เจโตปริยญาณ กําหนดรู้ใจผู้อื่นได้ มีจริงหรือ??? (ตอนที่ 1)
ประสบการณ์ข้าพเจ้าได้พาแฟนไปกราบพระอาจารย์โสภา สมโน วัดแสงธรรมวังเขาเขียว ครั้งแรก ต้องการจะแนะนำแฟนซึ่งเป็นหมอให้พระอาจารย์ทราบ
ข้าพเจ้า : ก้มกราบ 3 ครั้ง ยังไม่ทันเงยหน้า
พระอาจารย์โสภา : ที่นี่ก็มีหมอมาบวชเหมือนกัน
ข้าพเจ้า : (คิดในใจยังไม่เงยหน้า) แฟนผมเป็นหมอคน ไม่ใช่หมอสัตว์ครับพระอาจารย์ (ผมรู้ว่ามี สัตวแพทย์ จุฬา มาบวชไม่สึก)
พระอาจารย์โสภา : ไม่ใช่หมอทำหมันวัว หมันควาย หมอคนนี่แหละ เป็นหมอผ่าตัด
(ผมมารู้ทีหลังว่ามี ศัลยแพทย์ตกแต่ง จุฬา มาบวชไม่สึกเหมือนกัน)
ข้าพเจ้า : เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า ทำไมพระอาจารย์ รู้ว่าผมคิดอะไร ทุกอย่างเลย
พระอาจารย์โสภา : (พระอาจารย์เมตตาตอบ) "คนเราทุกคนก็เหมือนมีโครงข่าย ใยแมงมุม เชื่อมต่อทุกคนเอาไว้ ถ้าเรามีสมาธิ อยากรู้ว่าใครคิดอะไร อดีตและอนาคต เป็นอย่างไร ก็เอาจิตของเราไปวางที่คนนั้นก็จะรู้ทุกอย่าง"
จากนั้นท่านก็เมตตาสั่งสอนทั้งคู่ โดยท่านรู้ทุกอย่าง รู้ยิ่งกว่าเรารู้จักตนเองเสียอีก และปิดท้ายสั่งสอนว่า
"ระวังให้ดีนะ เราเคยปฏิบัติ สมาธิจนจิตสงบ ไปรู้ไปเห็นอะไรมา กิเลสมันฉลาด มันก็ไปรู้ ไปเห็นด้วย มันจะสร้างทุกอย่างมาหลอกเรา เหมือนกับที่เราไปเห็นมา"
ตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่มีปัญญาเข้าใจที่ท่านสอน คือ ตอนนั่งสมาธิ ภาวนา พุทโธ ได้ 2-3 คำ จะมีอาการ เหมือนชีพจรเต้น ตุ๊บๆๆ ที่หว่างคิ้ว แล้วรวมเป็นแก้วใสที่หว่างคิ้ว อาการนี้เกิดขึ้นหลังจากจิตรวมเป็นสมาธิ ตอนบวชครั้งแรก และเป็นทุกครั้งต่อเนื่องกัน 7 ปี (ไว้ต่อตอนที่ 2)
เจโตปริยญาณ กําหนดรู้ใจผู้อื่นได้ มีจริงหรือ??? (ตอนที่ 1)
ประสบการณ์ข้าพเจ้าได้พาแฟนไปกราบพระอาจารย์โสภา สมโน วัดแสงธรรมวังเขาเขียว ครั้งแรก ต้องการจะแนะนำแฟนซึ่งเป็นหมอให้พระอาจารย์ทราบ
ข้าพเจ้า : ก้มกราบ 3 ครั้ง ยังไม่ทันเงยหน้า
พระอาจารย์โสภา : ที่นี่ก็มีหมอมาบวชเหมือนกัน
ข้าพเจ้า : (คิดในใจยังไม่เงยหน้า) แฟนผมเป็นหมอคน ไม่ใช่หมอสัตว์ครับพระอาจารย์ (ผมรู้ว่ามี สัตวแพทย์ จุฬา มาบวชไม่สึก)
พระอาจารย์โสภา : ไม่ใช่หมอทำหมันวัว หมันควาย หมอคนนี่แหละ เป็นหมอผ่าตัด
(ผมมารู้ทีหลังว่ามี ศัลยแพทย์ตกแต่ง จุฬา มาบวชไม่สึกเหมือนกัน)
ข้าพเจ้า : เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า ทำไมพระอาจารย์ รู้ว่าผมคิดอะไร ทุกอย่างเลย
พระอาจารย์โสภา : (พระอาจารย์เมตตาตอบ) "คนเราทุกคนก็เหมือนมีโครงข่าย ใยแมงมุม เชื่อมต่อทุกคนเอาไว้ ถ้าเรามีสมาธิ อยากรู้ว่าใครคิดอะไร อดีตและอนาคต เป็นอย่างไร ก็เอาจิตของเราไปวางที่คนนั้นก็จะรู้ทุกอย่าง"
จากนั้นท่านก็เมตตาสั่งสอนทั้งคู่ โดยท่านรู้ทุกอย่าง รู้ยิ่งกว่าเรารู้จักตนเองเสียอีก และปิดท้ายสั่งสอนว่า
"ระวังให้ดีนะ เราเคยปฏิบัติ สมาธิจนจิตสงบ ไปรู้ไปเห็นอะไรมา กิเลสมันฉลาด มันก็ไปรู้ ไปเห็นด้วย มันจะสร้างทุกอย่างมาหลอกเรา เหมือนกับที่เราไปเห็นมา"
ตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่มีปัญญาเข้าใจที่ท่านสอน คือ ตอนนั่งสมาธิ ภาวนา พุทโธ ได้ 2-3 คำ จะมีอาการ เหมือนชีพจรเต้น ตุ๊บๆๆ ที่หว่างคิ้ว แล้วรวมเป็นแก้วใสที่หว่างคิ้ว อาการนี้เกิดขึ้นหลังจากจิตรวมเป็นสมาธิ ตอนบวชครั้งแรก และเป็นทุกครั้งต่อเนื่องกัน 7 ปี (ไว้ต่อตอนที่ 2)