ถึงสถานการณ์ใน Box Office ของดิสนีย์ตอนนี้จะอยู่ในระดับดี ที่มีส่วนแบ่งในตลาดอเมริกา 34.0% มากกว่าส่วนแบ่งของสตูดิโออันดับ 2-4 มารวมกันอีก และ ล่าสุดรายได้ของ Avengers: Infinity War (2018) ก็ผ่านหลัก $2,000M ไปได้ แต่สถานะการณ์ภายในบริษัทของดิสนีย์ ตอนนี้ไม่ค่อยจะดีนักเชียว
Roseanne Barr เหยียดผิวจนเป็นเรื่อง
Roseanne Barr เป็นนักแสดงนำซิทคอม Roseanne ซิทคอมระดับตำนานของช่อง ABC ของดิสนีย์ที่เรตติ้งเคยขึ้นอันดับหนึ่งในอเมริกา ได้คำวิจารณ์ดีมากมาตลอด ติดหนึ่งในรายการทีวีที่ดีที่สุดตลอดกาลในหลายๆโผ เข้าชิงรางวัลจำนวนมาก ฉายตั้งแต่ปี 1988-1997 ทั้งหมด 9 ฤดูกาล ล่าสุดกลับมาอีกครั้งในรอบ21ปี ในปี 2018 กลับมาพร้อมนักแสดงหลักชุดเดิม ซิทคอมได้รับผลตอบรับที่ดีมาก เรตติ้งขึ้นไปสูงสุดอันดับ 3 ประจำปีนี้ในอเมริกา มีผู้ชมติดตามจำนวนหลักสิบล้านคนในแต่ละตอน แต่หลังจากที่ฉายไปได้เพียง 9 ตอน Roseanne Barrได้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ส่วนตัวเหยียด Valerie Jarrett สตรีผิวสีที่เคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประธานาธิบดีบารัค โอบามา ทวีตเหยียดของ Barr เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ทำให้ ABC ต้องออกมาขอโทษ ประนามการกระทำของ Barr และสั่งถอดรายการสุดฮิตโดยทันที
การเสียรายการสุดฮิตอย่าง Roseanne ส่งผลต่อเรตติ้งของช่อง ABC อย่างมาก ได้ข่าวลือมาว่า ABC จะทำ Spin-Off ของซิทคอมเรื่องนี้ โดยจะโฟกัสไปที่ตัวละครอื่นแทน Roseanne การกลับมาครั้งหน้าไม่รู้จะฮิตเท่าเดิมหรือเปล่า
หัวเรือใหญ่อย่าง John Lasseter ออกจาก Pixar
ปลายปีที่แล้ว หัวเรือของ Pixar อย่าง John Lasseter ที่เคยกำกับหนัง Toy Story (1995), A Bug's Life (1998), Toy Story 2 (1999), Cars (2006)และ Cars 2 (2011) ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายสร้างสรรค์(CCO)ของ Pixar Animation Studios, Walt Disney Animation Studiosและ DisneyToon Studios ได้มีข่าวเกี่ยวกับประเด็น #Metoo อย่างพฤติกรรมลวงเกินทางเพศพนักงานในบริษัท อย่างเช่นการชอบจับตัว การหอมและวิพากษ์วิจารณ์รูปร่างหน้าตาพนักงาน ทำให้ตัว John ต้องพักงานเป็นเวลา 6 เดือน ล่าสุดทางดิสนีย์ออกมาประกาศแล้วว่า John จะออกจากบริษัทในปลายปีนี้
การสูญเสียคนสำคัญของบริษัทอย่าง John Lasseter ไม่ดีนักต่อดิสนีย์ แต่ John ยังคงเป็นที่ปรึกษาให้กับดิสนีย์อยู่หลังจากออกจากบริษัท
Kathleen Kennedy อาจลาออกจากการเป็นCEO ของ Lucasfilm
โปรดิวเซอร์หญิงชื่อดังแห่งยุค เข้าชิงออสการ์ Best Pictureไปแล้ว 8 ครั้ง กับ Kathleen Kennedy ผู้เป็นCEOคนปัจจุบันของ Lucasfilm ตั้งแต่ปี 2012 อาจจะลาออก ในช่วงเดือนกันยายนปีนี้ หลังจากผลตอบรับของหนัง 2 เรื่องล่าสุดของค่ายอย่าง Star Wars: The Last Jedi (2017) ได้ผลตอบรับที่ไม่ดีจากแฟนๆจำนวนมาก และ Solo: A Star Wars Story (2018) ที่ได้รับผลต่อเนื่องมาจากเรื่องที่แล้ว ที่ได้ผลตอบรับจากแฟนไม่ดีเช่นกันจนกลายเป็นหนัง Star Wars เรื่องแรกที่ขาดทุน จนแฟนๆหลายคนก่อตั้งแคมเปญเรียกร้องให้ Kathleen ออกจากตำแหน่ง
ส่วนตัวคิดว่า Kathleen เป็นproducer ที่มีความหมายต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดมาก ถ้าปราศจากเธอ เราคงไม่ได้ดูหนังดีๆ หลายเรื่องเลย โดยผลตอบรับแง่ไม่ดีจากแฟนอาจจะไม่ส่งผลกระทบมากมายเท่าไหร่ เพราะLucasfilmได้ประกาศ projectใหม่ๆของ Star Wars จำนวนมาก ทั้งไตรภาคใหม่ของ Rian Johnson, ภาคแยกของ Boba Fett, ซีรีส์คนแสดงของ Jon Favreau และซีรีส์ Star Wars จากผู้สร้าง Game of Thrones
มูลค่ากิจการ Netflix แซงดิสนีย์
มูลค่ากิจการล่าสุดของ Netflix อยู่ที่ 1.639 แสนล้านดอลลาร์ แซงหน้า Disneyที่ 1.589 แสนล้านดอลลาร์ ขึ้นเป็นบริษัทสื่อที่มีมูลค่ากิจการสูงที่สุดในโลกแล้วในเดือนนี้ แสดงว่าคอนเทนท์ของ Netflixยังสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนในตลาดหุ้นได้อยู่
Disneyเอง ก็มองเห็นโอกาสในตลาดูสตรีมมิ่ง จึงได้สร้าง 2 บริการขึ้นมา คือ ESPN+ สตรีมมิ่งกีฬา และอีกตัวหนึ่งที่ยังไม่มีชื่อ จะสตรีมมิ่งซีรีส์และหนังจาก ทั้งดิสนีย์ พิกซาร์และลูคัสฟิลม์ โดยดิสนีย์ ได้ลงมีสร้างคอนเทนท์ใหม่ๆ หลายเรื่องแล้ว ณ ตอนนี้ โดยบริการสตรีมมิ่งจากดีสนีย์จะเปิดให้ช่วงต้นปีหน้า และซีรีส์และหนังจากดิสนีย์จะถูกเอาออกจาก Netflixปีหน้า (ยกเว้นที่ Netflixผลิตให้)
Fox กุญแจสำคัญของดิสนีย์ในตลาดสตรีมมิ่งที่ต้องแย่งชิงกับ Comcast
ก่อนหน้านี้ Rupert Murdoch เจ้าของ Fox มายืนข้อเสนอขาย Fox ให้แก่ดิสนีย์ เพื่อลดขนาดองค์กรให้เหลือเฉพาะ Fox News โดยดิสนีย์ยื่นข้อเสนอเป็นเงิน 52.4 พันล้านดอลลาร์ พร้อมกับหุ้นของ Disney จำนวนหนึ่ง ดูเหมือนข้อตกลงจะผ่านไปด้วยดี แต่ Comcast บริษัทโทรคมนาคม เจ้าของ Universal Pictures จะไม่ยอมน้อยหน้าคู่แข่งอย่าง AT&T บริษัทโทรคมนาคมอันดับหนึ่งของอเมริกา ที่ศาลพึ่งจะอนุมัติให้สามารถซื้อ Time Warner บริษัทแม่ของ Warner Bros. ได้ โดย Comcast ยื่นข้อเสนอทับดิสนีย์ ด้วยเงิน 65 พันล้านดอลลาร์ โดยทั้งหมดเป็นเงินสด มาดูกัน Fox จะให้คอนเทนท์มากมายของตัวเองไปอยู่มือใคร
ดีลมีผลต่อดิสนีย์มากๆคือ บริการสตรีมมิ่งใหม่ของดิสนีย์ที่ต้องการคอนเทนท์จำนวนมากมายมหาศาลมาดึงดูดผู้คนให้ไปใช้บริการ ส่วนตัวเชียร์ดิสนีย์ เพราะ Comcast มีUniversal ที่มีเหมือนดิสนีย์เกือบทุกอย่าง แล้วตัว Comcast ยังให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์อีกด้วย มันดูควบกิจการเกินไป (ปล.มันก็ไม่ต่างกับ AT&T กับ Time Warnerป่ะ 55 จริงๆ ไม่ต้องมีเหตุผลก็ได้ เพราะเป็นแฟนดิสนีย์ ก็ต้องเชียร์ดิสนีย์อยู่แล้ว)
ดีลนี้มีผลต่อนี้การอยู่ของ CEO คนล่าสุด Bob Iger เบื้องหลังความประสบความสำเร็จของดิสนีย์ยุคนี้และผู้ฉุดดิสนีย์ขึ้นมาจากยุคมืด คือ Bob Iger มีสัญญากับดิสนีย์ถึงปี 2019 แต่ถ้าดิสนีย์ซื้อ Fox สำเร็จ Iger จะต้องอยู่ดูแลดิสนีย์ที่ใหญ่ขึ้นไปต่อจนถึงปี 2021 แต่ถ้าไม่ Iger ก็จะออกตามปกติปี 2019 ได้ข่าวมาว่าที่เจ้าตัวออกจากดิสนีย์ เพราะจะไปเล่นการเมือง ซึ่งเลือกตั้งครั้งหน้าของอเมริกาคือปี 2020นั่นเอง
วิกฤตหนักครั้งยิ่งใหญ่ของ DISNEY อีกครั้ง
Roseanne Barr เหยียดผิวจนเป็นเรื่อง
Roseanne Barr เป็นนักแสดงนำซิทคอม Roseanne ซิทคอมระดับตำนานของช่อง ABC ของดิสนีย์ที่เรตติ้งเคยขึ้นอันดับหนึ่งในอเมริกา ได้คำวิจารณ์ดีมากมาตลอด ติดหนึ่งในรายการทีวีที่ดีที่สุดตลอดกาลในหลายๆโผ เข้าชิงรางวัลจำนวนมาก ฉายตั้งแต่ปี 1988-1997 ทั้งหมด 9 ฤดูกาล ล่าสุดกลับมาอีกครั้งในรอบ21ปี ในปี 2018 กลับมาพร้อมนักแสดงหลักชุดเดิม ซิทคอมได้รับผลตอบรับที่ดีมาก เรตติ้งขึ้นไปสูงสุดอันดับ 3 ประจำปีนี้ในอเมริกา มีผู้ชมติดตามจำนวนหลักสิบล้านคนในแต่ละตอน แต่หลังจากที่ฉายไปได้เพียง 9 ตอน Roseanne Barrได้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ส่วนตัวเหยียด Valerie Jarrett สตรีผิวสีที่เคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประธานาธิบดีบารัค โอบามา ทวีตเหยียดของ Barr เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ทำให้ ABC ต้องออกมาขอโทษ ประนามการกระทำของ Barr และสั่งถอดรายการสุดฮิตโดยทันที
การเสียรายการสุดฮิตอย่าง Roseanne ส่งผลต่อเรตติ้งของช่อง ABC อย่างมาก ได้ข่าวลือมาว่า ABC จะทำ Spin-Off ของซิทคอมเรื่องนี้ โดยจะโฟกัสไปที่ตัวละครอื่นแทน Roseanne การกลับมาครั้งหน้าไม่รู้จะฮิตเท่าเดิมหรือเปล่า
หัวเรือใหญ่อย่าง John Lasseter ออกจาก Pixar
ปลายปีที่แล้ว หัวเรือของ Pixar อย่าง John Lasseter ที่เคยกำกับหนัง Toy Story (1995), A Bug's Life (1998), Toy Story 2 (1999), Cars (2006)และ Cars 2 (2011) ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายสร้างสรรค์(CCO)ของ Pixar Animation Studios, Walt Disney Animation Studiosและ DisneyToon Studios ได้มีข่าวเกี่ยวกับประเด็น #Metoo อย่างพฤติกรรมลวงเกินทางเพศพนักงานในบริษัท อย่างเช่นการชอบจับตัว การหอมและวิพากษ์วิจารณ์รูปร่างหน้าตาพนักงาน ทำให้ตัว John ต้องพักงานเป็นเวลา 6 เดือน ล่าสุดทางดิสนีย์ออกมาประกาศแล้วว่า John จะออกจากบริษัทในปลายปีนี้
การสูญเสียคนสำคัญของบริษัทอย่าง John Lasseter ไม่ดีนักต่อดิสนีย์ แต่ John ยังคงเป็นที่ปรึกษาให้กับดิสนีย์อยู่หลังจากออกจากบริษัท
Kathleen Kennedy อาจลาออกจากการเป็นCEO ของ Lucasfilm
โปรดิวเซอร์หญิงชื่อดังแห่งยุค เข้าชิงออสการ์ Best Pictureไปแล้ว 8 ครั้ง กับ Kathleen Kennedy ผู้เป็นCEOคนปัจจุบันของ Lucasfilm ตั้งแต่ปี 2012 อาจจะลาออก ในช่วงเดือนกันยายนปีนี้ หลังจากผลตอบรับของหนัง 2 เรื่องล่าสุดของค่ายอย่าง Star Wars: The Last Jedi (2017) ได้ผลตอบรับที่ไม่ดีจากแฟนๆจำนวนมาก และ Solo: A Star Wars Story (2018) ที่ได้รับผลต่อเนื่องมาจากเรื่องที่แล้ว ที่ได้ผลตอบรับจากแฟนไม่ดีเช่นกันจนกลายเป็นหนัง Star Wars เรื่องแรกที่ขาดทุน จนแฟนๆหลายคนก่อตั้งแคมเปญเรียกร้องให้ Kathleen ออกจากตำแหน่ง
ส่วนตัวคิดว่า Kathleen เป็นproducer ที่มีความหมายต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดมาก ถ้าปราศจากเธอ เราคงไม่ได้ดูหนังดีๆ หลายเรื่องเลย โดยผลตอบรับแง่ไม่ดีจากแฟนอาจจะไม่ส่งผลกระทบมากมายเท่าไหร่ เพราะLucasfilmได้ประกาศ projectใหม่ๆของ Star Wars จำนวนมาก ทั้งไตรภาคใหม่ของ Rian Johnson, ภาคแยกของ Boba Fett, ซีรีส์คนแสดงของ Jon Favreau และซีรีส์ Star Wars จากผู้สร้าง Game of Thrones
มูลค่ากิจการ Netflix แซงดิสนีย์
มูลค่ากิจการล่าสุดของ Netflix อยู่ที่ 1.639 แสนล้านดอลลาร์ แซงหน้า Disneyที่ 1.589 แสนล้านดอลลาร์ ขึ้นเป็นบริษัทสื่อที่มีมูลค่ากิจการสูงที่สุดในโลกแล้วในเดือนนี้ แสดงว่าคอนเทนท์ของ Netflixยังสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนในตลาดหุ้นได้อยู่
Disneyเอง ก็มองเห็นโอกาสในตลาดูสตรีมมิ่ง จึงได้สร้าง 2 บริการขึ้นมา คือ ESPN+ สตรีมมิ่งกีฬา และอีกตัวหนึ่งที่ยังไม่มีชื่อ จะสตรีมมิ่งซีรีส์และหนังจาก ทั้งดิสนีย์ พิกซาร์และลูคัสฟิลม์ โดยดิสนีย์ ได้ลงมีสร้างคอนเทนท์ใหม่ๆ หลายเรื่องแล้ว ณ ตอนนี้ โดยบริการสตรีมมิ่งจากดีสนีย์จะเปิดให้ช่วงต้นปีหน้า และซีรีส์และหนังจากดิสนีย์จะถูกเอาออกจาก Netflixปีหน้า (ยกเว้นที่ Netflixผลิตให้)
Fox กุญแจสำคัญของดิสนีย์ในตลาดสตรีมมิ่งที่ต้องแย่งชิงกับ Comcast
ก่อนหน้านี้ Rupert Murdoch เจ้าของ Fox มายืนข้อเสนอขาย Fox ให้แก่ดิสนีย์ เพื่อลดขนาดองค์กรให้เหลือเฉพาะ Fox News โดยดิสนีย์ยื่นข้อเสนอเป็นเงิน 52.4 พันล้านดอลลาร์ พร้อมกับหุ้นของ Disney จำนวนหนึ่ง ดูเหมือนข้อตกลงจะผ่านไปด้วยดี แต่ Comcast บริษัทโทรคมนาคม เจ้าของ Universal Pictures จะไม่ยอมน้อยหน้าคู่แข่งอย่าง AT&T บริษัทโทรคมนาคมอันดับหนึ่งของอเมริกา ที่ศาลพึ่งจะอนุมัติให้สามารถซื้อ Time Warner บริษัทแม่ของ Warner Bros. ได้ โดย Comcast ยื่นข้อเสนอทับดิสนีย์ ด้วยเงิน 65 พันล้านดอลลาร์ โดยทั้งหมดเป็นเงินสด มาดูกัน Fox จะให้คอนเทนท์มากมายของตัวเองไปอยู่มือใคร
ดีลมีผลต่อดิสนีย์มากๆคือ บริการสตรีมมิ่งใหม่ของดิสนีย์ที่ต้องการคอนเทนท์จำนวนมากมายมหาศาลมาดึงดูดผู้คนให้ไปใช้บริการ ส่วนตัวเชียร์ดิสนีย์ เพราะ Comcast มีUniversal ที่มีเหมือนดิสนีย์เกือบทุกอย่าง แล้วตัว Comcast ยังให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์อีกด้วย มันดูควบกิจการเกินไป (ปล.มันก็ไม่ต่างกับ AT&T กับ Time Warnerป่ะ 55 จริงๆ ไม่ต้องมีเหตุผลก็ได้ เพราะเป็นแฟนดิสนีย์ ก็ต้องเชียร์ดิสนีย์อยู่แล้ว)
ดีลนี้มีผลต่อนี้การอยู่ของ CEO คนล่าสุด Bob Iger เบื้องหลังความประสบความสำเร็จของดิสนีย์ยุคนี้และผู้ฉุดดิสนีย์ขึ้นมาจากยุคมืด คือ Bob Iger มีสัญญากับดิสนีย์ถึงปี 2019 แต่ถ้าดิสนีย์ซื้อ Fox สำเร็จ Iger จะต้องอยู่ดูแลดิสนีย์ที่ใหญ่ขึ้นไปต่อจนถึงปี 2021 แต่ถ้าไม่ Iger ก็จะออกตามปกติปี 2019 ได้ข่าวมาว่าที่เจ้าตัวออกจากดิสนีย์ เพราะจะไปเล่นการเมือง ซึ่งเลือกตั้งครั้งหน้าของอเมริกาคือปี 2020นั่นเอง