กี่โมง เห็นเวลาแล้วนอนดีกว่า
ประมาณแปดโมงจะมีคนมาเคาะห้อง รอรับกระเป๋าเราไปส่งที่เรือค่ะ ใครตื่นเช้าก็อย่าลืมตื่นมาดื่มด่ำกับพระอาทิตย์ยามเช้าในวันสุดท้าย และเราสามารถเดินลงไปส่องปลาหน้าบ้านได้อย่างชิวๆ เพราะน้ำลงไปเยอะพอสมควร
พูดถึงเรื่องอาหาร โดยรวมคิดว่าบางคนอาจจะทานไม่ได้ 555 แต่เค้าก็พยายามเปลี่ยนสไตล์อาหารทุกวันนะคะ เช่นคืนวันศุกร์อาจจะเฉยๆ คืนวันเสาร์มีปูผัดผงกะหรี่อร่อยยยยยย แต่ต้องแย่งกันกินนิดนึง อาหารเช้าจะกินง่ายหน่อยค่ะ Breakfast ปกติ
เรารู้สึกโอเคนะ ที่บ้านเค้าไม่กินหมู แต่อาหารเช้ายังมีเบคอน มีไส้กรอกหมูให้ทาน แต่ถ้าใครทานเนื้ออาจจะง่ายขึ้น โดยเฉพาะเนื้อแกะอร่อยดี
นั่ง Speed Boat กลับมาถึงเกาะสนามบิน ถ้ายังไม่อยากเข้าไปด้านใน ก็เดินเล่น ถ่ายรูป ชมวิวก่อนได้นะคะ แต่ด้านในจะมีร้านให้ช้อปพอสมควร มีพวก Magnet และ Burger King อยู่ด้วยค่ะ ความรู้สึกของเช้านี้คือ ง่วงในง่วง รอกลับบ้านแบบเพลียๆ
ก่อนไป มีเพื่อนบอกว่า ภาพที่เราเห็นๆกันอยู่ สวยไม่ได้ครึ่งที่ตาเราได้เห็น หลังจากดูรูปทั้งหมดที่ถ่ายมาแล้ว ก็ต้องบอกว่า จริง! มัลดีฟส์เป็นอีกที่นึง ที่อุ้มไม่อยากบันทึกความทรงจำด้วยกล้องถ่ายรูป แต่อยากจะบันทึกด้วยความทรงจำของเราให้ได้มากที่สุด
ถ้าเทียบกับเกาะอื่นๆ Meeru อาจจะไม่ได้มีปะการังที่เยอะหรือสวยมากนัก แต่แลกมาด้วยราคา และคุณภาพของที่พัก ซึ่งการใช้ชีวิตที่นั่น ไม่ยากอย่างที่คิด เรียกว่าไม่มีเน็ต ก็อยู่ได้ … แค่ปล่อยใจให้อยู่กับธรรมชาติรอบตัว ดื่มด่ำความสุขแบบไม่ต้องคิดอะไร แล้วคุณจะเข้าใจว่า ทำไมครั้งนึงในชีวิต ควรจะไปมัลดีฟส์
แล้วไปเที่ยวกันอีกนะ
#เที่ยวตัวแตก
#TripBuffet
ฝากเพจด้วยนะฮ้า หน้าเดิมแต่เพจใหม่ 555
http://www.facebook.com/tripbuffet
[CR] พาเที่ยว MALDIVES สามหมื่นกว่าๆ ที่ MEERU ISLAND : เที่ยวตัวแตก :
‘Maldives’ heaven on earth
‘ครั้งนึงในชีวิต ต้องไปให้ได้’
ประโยคคุ้นหู ที่พาเราเดินทางข้ามน้ำ ข้ามทะเลมาไกลกว่า 4 ชม. จนเมื่อได้มาเห็นเองกับตา กลับกลายเป็น 3 วัน 2 คืน ที่น่าประทับใจสุดๆ ครั้งนึงในชีวิตจริงๆค่ะ
หมดไปเท่าไหร่ : 34,500 บาท ต่อคน
บินสายการบินอะไร : Air Asia
มีโปรมั้ย : All Inclusive Plus แบบห้องหลุดจอง
พักที่ไหน: Meeru Island Resort & Spa
Sponsor: NO
เราตั้งงบไว้ไม่เยอะนัก เพราะอยากไปลองดูก่อน ถ้าดี…ครั้งหน้าค่อยว่ากันใหม่ เลยจัดการจองห้องหลุดจองในราคาพิเศษ รวมทุกสิ่งอย่างและตั๋วเครื่องบินไว้ด้วยกันในราคาคนละสามหมื่นนิดๆ … เออ ราคาไหวอยู่
สิ่งที่ควรทำก่อนไปมัลดีฟส์
-นอนเยอะๆ
-กินอาหารที่ชอบเยอะๆ
-ตากแอร์เยอะๆ
เพราะ?
+-+-+-+-+-+-+-+
#เที่ยวตัวแตก
#TripBuffet
เพราะที่นี่ ‘ร้อนมาก’ ร้อนแบบอร๊ายยย ร้อน พอไปหลบในที่ร่ม ก็จะรู้สึกไม่คุ้มอีก แต่ความร้อนนี้ ทำให้ฟ้าโคตรสวย น้ำโคตรรรรรรรใส ใสแบบอื้อหือ นี่สระว่ายน้ำรึเปล่า แค่เดินออกมาด้านหน้าสนามบิน จะเจอท่าเรือ และน้ำตรงนั้นคือดีมาก ออกไปถ่ายรูปได้เลย
ถ้าใครมานอนที่ Meeru Island พออกจากสนามบิน ให้เดินมาที่ Counter เบอร์ 59 เค้าจะเช็คชื่อและเอา Tag ติดกระเป๋าให้ เสร็จแล้วให้เดินไปซื้อซิม dhiraagu ราคา 16 เหรียญ ได้เน็ต 3GB สัญญาณดีมาก เพราะมีเสาสัญญาณอยู่บนเกาะ ไวกว่าเมืองไทยอี๊กกก
รอแป๊ปนึง เค้าจะมาเรียกเราไปขึ้นเรือ Speedboat ใครที่ขึ้นเรือตอนบ่ายแบบอุ้ม จำให้ดี “นั่งฝั่งขวา” นะคะ … ใช่แล้ว อุ้มนั่งฝั่งซ้าย เป็นหนึ่งชม.ที่ทรมานมาก ขาดำไปซีกนึงได้ 555 ดีที่กินยาแก้เมามา เลยหลับ หลับมันแบบแดดเผานี่ละ
เออ สงสัยกันมั้ย ทำไมน้ำมันถึงสีฟ้าได้ขนาดนี้ อธิบายง่ายๆเลยว่า เมื่อก่อนพื้นที่แถวนี้เป็นภูเขาไฟล้วนๆ รอบๆภูเขาไฟ ก็จะมีแนวปะการังมาทับถมไว้ เรียกว่า Atoll (อะทอลล์) เมื่อภูเขาไฟหายไป แนวปะการังนี้ยังอยู่ ทำให้เกิดความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ จนเป็นเอกลักษณ์ของมัลดีฟส์อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้
ถ้าใครอยากเห็น Atoll ชัดๆ ก็นั่งเครื่องบินฝั่งซ้ายมานะคะ ส่วนอุ้มย้ายไม่ทัน นั่งตรงกลางตรงปีก จบไปค่ะ
ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. เราก็มาถึง Meeru Island Resort & Spa ทีมงานจะพาเราไปนั่งรอใน Kakuni Bar พร้อมกับตีกลองต้อนรับ บอกเลยว่าไม่ต้องยกกระเป๋านะคะ เดินตัวเปล่ามาเลย ใครอยากได้รูปตรงนี้ ไม่ต้องรีบถ่ายค่ะ เดี๋ยวได้มาบ่อยๆ 555
พนักงานของทาง Meeru จะอธิบายว่า อะไรที่รวมอยู่ในแพ็ก All Inclusive Plus บ้าง และประโยคที่แสนเศร้าของวันนี้คือ “ห้ามบินโดรนทั้งเกาะ”
บ้านกลางน้ำของที่นี่จะมี 2 โซนนะคะ คือโซน 3 และ โซน 7 ถ้าไม่อยากเดินไกล ก็ขอเค้าอยู่โซน 3 ตั้งแต่จองเลยนะคะ จะใช้เวลาเดินประมาณ 500 เมตร และน้ำไม่ลึกนัก รอบแรกเค้าจะเอารถกอล์ฟไปส่งให้เราชะล่าใจ ส่วนรอบต่อๆไป เดินล้วนๆ 555 เดี๋ยวเราต้องกลับมากินข้าวทุกมื้อที่นี่ด้วยจ้า
รีวิวที่พักสักหน่อย ห้องแบบ Jacuzzi Water Villa เบอร์ 320 สักหน่อย ห้องนี้เดินไม่ไกลจากฝั่งเท่าไหร่ เปิดประตูเข้าไป ด้านขวาจะเจอเตียงแบบ King Size มีโซฟา ทีวี และเมื่อเราเปิดผ้าม่านออกมา จะเจอกับระเบียงที่มีบันได ลงไปเล่นน้ำหน้าบ้านได้เลย ฟิน!!!
ด้านในจะมี Walk-in Closet ขนาดใหญ่ เปิดประตูเข้าห้องน้ำไป จะเป็นห้องน้ำแบบ Open-air เดินไปถึง Jacuzzi อันใหญ่ นอนสบายสองคนได้เลยด้านหลัง
โดยรวมที่พักดีมากค่ะ
วันแรกกว่าจะเรียบร้อยทุกสิ่งอย่าง ก็ปาไปประมาณบ่าย 2 แถวๆห้องพักจะมีบาร์ และสระว่ายน้ำ ถ้าอยากทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ไปสั่งได้ตลอดเวลา [รสชาติ Cocktail ต้องลองด้วยตัวเองนะคะ แต่สำหรับอุ้มคือ … ไม่ไหว กินไวน์ดีกว่า]
ส่วนมินิบาร์ในห้อง จะมีบางอย่างรวมและบางอย่างไม่รวม เช่น เหล้า ช็อคโกแลต ถั่วเนี่ย ไม่รวม อย่าไปกินนะ ส่วนคืนที่สอง เค้าจะเอาแชมเปญขวดเล็กมาให้ อันนี้ฟรี กินได้
นอนแช่ Jacuzzi เพลินๆ หิวเว้ย เพราะเวลาที่นี่ช้ากว่าประเทศไทย 2 ชม. และห้องอาหารจะเปิดตอนทุ่มนึง เท่ากับสามทุ่มที่ประเทศไทย ถ้าใครมาถึงสนามบินแล้วเรือยังไม่ออก กินมาให้อิ่มเลยนะคะ ขอเตือน 555
อาหารที่นี่ก็เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ ที่นั่งจะเป็นที่เดิมตลอดสามวันสองคืน และจะมีพนักงานคนเดิม ดูแลเราตลอดการทานอาหารที่นี่ รสชาติอาหารก็ … … … ลองชิมดู 555 ประกอบไปด้วยแกง เครื่องเทศจัดๆ นี่ขนาดอุ้มชอบกินพวกแกงกะหรี่ ยังต้องยอมแพ้
แต่อย่าท้อใจไปค่ะ ต้องมีสักอย่างที่เรากินได้ อย่างอุ้มก็เลือกผัดหมี่มัลดีฟส์มาทาน ส่วนพี่บีมก็ได้พวกแกงเนื้อกับข้าวสวย
ของหวานก็ทานไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ถ้าไปอีกนะ จะเอามาม่าไปเยอะๆ
ความเก๋ของที่นี่คือ ตอนกลางคืนจะมีไฟสปอตไลต์ส่องไปในน้ำทะเล ทำให้ฝูงปลาดำมาเล่นไฟใต้บ้านเราเต็มไปหมด และยังมีปลากระเบน และปลาฉลาม ที่ทุกคนที่มาที่นี่ ต้องได้เห็นมันมาโชว์ตัว เป็นภาพที่ประทับใจมากๆ
ถ้าเงยหน้ามองบนฟ้า เราก็จะเจอดวงดาวมากมาย อาจจะโชคดีที่วันแรกอากาศดีมากๆ ฟ้าเลยสวยสุดๆ และง่วงมากๆ เพลียแดดเหนียวตัว นอนดีกว่า
ถ้านับกันจริงๆ วันที่สอง จะเป็นวันเดียวที่เราจะอยู่มัลดีฟส์แบบเต็มวัน วันนี้อากาศไม่ดีเหมือนเมื่อวาน เราเลือกที่จะไปทานอาหารเช้ากันตั้งแต่ 7.30 น. พร้อมกับยืม Snorkel จากทางรีสอร์ท (รวมในแพ็กเกจ) เพราะวันนี้เราจะไป Snorkeling กลางทะเลกันค่ะ
Meeru ไม่ใช่เกาะที่มีปะการังรอบบ้านสมบูรณ์นักค่ะ คือสวยมั้ย สวย แต่อาจจะไม่ได้ดั่งใจคนชอบดำน้ำเท่าไหร่นัก เช้านี้เราเลยออกไป Snorkeling กับหมู่มวลชาวไทย นั่งเรือไปไม่ไกลนัก เค้าก็จะปล่อยเราลงทะเล
โดยรวมก็ไม่ค่อยเห็นอะไรนัก 555 ข้างบ้านยังแอบสวยใสกว่าหน่อยๆ ถือว่าว่ายน้ำป๋อมแป๋มเอาบรรยากาศ แต่ถ้าอุ้มเลือกได้ คงใช้เวลาอยู่หน้าบ้านดีกว่า
เราใช้เวลาทั้งบ่ายนี้ในน้ำ โชคดีที่วันนี้ฟ้าครึ้มๆ เลยไม่ร้อนนัก เรา Snorkeling จากหน้าบ้านไปเรื่อยๆ ดูปลาน้อยใหญ่ จากคนที่กลัวปลาแบบอุ้ม นี่คือประสบการณ์ใหม่ที่ดีมากๆ คุณปลานิสัยดี น่ารักและไม่ทำร้ายเรา ความฟินในครั้งนี้ ทำให้อุ้มอยากลงน้ำดูปลามากขึ้นกว่าเดิม จากหน้ามือเป็นหน้ามือเลยค่ะ
นอกจากการดำน้ำตื้นๆ ดูปะการังแล้ว กิจกรรมที่นี่ยังหนาแน่นให้เลือกเต็มไปหมด ทั้งการออกไปดูโลมาตอนพระอาทิตย์ตกดิน (แต่อุ้มไม่เจอปลาโลมา) หรือจะเล่นสนุกเกอร์ เล่นPool ปาเป้า หมากรุก ไดร์ฟกอล์ฟ ตีแบด ตีเทนนิส จนไปถึงการเดินรอบเกาะไปเรื่อยๆ ดูบ้านในรูปแบบอื่นๆบ้าง ก็บันเทิงเริงใจไม่แพ้กัน
ส่วนใหญ่คนไทยจะเลือกนอนบ้านกลางน้ำกันนะคะ แต่ฝรั่งจะเลือกนอนบ้านริมหาด หรือ Beach Front กันเป็นส่วนใหญ่ ทำเลไม่เลวเลยค่ะ แต่จะเดินไกลหน่อย
มาครั้งนี้ มีอะไรสนุกๆกว่าการจับมือถือมาเล่นโซเชียล หรือจับกล้องมาถ่ายเยอะแยะเลย การได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตและจิตใจ ให้มองทุกอย่างรอบตัวบ้าง ก็ดีไม่น้อยเลยนะคะ
วันนี้ฝนตกหนักมาก แต่โชคดีที่ค่ำแล้ว และกิจกรรมทั้งหมดก็ถูกทำไปหมดแล้ว ถ้ามาทานข้าวที่ห้องอาหารแล้วฝนตก สามารถเดินลัดไปที่ Reception และขอยืมร่มเค้าได้ฟรีเลย ตอนค่ำๆ ทางเดินกลับห้อง อาจจะมืดนิดนึงนะคะ แต่ไม่ได้ดูอันตรายอะไร
ปกติแล้วฝนที่นี่ จะตกประมาณ 15 นาที แล้วหยุด แต่คืนนี้อาจจะพิเศษส่งท้ายทริปของเรา ตกยันเช้าเลยจ้า คืนนี้จะมีแชมเปญ พร้อมจดหมายที่บอกว่าพรุ่งนี้เราต้องเอากระเป๋ามาวางหน้าห้องกี่โมง และเชคเอ้าท์กี่โมง เห็นเวลาแล้วนอนดีกว่า
ประมาณแปดโมงจะมีคนมาเคาะห้อง รอรับกระเป๋าเราไปส่งที่เรือค่ะ ใครตื่นเช้าก็อย่าลืมตื่นมาดื่มด่ำกับพระอาทิตย์ยามเช้าในวันสุดท้าย และเราสามารถเดินลงไปส่องปลาหน้าบ้านได้อย่างชิวๆ เพราะน้ำลงไปเยอะพอสมควร
พูดถึงเรื่องอาหาร โดยรวมคิดว่าบางคนอาจจะทานไม่ได้ 555 แต่เค้าก็พยายามเปลี่ยนสไตล์อาหารทุกวันนะคะ เช่นคืนวันศุกร์อาจจะเฉยๆ คืนวันเสาร์มีปูผัดผงกะหรี่อร่อยยยยยย แต่ต้องแย่งกันกินนิดนึง อาหารเช้าจะกินง่ายหน่อยค่ะ Breakfast ปกติ
เรารู้สึกโอเคนะ ที่บ้านเค้าไม่กินหมู แต่อาหารเช้ายังมีเบคอน มีไส้กรอกหมูให้ทาน แต่ถ้าใครทานเนื้ออาจจะง่ายขึ้น โดยเฉพาะเนื้อแกะอร่อยดี
นั่ง Speed Boat กลับมาถึงเกาะสนามบิน ถ้ายังไม่อยากเข้าไปด้านใน ก็เดินเล่น ถ่ายรูป ชมวิวก่อนได้นะคะ แต่ด้านในจะมีร้านให้ช้อปพอสมควร มีพวก Magnet และ Burger King อยู่ด้วยค่ะ ความรู้สึกของเช้านี้คือ ง่วงในง่วง รอกลับบ้านแบบเพลียๆ
ก่อนไป มีเพื่อนบอกว่า ภาพที่เราเห็นๆกันอยู่ สวยไม่ได้ครึ่งที่ตาเราได้เห็น หลังจากดูรูปทั้งหมดที่ถ่ายมาแล้ว ก็ต้องบอกว่า จริง! มัลดีฟส์เป็นอีกที่นึง ที่อุ้มไม่อยากบันทึกความทรงจำด้วยกล้องถ่ายรูป แต่อยากจะบันทึกด้วยความทรงจำของเราให้ได้มากที่สุด
ถ้าเทียบกับเกาะอื่นๆ Meeru อาจจะไม่ได้มีปะการังที่เยอะหรือสวยมากนัก แต่แลกมาด้วยราคา และคุณภาพของที่พัก ซึ่งการใช้ชีวิตที่นั่น ไม่ยากอย่างที่คิด เรียกว่าไม่มีเน็ต ก็อยู่ได้ … แค่ปล่อยใจให้อยู่กับธรรมชาติรอบตัว ดื่มด่ำความสุขแบบไม่ต้องคิดอะไร แล้วคุณจะเข้าใจว่า ทำไมครั้งนึงในชีวิต ควรจะไปมัลดีฟส์
แล้วไปเที่ยวกันอีกนะ
#เที่ยวตัวแตก
#TripBuffet
ฝากเพจด้วยนะฮ้า หน้าเดิมแต่เพจใหม่ 555
http://www.facebook.com/tripbuffet
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้