iStories : [L]GBT – L
Director : Nattawut Poonpiriya
Production : Houseton
ชอบงาน production design มากๆ ชอบการใช้ shot ในการสื่อความหมายต่างๆ symbolic ต่างๆ ที่เลือกใช้ ทุกๆ อย่างคือมันออกมาดีมากๆ แถมยังเป็นการสรุป theme หนังเช็ตนี้ที่ชัดเจนที่สุดอีกด้วย
หลังจากที่ได้ดูครบทุกเรื่อง ส่วนตัวเราคิดว่า iStories เป็นหนังสั้น 4 เรื่องที่ถูกเล่าเหมือนๆ กันด้วย theme “หากไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง ว่าใช่หรือไม่ใช่” เพราะแบบนั้น เรื่องนี้จึงเป็นเหมือนบทสรุปของทุกๆ เรื่อง ว่าบางทีสิ่งที่เราคิด สิ่งที่สังคมกำหนดมา มันอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่นั่นก็อาจไม่ได้หมายความว่าเป็นสิ่งที่ใช่สำหรับเรา เพราะในท้ายที่สุด เราก็ต้องเลือกเดินตามเส้นทางของหัวใจตัวเองอยู่ดี
ว๊าวกับการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้มากๆ แอบมีการผลิกโผหลายรอบ หลอกเราได้อยู่จริงๆ ระหว่างดำเนินเรื่องไป ก็ไม่รู้ว่าหนังจะจบแบบไหน ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้จะเป็นทิศทางไหนกันแน่ ในเมื่อมันเล่นกับความอิสระทางความคิด (หรืออย่าง scene ที่ตัวละคร I เลือกที่จะบอกความจริงมากกว่าจะเก็บไว้เหมือนคนอื่นๆ ซึ่งการกระทำนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรอก แต่ความรู้สึกลึกๆ มันบอกว่าควรจะทำ)
ชอบพาร์ท dialogue ที่เกิดขึ้นภายในห้องพักนักแสดงมากๆ คือมันเป็นความ surreal บนความ real ที่เจ๋งมากๆ ที่เลือกสร้างความสนิทของตัวละครด้วยการเปลี่ยนจากคำพูดแค่ “กิน” เป็น “-” ก็ทำให้สนิทได้แล้ว ซึ่งในชีวิตจริงเรามันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ นะ แรกๆ สมัยยังไม่สนิทกัน เรายังคงใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ผม เรา” แต่สนิทกันเท่านั้นแหละ “กู” ทันทีเลย ซึ่งตรงนี้เรา touch มันมากๆ เพราะเราก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้สนิทกับใครมาก แต่พอเริ่มเปลี่ยนสรรพนามในการคุย จะเริ่มรู้สึกว่ามันสนิทขึ้น แล้วคุยได้สบายใจขึ้นจริงๆ
เรารู้สึกอิ่มกับพาร์ทนี้ที่สุดแล้วล่ะ ทุกอย่างมันลงล็อคและเล่าเรื่องได้อย่างพอดีมากจริงๆ
FB Page:
https://www.Facebook.com/23SCENES
[SR] Spoiler Alert | Series Review : i Stories [L]GBT - L
iStories : [L]GBT – L
Director : Nattawut Poonpiriya
Production : Houseton
ชอบงาน production design มากๆ ชอบการใช้ shot ในการสื่อความหมายต่างๆ symbolic ต่างๆ ที่เลือกใช้ ทุกๆ อย่างคือมันออกมาดีมากๆ แถมยังเป็นการสรุป theme หนังเช็ตนี้ที่ชัดเจนที่สุดอีกด้วย
หลังจากที่ได้ดูครบทุกเรื่อง ส่วนตัวเราคิดว่า iStories เป็นหนังสั้น 4 เรื่องที่ถูกเล่าเหมือนๆ กันด้วย theme “หากไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง ว่าใช่หรือไม่ใช่” เพราะแบบนั้น เรื่องนี้จึงเป็นเหมือนบทสรุปของทุกๆ เรื่อง ว่าบางทีสิ่งที่เราคิด สิ่งที่สังคมกำหนดมา มันอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่นั่นก็อาจไม่ได้หมายความว่าเป็นสิ่งที่ใช่สำหรับเรา เพราะในท้ายที่สุด เราก็ต้องเลือกเดินตามเส้นทางของหัวใจตัวเองอยู่ดี
ว๊าวกับการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้มากๆ แอบมีการผลิกโผหลายรอบ หลอกเราได้อยู่จริงๆ ระหว่างดำเนินเรื่องไป ก็ไม่รู้ว่าหนังจะจบแบบไหน ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้จะเป็นทิศทางไหนกันแน่ ในเมื่อมันเล่นกับความอิสระทางความคิด (หรืออย่าง scene ที่ตัวละคร I เลือกที่จะบอกความจริงมากกว่าจะเก็บไว้เหมือนคนอื่นๆ ซึ่งการกระทำนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรอก แต่ความรู้สึกลึกๆ มันบอกว่าควรจะทำ)
ชอบพาร์ท dialogue ที่เกิดขึ้นภายในห้องพักนักแสดงมากๆ คือมันเป็นความ surreal บนความ real ที่เจ๋งมากๆ ที่เลือกสร้างความสนิทของตัวละครด้วยการเปลี่ยนจากคำพูดแค่ “กิน” เป็น “-” ก็ทำให้สนิทได้แล้ว ซึ่งในชีวิตจริงเรามันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ นะ แรกๆ สมัยยังไม่สนิทกัน เรายังคงใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ผม เรา” แต่สนิทกันเท่านั้นแหละ “กู” ทันทีเลย ซึ่งตรงนี้เรา touch มันมากๆ เพราะเราก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้สนิทกับใครมาก แต่พอเริ่มเปลี่ยนสรรพนามในการคุย จะเริ่มรู้สึกว่ามันสนิทขึ้น แล้วคุยได้สบายใจขึ้นจริงๆ
เรารู้สึกอิ่มกับพาร์ทนี้ที่สุดแล้วล่ะ ทุกอย่างมันลงล็อคและเล่าเรื่องได้อย่างพอดีมากจริงๆ
FB Page: https://www.Facebook.com/23SCENES
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้