วิธีทำให้ญาติและสาโลหิตของเราที่ล่วงลับ ทำกาละไปแล้ว พึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ พระพุทธเจ้าบอกไว้เอง

กระทู้คำถาม
วิธีทำให้ญาติและสาโลหิตของเราที่ล่วงลับ ทำกาละไปแล้ว พึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ พระพุทธเจ้าบอกไว้เอง คือ ให้เจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา (แม้นเราเป็นฆราวาสก็เอาอย่างทำตามได้ตามแต่กำลังที่ทำได้)

      [๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า ญาติและสาโลหิตของเราเหล่าใด ล่วงลับ
ทำกาละไปแล้ว มีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงอยู่ ความระลึกถึงด้วยจิตอันเลื่อมใส ของญาติและ
สาโลหิตเหล่านั้น พึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่เถิด ดังนี้ ภิกษุนั้นพึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูน
สุญญาคาร.


/////////

[๑๙๙] ดูกรคฤหบดีบุตร มารดาบิดาผู้เป็นทิศเบื้องหน้า อันบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ

_ด้วยตั้งใจไว้ว่าท่านเลี้ยงเรามา เราจักเลี้ยงท่านตอบ ๑
_จักรับทำกิจของท่าน ๑
_จักดำรงวงศ์สกุล ๑
_จักปฏิบัติตนให้เป็นผู้สมควรรับทรัพย์มรดก ๑
_ก็หรือเมื่อท่านละไปแล้ว ทำกาลกิริยาแล้ว จักตามเพิ่มให้ซึ่งทักษิณา ๑

/////////

#ในอีกพระสูตรหนึ่งทรงให้ทำทักขิณา
         [๘๙] บุคคลผู้ไม่ตะหนี่ ควรทำเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
ปรารภถึงบุรพเปตชน(บรรพบุรุษที่ไปเกิดเป็นเปรตวิสัย) /
เทวดาผู้สิงอยู่ในเรือน /
หรือท้าวมหาราชทั้ง ๔ ผู้รักษาโลก ผู้มียศ คือ ท้าวธตรัฐ ๑ ท้าววิรุฬหก ๑ ท้าววิรูปักษ์ ๑ ท้าวกุเวร ๑ / ให้เป็นอารมณ์(*นึกถึง)และพึงให้ทาน(*ทักษิณาทานนี้ที่ท่านเข้าไปตั้งไว้ดีแล้วในสงฆ์)
         ท่านเหล่านั้นเป็นผู้อันบุคคลได้บูชาแล้ว และทายก(*ผู้ให้ทานเอง)ก็ไม่ไร้ผล(*พึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่)
        ความร้องไห้ ความเศร้าโศก หรือความร่ำไห้อย่างอื่น ไม่ควรทำเลย เพราะความร้องไห้เป็นต้นนั้น ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ญาติทั้งหลายคงตั้งอยู่ ตามธรรมดาของตนๆ
       อันทักษิณาทานนี้ที่ท่านเข้าไปตั้งไว้ดีแล้วในสงฆ์ให้แล้ว ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่บุรพเปตชนโดยทันที สิ้นกาลนาน.
-- * คือ ข้อสังเกตของ จขกท.

/////////

(*ทาน ศีล ภาวนา มีอานิสงค์เรียงจากน้อยไปมาก หากต้องการให้ผู้ล่วงลับได้อานิสงค์มาก ก็ต้องทำในส่วนที่มีอานิสงค์มาก)

     ดูกรคฤหบดี เรื่องเคยมีมาแล้ว มีพราหมณ์ชื่อเวลามะ พราหมณ์ผู้นั้นได้ให้ทานเป็นมหาทานอย่างนี้ คือ
*---*ได้ให้ถาดทองเต็มด้วยรูปิยะ ๘๔,๐๐๐ ถาด ถาดรูปิยะเต็มด้วยทอง ๘๔,๐๐๐ ถาด ถาดสำริดเต็มด้วยเงิน ๘๔,๐๐๐ ถาด
*---*ให้ช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือก มีเครื่องประดับล้วนเป็นทอง มีธงทอง คลุมด้วยข่ายทอง
*---*ให้รถ ๘๔,๐๐๐ คัน หุ้มด้วยหนังราชสีห์ หนังเสือโคร่ง หนังเสือเหลือง ผ้ากัมพลเหลือง มีเครื่องประดับล้วนเป็นทอง มีธงทอง คลุมด้วยข่ายทอง
*---*ให้แม่โคนม๘๔,๐๐๐ ตัว มีน้ำนมไหลสะดวก ใช้ภาชนะเงินรองน้ำนม
*---*ให้หญิงสาว ๘๔,๐๐๐ คน ประดับด้วยแก้วมณีและแก้วกุณฑล
*---*ให้บัลลังก์ ๘๔,๐๐๐ ที่ ลาดด้วยผ้าโกเชาว์ ลาดด้วยขนแกะสีขาว เครื่องลาดมีสัณฐานเป็นช่อดอกไม้ มีเครื่องลาดอย่างดีทำด้วยหนังชมด มีเครื่องลาดเพดาน มีหมอนข้างแดงทั้งสอง
*---*ให้ผ้า๘๔,๐๐๐ โกฏิ เป็นผ้าเปลือกไม้ ผ้าแพร ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด
*---*จะป่วยกล่าวไปไยถึงข้าว น้ำ ของเคี้ยว ของบริโภค เครื่องลูบไล้ ที่นอน ไหลไปเหมือนแม่น้ำ

           ดูกรคฤหบดี ก็ท่านพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า สมัยนั้น ผู้อื่นเป็นเวลามพราหมณ์ผู้ที่ให้ทานเป็นมหาทานนั้น
           ดูกรคฤหบดี แต่ท่านไม่ควรเห็นอย่างนี้ สมัยนั้น เราเป็นเวลามพราหมณ์ เราได้ให้ทานนั้นเป็นมหาทาน ก็ในทานนั้นไม่มีใครเป็นพระทักขิเณยยบุคคล ใครๆ ไม่ชำระทักขิณานั้นให้หมดจด (ผู้รับทานทั้งหมดนั้นไม่มีอริยะบุคคลเลย แม้โสดาบันก็ไม่มี มีแค่ปุถุชน)
(***หากแต่ว่า--->>)

(1)ดูกรคฤหบดี ทานที่บุคคลเชื้อเชิญท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิ(โสดาบัน)ผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่เวลามพราหมณ์ให้แล้ว

(*--ขึ้นชื่อว่าทานเป็นการดี แต่ถ้าเรามีทรัพย์จำกัด เราก็ควรเลือกให้ทานกับบุคคลที่มีศีลมีธรรม ซึ่งตามที่พระศาสดาตรัสไว้นี้ สมัยที่พระองค์เป็นเวลามพราหมณ์ ให้ทานจำนวนมากถึงอย่างละ 84000 ปานนั้น คิดเป็นมูลค่ามหาศาล ก็ยังมีผลน้อยกว่า ทานที่บุคคลเชื้อเชิญท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิ (โสดาบันบุคคล ) ผู้เดียวบริโภค
*--แต่อย่างไรก็ตาม อามิสทาน คือ ทานที่เป็นอาหาร ทรัพย์สิ่งของนั้น การให้ทักษิณาทานที่ถวายในสงฆ์  ๗ ประการ ตามที่ระบุไว้ใน คห.3 มีอานิสงค์มากกว่าแม้การให้ทานแบบเจาะจงบุคคล 14 ประการ ตามที่ระบุไว้ใน คห.3 แต่ก็ยังน้อยกว่าสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจากจาตุรทิศ ซึ่งมีอานิสงค์สูงสุดในหมวดทานที่เป็นวัตถุ และเป็นรองสัทธา ศีล สมาธิ ภาวนา ตามลำดับ)

(2)ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิร้อยท่านบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิผู้เดียวบริโภค

(3)ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิร้อยท่านบริโภค

(4)ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีร้อยท่านบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีผู้เดียวบริโภค

(5)ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีร้อยท่านบริโภค

(6)ทานที่บุคคลเชื้อเชิญพระอนาคามีร้อยท่านบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญพระอนาคามีผู้เดียวบริโภค

(7)ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีร้อยท่านบริโภค

(8)ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ร้อยท่านบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ผู้เดียวบริโภค

(9)ทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปเดียวบริโภคมีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ร้อยรูปบริโภค

(10)ทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยรูปบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปเดียวบริโภค

(11)ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยรูปบริโภค

(12)ทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค

(13)การที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจากจาตุรทิศ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค

(14)การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์อันมาจากจาตุรทิศ (สัทธา)

(15)การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ จากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นฐานะแห่งความประมาท มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ  (ศีล)

(16)การที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ (สมาธิ/สมถะภาวนา)

.....ฯ

(17)และการที่บุคคลเจริญอนิจจสัญญาแม้เพียงเวลาลัดนิ้วมือ มีผลมากกว่าการที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม ฯ (ปัญญา/วิปัสสนาภาวนา)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่