โหมโรงฟุตบอลโลก 2018 : แมทซ์พลิกล๊อคในความทรงจำ

การแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซียเหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงแล้ว กระแสฟุตบอลโลกครั้งนี้ดูเหงียบเหงากว่าที่ผ่านมา แต่เมื่อกรรมการเป่านกหวีดเปิดสนามความคึกคักจะต้องกลับมา ก่อนการแข่งขันขอส่งให้อ่านเรื่องราวย้อนระลึกถึงแม็ทซ์การแข่งขันที่หักปากกาเซียนในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกตั้งแต่ครั้งที่ได้ติดตามข่าวสารและดูการถ่ายทอดสดเป็นต้นมา พร้อมเกร็ดประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นๆ ฟุตบอลโลกครั้งนี้คงจะมีแมทซ์เซอร์ไพรส์ให้ได้ลุ้นกันอีกอย่างแน่นอน กองผ้าป่าพันทิปเตรียมพร้อม

1.    อาร์เจนตินา 0 : เบลเยี่ยม 1 (สเปน  1982)

ฟุตบอลโลกครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เพิ่มจำนวนทีมจาก 16 ทีมเป็น 24 ทีม ทีมอันดับหนึ่งและสองจะผ่านเข้ารอบสอง ซึ่งแบ่งเป็น 4 กลุ่มๆละ 3 ทีม ทีมอันดับหนึ่งแต่ละกลุ่มของรอบสองจะผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ มีการถ่ายทอดสดเฉพาะนัดเปิดสนาม, รองชนะเลิศ และชิงชนะเลิศในประเทศไทย ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาดูไฮไลท์ผลการแข่งขันทางทีวี

ในพิธีการจับฉลากแบ่งสายเดือนมกราคมปีนั้นเกิดความสับสนเล็กน้อยเมื่อเบลเยี่ยมถูกจับได้เป็นชาติแรกตามด้วยสก็อตแลนด์จะต้องไปอยู่ในกลุ่มที่มีอาร์เจนตินาและบราซิลเป็นทีมวางก่อนตามลำดับทันที เพื่อไม่ให้ฃิลีและเปรูทีมจากอเมริกาใต้ด้วยกันที่อยู่ในโถเดียวกันไปอยู่ในสองกลุ่มนั้น แต่เซฟ แบล๊ตเตอร์ ผู้บริหารฟีฟ่าที่ดำเนินการวันนั้นกลับทำผิดพลาดจับสลากใส่เบลเยี่ยมในกลุ่มของอิตาลี และสก๊อตแลนด์ในกลุ่มอาร์เจนตินา แต่ในที่สุดก็มีการทักท้วงแก้ไขกลับมาให้ถูกต้อง


BELGICA = BELGIUM, ESCOCIA = SCOTLAND

คู่เปิดสนามแข่งขันกันที่สนามคัมป์นู ของทีมบาร์เซโลนา ครั้งนั้นอาร์เจนตินาหวังลึกๆว่า พวกเขาจะเป็นทีมที่ 2 ของโลก ที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกนอกทวีปได้สำเร็จต่อจากบราซิล เนื่องจากยังมี เซซาร์ หลุยส์ เเมน็อตติ “กุนซือสิงห์อมควัน” คุมทีมอยู่พร้อมด้วยผู้เล่นหลักจากชุดแชมป์โลก นำโดย กัปตันทีม ดาเนี่ยล พาสซาเรลล่า, มาริโอ เคมเปส. ออสวัลโด้ อาดิเลส และผู้รักษาประตู ฟิลลอน แถมยังมีเจ้าหนูมหัศจรรย์ "ดีเอโก้ มาราโดน่า" ที่พาทีมอาร์เจนตินาคว้าแชมป์โลกเยาวชนโลก U20 ปี 1979 เข้าร่วมทีมเป็นครั้งแรก และที่สำคัญคือมาราโดน่าเองเพิ่งเซ็นสัญญาย้ายทีมจากโบคา จูเนียส์ มาอยู่กับบาร์เซโลนาก่อนฟุตบอลโลกไม่นานด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลกในยุคนั้น 5 ล้านปอนด์ (7.6 ล้านดอลล่าร์) เกมนัดเปิดสนามจึงเหมือนการเปิดตัวมาราโดน่าต่อหน้าชาวคาตาลันที่กระหายจะดูฝีเท้านักเตะค่าตัวสูงสุดของโลก แต่มาราโดน่ากลับโชว์ฟอร์มไม่ได้ตามที่คาด การแข่งขันเกิดการพลิกล็อกขึ้น เมื่อเจอแผนของ กีส์ ไทส์ กุนซือของเบลเยี่ยม ที่สั่งลูกทีมจับตายมาราโดน่าไม่ให้ทำเกมได้ถนัด บวกกับแผนกับดักล้ำหน้า ในครึ่งหลัง เออร์วิน ฟานเดนเบิร์ก ก็กลายเป็นนักเตะที่ทำประตูแรกของการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนั้น ซึ่งเป็นการหยุดสถิติเสมอ 0-0 ในนัดเปิดสนามฟุตบอลโลกตลอดสี่ครั้งก่อนหน้านั้นนับตั้งแต่ปี 1962 ลงได้สำเร็จ แล้วเบลเยี่ยมก็เฉือนชนะไปด้วยประตูนี้เอง ทำให้ทีมฟ้าขาวกลายเป็นแชมป์เก่าทีมแรกที่ต้องพ่ายในการลงแข่งนัดเปิดสนามฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ตั้งแต่มีการจัดให้แชมป์เก่าเล่นเป็นคู่เปิดสนามในฟุตบอลโลก 1974 เป็นต้นมา

มาราโดนาลงเล่นให้อาร์เจนตินาทั้ง 5 แมทซ์ โดยไม่ถูกเปลี่ยนตัวออก ทำได้สองประตูกับฮังการี เขาถูกทำฟาวส์โดยคู่แข่งครั้งแล้วครั้งเล่า ในนัดสุดท้ายกับบราซิล ในขณะที่ทีมโดนนำไป 0-3 เขาควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ทำฟาวส์อย่างรุนแรงใส่ผู้เล่นบราซิลโดนใบแดงไล่ออกจากสนามก่อนหมดเวลา 5 นาที เป็นการจบฟุตบอลโลกครั้งแรกที่ไม่สวยงาม อีก 4 ปีถัดมา เขาได้โชว์ความเทพ จนสามสามารถแบกทีม "ฟ้า-ขาว" ผงาดสู่บัลลังก์แชมป์โลกอย่างยิ่งใหญ่ในฟุตบอลโลก 1986 ที่ เม็กซิโก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลงานในเกมดับทีมชาติอังกฤษ ที่มีทั้ง "หัตถ์พระเจ้า" และการเลี้ยงเดี่ยวเข้าไปทำประตูที่ถูกยกย่องว่าสุดยอดในประวัติศาสตร์การแข่งขันฟุตบอลโลก


ภาพสุดคลาสิคของฟุตบอลโลก 1982 มาราโดน่าครองบอลด้วยเท้าซ้าย เผชิญหน้ากับกำแพงนักเตะเบลเยี่ยมถึง 6 คน

ด้านทีมสิงโตคำราม อังกฤษ ขวัญใจมหาชนชาวไทย ถูกจับให้เป็นทีมวางท่ามกลางการทักท้วงจากหลายชาติ ทั้งๆที่ไม่ได้เข้าร่วมฟุตบอลโลกสองครั้งสุดท้ายและเข้ารอบมาได้อย่างหวุดหวิดในนัดสุดท้าย นอยแบเกอร์ รองประธานฟีฟ่ายอมรับว่าสเปนต้องการให้อังกฤษเล่นที่บิลเบาเพื่อการรักษาความปลอดภัยจากแฟนบอลอังกฤษ แต่รอน กรีนวู๊ด ผจก ทีมอังกฤษกลับมองว่าอังกฤษได้รับเกียรติจากการเคยได้แชมป์มาก่อน ซึ่งทีมวางที่เหลืออีก 5 ทีมได้แก่ สเปน เจ้าภาพ, อาร์เจนตินา แชมป์เก่า, บราซิล, เยอรมันตะวันตก และอิตาลี  อังกฤษเริ่มต้นรอบแรกอย่างสวยงามด้วยชัยชนะ 3 นัดรวด "ไบรอัน ร็อบสัน" สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการยิงประตูเร็วที่สุดอันดับ 4 ของฟุตบอลโลก โดยใช้เวลาแค่ 27 วินาทีในเกมแรกที่ชนะฝรั่งเศส 3-1 ทำให้พวกเขาเข้ารอบเป็นที่ 1 ของสาย ส่วนอันดับหนึ่งประตูเร็วที่สุดเป็นของ ฮาคาน ซูเคอร์ ใช้เวลาเพียง 11 วินาทีในนัดชิงที่สามฟุตบอลโลก 2002 ในรอบ 2 อังกฤษเสมอทั้ง 2 นัด กับ เยอรมันตะวันตก และ สเปน เจ้าภาพ จึงต้องประสบชะตากรรมเดียวกับ แคเมอรูน ที่ต้องตกรอบแรกจากการเสมอสามนัดไม่แพ้ใครเลย อังกฤษจึงเป็นอีกทีมนอกจากอิตาลี แชมป์โลกที่ไม่แพ้ใครในฟุตบอลโลกครั้งนั้น สิ่งที่น่าประทับใจอีกอย่างคือเสื้อทีมเหย้าสีธงชาติที่อยากให้อังกฤษย้อนกลับมาใช้ใหม่ เป็นเสื้อทีมชาติอังกฤษที่สวยสุดโปรดที่สุดจากที่เคยเห็น


ทีมชาติอังกฤษ ฟุตบอลโลก 1982

2.    เยอรมันตะวันตก 1 : แอลจีเรีย 2 (สเปน  1982)

ฟุตบอลโลกครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เพิ่มจำนวนทีมจาก 16 ทีมเป็น 24 ทีม ในรอบสองแบ่งเป็น 4 กลุ่มๆละ 3 ทีม ทีมอันดับหนึ่งแต่ละกลุ่มจะผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ มีการถ่ายทอดสดเฉพาะนัดเปิดสนาม, รองชนะเลิศ และชิงชนะเลิศในประเทศไทย ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาดูไฮไลท์ผลการแข่งขันทางทีวี
รอบแรก นัดแรกของทั้งสองทีม คงไม่มีใครทำนายว่า ทีมแอลจีเรียจากแอฟริกาที่เข้ามาเล่นรอบสุดท้ายครั้งแรกจะชนะหรือแม้แต่เสมอมหาอำนาจลูกหนังอย่างเยอรมันตะวันตกที่มีศักดิ์ศรีเป็นถึงแชมป์ยุโรปครั้งล่าสุดปี 1980 โดยมีคาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปสองปีซ้อน (1980-1981) เป็นกัปตันทีม แต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อแอลจีเรียเป็นฝ่ายออกนำไปก่อนในช่วงต้นครึ่งหลัง 1-0 โดย มาดเจอ แม้ว่าเยอรมันฯจะไล่ตีเสมอได้เป็น 1-1 โดยรุมเมนิเก้ แต่ดีใจได้เพียงแค่นาทีเดียวก็ถูกแอลจีเรียยิงประตูนำอีกครั้งเป็น 2-1และเป็นประตูชัยจากการวิ่งเข้าชาร์ตหน้าประตูของ ลักดาร์ เบลลูมี่ ผู้ซึ่งเคยถูกทาบทามจากหลายสโมสรของยุโรปรวมทั้งบาเซโลนาก่อนปี 1982 แต่กฎหมายแอลจีเรียห้ามนักเตะอายุต่ำกว่า 27 ออกไปค้าแข้ง แมทซ์นั้นถูกนับเป็นการพลิกล็อคอย่างมโหฬารที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย


ประตูแรกของแอลจีเรีย โดย มาดเจอ

นัดที่สอง แอลจีเรียพลาดท่าให้กับออสเตรีย 0-2 และเยอรมันฯกลับมาคืนฟอร์มถล่มชิลี 4-1 เกมสุดท้ายของกลุ่มครั้งนั้นต่างจากครั้งก่อนๆ กำหนดเวลาการแข่งขันไม่พร้อมกัน แอลจีเรียเอาชนะชิลี 3-2 ไปได้ก่อนล่วงหน้าหนึ่งวัน ทำให้เยอรมันฯตกที่นั่งลำบาก เพราะจะต้องเอาชนะออสเตรียในนัดสุดท้ายเท่านั้น และผลการแข่งขัน เยอรมันฯเฉือนชนะออสเตรีย 1-0 ทำให้เยอรมันฯและออสเตรีย ผ่านเข้ารอบ 2 เพราะประตูได้เสียดีกว่าแอลจีเรียที่มี 4 คะแนนเท่ากัน แอลจีเรียต้องตกรอบไปอย่างเจ็บช้ำใจ เยอรมันฯเป็นทีมที่เคยได้แชมป์โลกทีมเดียวที่ยังไม่เคยตกรอบแรก ถึงแม้ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าทั้งเยอรมันฯและออสเตรียตกลงผลการแข่งขันไว้ล่วงหน้า แต่พฤติกรรมในสนามของทั้งสองทีมแสดงออกเช่นนั้น หลังจากที่ ฮอสท์ ฮูร์เบสช์ ยิงให้เยอรมันฯออกนำไป 1-0 ต่อจากนั้นทั้ง 2 ทีม ต่างพยายามเล่นเพื่อรักษาสกอร์ เพราะผลการแข่งขัน 1-0 ก็เพียงพอที่จะให้ทั้ง 2 ทีมผ่านเข้ารอบไป ในสนามมีเสียงเชียร์แอลจีเรียและเสียงโห่ของผู้ชม "Fuera, Fuera!" ("Out, Out!") แมทซ์นั้นถูกเรียกว่าเป็นเกมอัปยศ “Disgrace of Gijon” แอลจีเรียได้ยื่นหนังสือประท้วงไปยังฟีฟ่าภายหลังจบการแข่งขันให้ปรับทั้งสองทีมตกรอบแต่ไม่เป็นผล แต่จากผลการแข่งขันนัดนั้น ทำให้ฟีฟ่าต้องออกมาตรการกำหนดให้การแข่งขันนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มตั้งแต่นั้นมา ทุกคู่จะต้องลงเตะในวันและเวลาเดียวกัน

ในเกมรอบรองชนะเลิศเยอรมันฯยังสร้างรอยด่างอีกหนึ่งเรื่อง ในรอบรองชนะเลิศกับฝรั่งเศส โทนี่ ชูมัคเกอร์ ผู้รักษาประตูเยอรมันฯ กระโดดพุ่งเข้าชนกับ พาทริก บาติสตอง กองหลังฝรั่งเศส ฟันหักถึง 3 ซี่ และอาการหนักถึงขั้นต้องนอนรักษาตัวในห้องไอซียูอยู่หลายวัน ชูมัคเกอร์ ได้รับฉายาว่า “นายทวารจอมโหด” ทันที หลังจากการเข้าชาร์จรุนแรงในจังหวะนั้น และภายหลังจากการให้สัมภาษณ์ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สำนึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปเลย เขากลับบอกว่ามันคือ “สิทธิ์” ของผู้รักษาประตูในการป้องกันตัวเอง


จังหวะการปะทะของชูมัคเกอร์ ทำให้บาติสตองลงไปนอนแน่นิ่ง

.....ต่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่