ปกติผมจะไม่ค่อยมาตั้งกระทู้อะไรเเบบนี้หรอกครับ ผมก็คิดเขาก็คงจะรู้ ว่าเป็นผม ถ้าเข้ามาอ่านกระทู้นี้ เเต่ก็ไม่เป็นไรครับ อะไรจะเกิดมันก็เกิด ดีกว่าให้มันค้างคาใจไป เสียใจแป๊บเดียวก็คงหาย
เรื่องมันก็มีอยู่ว่า ผมทำงานที่ออฟฟิศเเห่งหนึ่งในกรุงเทพ เคยมีเเฟน เเละก็มีลูกมาเเล้ว เเต่ก็เลิกรากันไป ผมเองก็ส่งเสียให้ลูกทุกเดือน เเม้มันจะน้อยนิด เเต่ผมก็ไม่เคยขาดสักเดือน เพราะตัวเองก็มีภาระต้องผ่อนรถยนต์กับบัตรเครดิต ตามที่ผมเคยมาตั้งไว้ในกระทู้ก่อนนี้
เลิกรากันไปก็ประมาณปีกว่า ครองสภาพโสด เเต่ก็ไม่เคยปิดบังเรื่องอดีตกับคนที่เข้ามาคุย ผมรู้ดี อดีตมันเเก้ไขไม่ได้ สิ่งที่ยังเหลืออยู่ก็ประคับประคองเอาไว้ ถึงยังไง ลูกก็เป็นคนสำคัญในชีวิต
หลายคนเข้ามาในชีวิต เเต่ก็ผ่านไป ไม่ตรงใจบ้าง เทเขาเองบ้าง โดนเทบ้าง เพราะลึกๆเเล้ว ผมเองก็อยากมีรักดีๆกะเค้าบ้าง เพราะที่ผ่านมา ผมมีความสุขจากเรื่องพวกนี้น้อยมาก เเละจบลงด้วยความผิดหวัง ยิ่งเวลาไปเที่ยว ไปดูหนัง ไปเดินห้างกินข้าว ดูเหมือนมันจะอิสระดี เเต่รู้มั้ยครับมันโคตรเหงาเลย ยิ่งอยู่คนเดียวยิ่งฟุ้งซ่าน
จนสุดท้ายต้องหาอะไรทำ จึงเป็นที่มาของอาชีพเสริม นั่นก็คือ ขับรถส่งของ ผมทำแล้วรู้สึกอ่ะ โอเค สบายใจ เเถมไม่ต้องเครียดเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย เเต่ก็มีบางเวลาที่เหนื่อย เพราะรู้สึกเงินเก็บควรจะมากกว่านี้ เเต่ก็อย่างว่าล่ะ ทำตัวเองก็ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
กลับมาโฟกัสเรื่องนี้กันก่อนดีกว่า นอกเรื่องจะยืดยาวไปหน่อย ผมทำงานที่นี่ได้ปีกว่า ก็มีการปรับรูปแบบการทำงาน มีทีมใหม่จากออฟฟิศใหญ่เข้ามาทำร่วมกันกับทีมของผม ในทีมนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งท่าทางดุยุ่งๆตลอดเวลา เเต่เอ๊ะ ทำไมผมรู้สึกว่าจะต้องหันไปเเอบมองเขาอยู่เรื่อยๆเลย อืม ใจเราคิดอะไรอยู่นะ ชอบเขาหรอ หลายอย่างมันผุดขึ้นมาในหัว เเต่ก็พยายามสงบใจเอาไว้ กลับไปทบทวนดู ว่าเราเเน่ใจตัวเองเเค่ไหน
ตลอดเวลาที่ทำงานด้วยกัน เวลาที่เราต้องมีการบรีพงาน ผมรู้สึกตัวชา ใจเต้นเเรง เหมือนคนตกอยู่ในภวังค์ เวลาผ่านไปหลายเดือน ผมก็ยังไม่กล้าที่จะทำความรู้จัก คิดเอาเองว่า ยังไม่ใช่เวลาที่ดีเท่าไหร่ แต่สุดท้ายวันหนึ่งที่เขาเดินมาที่โต๊ะทำงานของผม เธอบอกนู่นนั่นตามปกติเเละกำลังจะเดินจากไป ผมเลยตัดสินใจที่จะเรียกชื่อเธอ นั่นล่ะ คือจุดเริ่มต้นที่เราได้รู้จักกัน
หลายๆที่เราเดินสวนทางกัน เธอยิ้มให้ผม แต่ในใจตอนนั้นคิดว่าเขาคงยิ้มไปตามมารยาท ทักทายกันตามปกติ ผมก็เลยเเค่ ยิ้มน้อยๆให้เขารับรู้ว่า ผมเห็นนะ ตอนนั้นผมคิดเเล้วล่ะว่าเราจะต้องรู้จักเขาให้มากกว่านี้ให้ได้ เเต่ว่ามันจะเป็นวิธีไหนดีล่ะ
อึดอัดใจมาก รู้สึกทุกอย่างมันหยุดชะงัก ไปต่อหรือพอดี ผมดูใจผู้หญิงไม่ออกจริงๆ
เรื่องมันก็มีอยู่ว่า ผมทำงานที่ออฟฟิศเเห่งหนึ่งในกรุงเทพ เคยมีเเฟน เเละก็มีลูกมาเเล้ว เเต่ก็เลิกรากันไป ผมเองก็ส่งเสียให้ลูกทุกเดือน เเม้มันจะน้อยนิด เเต่ผมก็ไม่เคยขาดสักเดือน เพราะตัวเองก็มีภาระต้องผ่อนรถยนต์กับบัตรเครดิต ตามที่ผมเคยมาตั้งไว้ในกระทู้ก่อนนี้
เลิกรากันไปก็ประมาณปีกว่า ครองสภาพโสด เเต่ก็ไม่เคยปิดบังเรื่องอดีตกับคนที่เข้ามาคุย ผมรู้ดี อดีตมันเเก้ไขไม่ได้ สิ่งที่ยังเหลืออยู่ก็ประคับประคองเอาไว้ ถึงยังไง ลูกก็เป็นคนสำคัญในชีวิต
หลายคนเข้ามาในชีวิต เเต่ก็ผ่านไป ไม่ตรงใจบ้าง เทเขาเองบ้าง โดนเทบ้าง เพราะลึกๆเเล้ว ผมเองก็อยากมีรักดีๆกะเค้าบ้าง เพราะที่ผ่านมา ผมมีความสุขจากเรื่องพวกนี้น้อยมาก เเละจบลงด้วยความผิดหวัง ยิ่งเวลาไปเที่ยว ไปดูหนัง ไปเดินห้างกินข้าว ดูเหมือนมันจะอิสระดี เเต่รู้มั้ยครับมันโคตรเหงาเลย ยิ่งอยู่คนเดียวยิ่งฟุ้งซ่าน
จนสุดท้ายต้องหาอะไรทำ จึงเป็นที่มาของอาชีพเสริม นั่นก็คือ ขับรถส่งของ ผมทำแล้วรู้สึกอ่ะ โอเค สบายใจ เเถมไม่ต้องเครียดเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย เเต่ก็มีบางเวลาที่เหนื่อย เพราะรู้สึกเงินเก็บควรจะมากกว่านี้ เเต่ก็อย่างว่าล่ะ ทำตัวเองก็ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
กลับมาโฟกัสเรื่องนี้กันก่อนดีกว่า นอกเรื่องจะยืดยาวไปหน่อย ผมทำงานที่นี่ได้ปีกว่า ก็มีการปรับรูปแบบการทำงาน มีทีมใหม่จากออฟฟิศใหญ่เข้ามาทำร่วมกันกับทีมของผม ในทีมนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งท่าทางดุยุ่งๆตลอดเวลา เเต่เอ๊ะ ทำไมผมรู้สึกว่าจะต้องหันไปเเอบมองเขาอยู่เรื่อยๆเลย อืม ใจเราคิดอะไรอยู่นะ ชอบเขาหรอ หลายอย่างมันผุดขึ้นมาในหัว เเต่ก็พยายามสงบใจเอาไว้ กลับไปทบทวนดู ว่าเราเเน่ใจตัวเองเเค่ไหน
ตลอดเวลาที่ทำงานด้วยกัน เวลาที่เราต้องมีการบรีพงาน ผมรู้สึกตัวชา ใจเต้นเเรง เหมือนคนตกอยู่ในภวังค์ เวลาผ่านไปหลายเดือน ผมก็ยังไม่กล้าที่จะทำความรู้จัก คิดเอาเองว่า ยังไม่ใช่เวลาที่ดีเท่าไหร่ แต่สุดท้ายวันหนึ่งที่เขาเดินมาที่โต๊ะทำงานของผม เธอบอกนู่นนั่นตามปกติเเละกำลังจะเดินจากไป ผมเลยตัดสินใจที่จะเรียกชื่อเธอ นั่นล่ะ คือจุดเริ่มต้นที่เราได้รู้จักกัน
หลายๆที่เราเดินสวนทางกัน เธอยิ้มให้ผม แต่ในใจตอนนั้นคิดว่าเขาคงยิ้มไปตามมารยาท ทักทายกันตามปกติ ผมก็เลยเเค่ ยิ้มน้อยๆให้เขารับรู้ว่า ผมเห็นนะ ตอนนั้นผมคิดเเล้วล่ะว่าเราจะต้องรู้จักเขาให้มากกว่านี้ให้ได้ เเต่ว่ามันจะเป็นวิธีไหนดีล่ะ