สวัสดีทุกคนนะครับ ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกว่าจะมารีวิวการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของผม เห็นช่วงนี้น้องๆ dek61 กำลังเคร่งเครียดกับระบบการสอบที่ถือว่ามีปัญหาพอควร เลยอยากมาเล่าประสบการณ์ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เผื่อไว้เป็นแนวทางให้กับน้องๆ ผู้ปกครอง และคนที่สนใจ
ก่อนอื่นต้องบอกว่าผมเป็นคนกรุงเทพฯ ย่านชานเมือง อาศัยอยู่กับปู่และย่า พ่อและแม่ทะเลาะแล้วก็แยกทางกันไปตั้งแต่ประถม ชีวิตวัยเด็กก็ธรรมดาทั่วๆไป ออกแนวเด็กชนบท วิ่งเล่น ตกปลา ไปเรียนก็เพราะได้เจอเพื่อน ชอบความสนุก ผมโตมาพร้อมกับปัญหามากมาย แต่ขอไม่เล่าในนี้ล่ะกัน มันจะยาวไป ตอนม.ปลาย ก็เรียนสายวิทย์ รร. ธรรมดา ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรเลย ผมเป็นเด็กที่เรียนกลางๆ ทำงานช่วง เสาร์ อาทิตย์ ช่วงปิดเทอม ตั้งแต่ ม. ปลายเลย ผมไม่เคยเรียนพิเศษที่เสียเงิน ส่วนใหญ่จะไปตามที่ติวฟรี พวกแบนด์ ฯ ไม่ใช่ไม่อยากเรียนนะ แต่ตังค์ไม่มี ฮ่าๆ ผมสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ก็ได้หาข้อมูลทางด้านนี้ และตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วแหละ ว่าจะเรียนทางด้านนี้ เพราะสายงานทางด้านนี้ได้ช่วยเหลือคน และเป็นอาชีพที่มั่นคง มีใบประกอบ คงไม่ตกงาน น่าจะเลี้ยงครอบครัวในอนาคตได้ และแน่นอนมหาวิทยาลัยในฝันของผมก็คงเป็น มหิดล ใช่ครับ ไม่ผิดหรอก ผมตั้งใจอยากเข้ามหิดลตั้งแต่แรก แต่ที่ผมต้องตัดสินใจมาอยู่จุฬา ก็เพราะว่า ตอนแอดมิชชั่น หลังจากรู้คะแนนผมก็คำนวณหาคณะ มหาวิทยาลัยที่พอจะเข้าได้บ้าง เพราะเราก็ไม่ได้เก่งขนาดที่จะเข้าได้ทุกที่ พร้อมกับวางแผนการใช้ชีวิต ซึ่งตัวผมเองต้องส่งตัวเองเรียน ทางบ้านไม่สามารถช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายได้เลย ทำให้ตอนนั้นผมค่อนข้างเครียด กังวลกับการเรียนในอนาคตเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเตรียมสอบก็เครียด จะแอดก็เครียด แอดติดก็คงต้องเครียด ซึ่งตอนนั้นเพิ่งรู้ว่าคะแนนก็ถึงจุฬานี่หว่า เริ่มหาข้อมูลมหาวิทยาลัยนี้มากขึ้น ผมตัดสินใจเลือกจุฬาเป็นอันดับแรก เพราะว่าผมคิดว่าถ้าผมเรียนที่นี่ มันน่าจะสะดวกกับผมกว่าในเรื่องของการหารายได้พิเศษ ซึ่งถ้าเรียนมหิดล ต้องไปอยู่หอที่ศาลายา ไกลบ้านไปอีก การทำงานพิเศษน่าจะยากกว่ามาก และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้มาเรียน “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”
ก่อนเรียนค่อนข้างเป็นกังวลกับการใช้ชีวิตในรั้วจุฬามาก หลายคนบอกที่นี่ค่าครองชีพสูง สังคมไฮโซ หรูหรา ผู้คนส่วนใหญ่อีโก้สูง ซึ่งพอมาสัมผัสมันไม่ใช่เลย จริงๆอย่างที่เค้าบอก สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น วันที่มาสัมภาษณ์ พอเหยียบเข้ามาในรั้วมหาลัยคือแบบ ตื่นเต้นมาก จำได้ตอนนั้นจับหน้าอกตัวเองแล้วบอกว่า เข้ามาเรียนในนี้ได้นะเว่ย มหาลัยอันดับต้นของประเทศนะ ต้องจบออกไปให้ได้นะ คือฟิลตอนนั้นแบบเด็กบ้านนอกมาก เดินหาคณะตามที่ตัวเองดูแผนที่ไว้แล้ว เจอรุ่นพี่ เค้าดูแลดีมาก อาจารย์ที่สัมภาษณ์ก็น่ารักมาก ให้คำแนะนำด้านการเรียน การใช้ชีวิต แนะนำดีมากๆ ออกมาจากห้องยังนึกเลยนี่มาสัมภาษณ์เข้ามหาลัยจริงๆหรอว่ะ รุ่นพี่บอกว่าอย่าลืมมา First date นะ ตอนนั้นไม่รู้ว่าคืออะไร (มันคือกิจกรรมแรกที่นิสิตใหม่ทุกคนจะมาทำกิจกรรมรวมกันครั้งแรก) จำได้ว่างานมีหลังจากสัมภาษณ์ไม่กี่วัน ประกาศผลสัมภาษณ์ก็ยังไม่ออก รุ่นพี่บอกว่าผ่านหมดแหละ. เราก็โอเค มาก็มา มาหาเพื่อนใหม่ (คือผมไม่มีเพื่อนเก่ามาเรียนที่นี้สักคนเลย)
วัน First date หลังจากที่ขึ้นรถไฟฟ้า BTS เริ่มเห็นผู้คนใส่เสื้อสีชมพู ตอนลงก็เห็นแต่คนใส่เสื้อสีชมพู ซึ่งตอนนั้นผมใส่ชุด นร. ใช่ครับผมไม่รู้ว่าเค้าใส่เสื้อสีชมพูกัน คือบ้านนอกมาก ตอนนั้นเริ่มไม่สนุกล่ะสิ เอาไงดีว่ะ กลับบ้านดีไหมเนี้ย เพราะเค้าไม่ได้บังคับ แต่ก็เอาว่ะไหนๆก็มาล่ะ ค่ารถไฟก็แสนแพง แพงกว่าค่าข้าวอีก เลยเดินๆตามผู้คนที่ใส่เสื้อชมพูจากสถานีรถไฟไปเรื่อยๆ ตอนนั้นเริ่มแบบเบื่อมาก ไม่สนุกเลย มองไปไหนๆ เหมือนเค้ามากับเพื่อนกันหมด ทุกคนล้วนมีรอยยิ้มที่มองดูจากภายนอก
โครตมีความสุขอ่ะ แต่เรา ณ วินานั้น คือไม่ เริ่มนึกถึงคนพูดต่างๆ นานา ว่าจุฬา ยั้งโน้น ยั้งนี้ เริ่มรู้สึกว่าหรือว่าที่นี่ไม่เหมาะกับเราจริงๆ พอเข้ามารั้วมีพี่ๆตอนรับ พี่เค้าถามว่าเตรียมเสื้อมาเปล่า เราก็บอกว่า “ไม่มีอ่ะครับ” พี่เค้าบอกว่า ในงานมีขายนะ พร้อมกับแนะนำทางไป เมื่อไปถึงบริเวณที่ขายเสื้อคือแบบ เยอะมาก ไอเราก็เดินตั้งแต่ร้านแรก ยันร้านสุดท้าย ถามราคาเสื้อตัวที่คิดว่าน่าจะถูกที่สุด เดินครบก็เสื้อร้านที่ลดราคาตัวล่ะ 100 บาท ซึ่งตอนนั้นมีเงินเหลืออยู่แค่ 200 บาท หลังจากนั้นก็รีบเปลี่ยนให้เข้ากับคนอื่น เดินไปที่เต้นท์ของคณะ แล้วก็เริ่มทำกิจกรรม ภาพแรกที่รู้สึกอึ้งคือ พี่ๆเต้นเก่งมาก บางคนหน้าดูโครตเรียบร้อย แต่เต้นที คือ โอ้ววว สุดๆ แล้วก็มีพี่ๆ CU cheerleader CU coronet จุฬาคฑากร ฯ คือตอนนั้นแบบ ทำไมพี่เค้าโครตสวยเลย ผช ก็โครตหล่อ ตัดภาพมาทีตัวเอง เอิ่มม ดูไม่จืด สุดท้ายกิจกรรมวันนั้นก็จบไปแบบงงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเริ่มมีความสุขไปตอนไหน จากตอนแรกที่เครียด พอรู้ตัวอีกทีก็สนุกไปกับมันซะแล้ว ได้เพื่อนมา 2 คน ฮ่าๆ น้อยช่ะ ใช่ครับคือผมเป็นคนขี้อายนิดๆ ไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่
กิจกรรมต่อมาคือเป็นค่ายของทางคณะ 4 วัน 3 คืน (ถ้าผมจำไม่ผิด) โดยวันแรกปฐมนิเทศ ซึ่งก็เหมือนเดิม ที่ผมเริ่มต้นจากความเบื่อหน่าย คือทางคณะ เชิญผู้ปกครองมาด้วย เพื่อมาให้ข้อมูลต่างๆ แต่ก็เหมือนเดิม ผมต้องมาคนเดียว เพราะปู่กับย่าก็ไม่สะดวกมาด้วย จริงๆกิจกรรมอะไรที่ต้องมีผู้ปกครองผมมักจะต้องมาคนเดียวตลอดอยู่แล้ว แต่ถึงแม้จะหลายครั้ง แต่ยังไม่ชินสักที เฮ้อ ช่วงบ่ายเริ่มทำกิจกรรม พี่ๆพาทัวร์มหาวิทยาลัย คือตอนนั้นรู้สึกชอบบรรยากาศที่ ม. มาก คือต้นไม้เยอะมาก ไม่คิดว่ากลางเมืองจะรู้สึกร่มรื่นขนาดนี้ ตึก อาคารก็ดูโบราณๆ โมเดิร์นๆ ปนๆกันไป ซึ่งดูลงตัวดี ตลอดค่ายก็ได้รู้จักเพื่อนๆ พี่ๆ มากมาย ขอไม่ลงรายละเอียดมาก มันก็คือค่ายสร้างความสัมพันธ์ที่ดีอย่างนึง แล้วก็เริ่มหลงรักที่นี้เข้าไปอีก
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆอีก เช่น การถวายสัตย์ปฏิญาณ (ที่มีดราม่า อ่ะแหละ ) ซึ่งผมไม่ได้เข้าเนื่องจาก ช่วงนั้นทำงาน กิจกรรมบ้านรับน้อง ที่จะได้รู้จักเพื่อนๆต่างคณะมากมายๆ คือเค้าจะให้เราลงทะเบียนว่าไปบ้านไหน สามารถลงได้ทั้งเดี่ยวและกลุ่มเลย ซึ่งผมก็ไม่ได้เข้าอีก เพราะต้องทำงาน และผมก็ได้โอกาสมาซ้อมกีฬา คือฟุตบอล เพราะต้องเตรียมแข่งในกีฬาเฟรชชี่ ซึ่งคณะสายวิทย์สุขภาพคือหาคนเล่นยากมาก คณะผมได้คนมาแบบพอดี เป็นตัวจริงกันหมด ตัวสำรองยืมเพื่อนที่เล่นกีฬาชนิดอื่นๆมา กีฬาเฟรชชี่ก็สนุกมาก ไปเชียร์เพื่อน มีวันใหญ่ตอนพิธีเปิดและปิด ที่มีประกวด ขบวนพาเหรด แสตนเชียร์ เชียร์ลีดเดอร์ ซึ่งคณะผมก็ได้รางวัลติดไม้ติดมือมาบ้าง
มาที่เรื่องการเรียนบ้างดีกว่า ต้องบอกว่า หนักมาก มากจริงๆ กว่าจะปรับตัวได้ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ได้ ผมเรียน 8 โมง ทุกวัน เลิก บ่าย 3 บ่าย 4 หรือ 5 แล้วแต่วัน ได้พักแค่ช่วง เที่ยง มีวันนึงได้พักตอน 10 โมง เรียนเสร็จต้องทบทวนบทเรียนเลย ทำสรุป เพราะผมจะมีเวลาอ่านหนังสือน้อยมาก เพราะต้องสอนพิเศษเกือบทุกเย็น และเสาร์ อาทิตย์ ตอนนั้นเครียดกับการเรียนมาก ผมลืมบอก ผมได้ทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยตั้งแต่เทอมแรกเลย มีสัมภาษณ์ช่วงก่อนเปิดเทอม ซึ่งได้เทอมต่อเทอม ตอนนั้นกลัวถ้าผลการเรียนไม่ดี เทอมถัดไปจะไม่ได้ทุน ผมน่าจะต้องเครียดกว่านี้ เพราะค่าเทอมค่อนข้างแพงเลยทีเดียว ที่เครียดสุดๆเป็นวิชาภาษาอังกฤษ คือเหมือนทุกคนที่นี้ เกิดมาแล้วพูดอังกฤษได้ เรียนไปก็เครียดไป ซึ่งวิชานี้ตัดเกรดรวมกันทั้งมหาวิทยาลัย ข้อดีคือมีบางคณะที่พื้นฐานน่าจะพอๆกับเรา แต่ข้อเสียคือบางคณะทำคะแนนสูงมาก อย่างเช่นคณะแพทย์ มีคนได้เต็มด้วย แถมการสอบยังมีการสอบเขียน essay คือตอนนั้นช๊อคมาก อิ้งตัวแรกก็ต้องเขียนแล้วหรอ แถมมิดเทอม ไฟนอล ก็เขียนคนละแบบกันอีก ตอนนั้นต้องพยายามหนักมาก กลัวไปไม่รอด พยายามไปเข้าเรียนให้ทันทุกคาบ ทุกวิชา มีสายบ้าง ขาดบ้าง มีหลับตอนเลคเชอร์บ้าง แต่พยายามตั้งใจให้มากที่สุด วิชามีควิซ ก็พยายามอ่านมาอย่างดี ตอนทำ lab ก็พยายามตั้งใจ ช่วงสอบอ่านหนังสือหนักมากขึ้น เพื่อนบางคนอ่านทั้งวันทั้งคืน ช่วงนั้นหอสมุดจะเปิด 24 ชม. แต่ผมทำไม่ได้ คือต้องนอนให้พอ พยายามอ่านล่วงหน้า คะแนนมิดเทอมออกมา ก็ค่อนข้างเฟล แต่ก็พอไปต่อได้ทุกวิชา เลยไม่ได้ถอน วิชาไหนคะแนนไม่ดีก็พยายามตั้งใจเรียน อ่านให้หนักขึ้น คือค่อนข้างเหนื่อยมาก บางเวลาก็เริ่มท้อ ไหนจะเรียน ไหนจะสอบ ไหนจะต้องสอนพิเศษ เพราะไม่งั้นก็ไม่มีเงินกิน ใช้จ่ายทั่วไป พยายามประหยัดสุดๆ กินข้าววันล่ะ 2 มื้อ พกขวดกดน้ำในตู้ตลอด แทบไม่เคยซื้อน้ำ นานๆทีจะกินขนม แต่ก็อดทน บอกตัวเองหน้ากระจกตลอดว่า ต้องสู้นะ เพื่ออนาคต เราไม่ได้มีพร้อมเหมือนคนอื่นๆเค้า จบเทอมนึงมาด้วยเกรดเฉลี่ย 2 กว่าๆ ค่อนข้างน้อยมาก เทียบกับเพื่อนๆก็น้อย แต่ผมค่อนข้างภูมิใจนะ ผ่านมาได้ ไม่ติด F ไม่ถอน ถึงแม้จะต่ำกว่าที่ตั้งเป้าไว้ก็ตาม ก็ต้องพยายามมากกว่าเดิม
สำหรับเรื่องทุนการศึกษา สำหรับคนที่มี สำหรับคนที่มีปัญหาทางด้านการเงินไม่ต้องห่วงเลยที่นี่ทุนเยอะมากอย่างเช่น ทุนอุดหนุนการศึกษาของจุฬาฯ ซึ่งจริงๆมีหลายประเภท ทั้งรายเดือน. ค่าเทอม. ส่วนตัวผมเองได้ทุนค่าเทอม 21,000 บาท นอกจากนี้ยังมีทุนจากภายนอกหรือทุนค่าอาหารกลางวันซึ่งถ้าคนไหนมีปัญหาทางด้านการเงินเหมือนผม ทุนการศึกษาก็จะเป็นตัวช่วยที่ดีเลย ไม่ต้องกังวลกับเรื่องค่าเทอม ทางบ้านก็สบายใจ
อาหารการกินในมหาวิทยาลัย อาหารตามโรงอาหารก็จะมีราคาที่ไม่แพงมากประมาณ 20 ถึง 40 บาท แล้วแต่อาหาร ซึ่งคุณภาพกับราคานี้ถือว่าคุ้มมากๆ พนักงานที่ทำงานอยู่รอบๆ มหาวิทยาลัยก็มักจะมาทานอาหารในโรงอาหาร ซึ่งตัวผมเองก็จะกินอาหารในโรงอาหารนี่แหละ. นานๆครั้งถึงจะมีโอกาสได้ไปกินตามสยามหรือห้างต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะไปกินกับเพื่อน
ส่วนในเรื่องของการหารายได้พิเศษ ผมได้สอนพิเศษในลักษณะตัวต่อตัว หรือเป็นกลุ่มย่อย โดยสอนตามฟูดคอร์ด ตามบ้าน และในมหาวิทยาลัยนั่นแหละ ซึ่งรายได้ถือว่าดีเลยทีเดียว เฉลี่ยชั่วโมงละ 250 ถึง 300 บาทโดยส่วนใหญ่ก็จะสอนครั้งละ 2 ชั่วโมง ซึ่งรายได้จากการสอนพิเศษผมก็จะนำมาใช้จ่ายส่วนตัว ค่าข้าว ค่าหอ ค่าเดินทางเวลาไปไหนมาไหนรวมถึงเป็นเงินเก็บเอาไว้ซื้อของที่อยากได้ ซึ่งเงินก็เหลือครับ เหลือพอที่จะส่งไปให้ที่บ้านได้บ้าง
ในส่วนของที่พัก เนื่องจากบ้านผมอยู่ชานเมืองถ้าหากจะต้องเดินทางมหาลัยในทุกๆวันใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ถึง 3 ชั่วโมงซึ่งไม่สะดวกแน่ๆ โดยในเทอมแรกผมได้อาศัยอยู่กับพี่ที่รู้จักคนหนึ่งแถวหมอชิต และในเทอมที่สองผมได้มีโอกาสได้ไปอยู่หอในด้วย ค่าหอจะตกเดือนละ 1800 บาทค่าไฟต่างหาก ซึ่งค่าไฟก็ประมาณ 100 กว่าบาทเท่านั้น สภาพหอค่อนข้างดีเลยมีโต๊ะอ่านหนังสือ เตียง ตู้เสื้อผ้า ตึกที่ผมอยู่เป็นตึกที่มีการรีโนเวทใหม่ สภาพห้องก็ถือว่าใหม่มากๆนะ แต่เทอมถัดไปผมต้องหาที่อยู่ใหม่แล้วเนื่องจากว่าผมเด้งหอครับ คือหอไหนที่จุฬาเนี่ยจะต้องมีการแข่งขันสูงมากในการที่จะเข้ามาอยู่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเด็กต่างจังหวัด ที่จะได้อยู่ อย่างเทอมแรกผมก็ทำเรื่องแต่ก็ไม่ผ่าน. และคนที่อยู่หอก็จะต้องทำเก็บชั่วโมงกิจกรรมของหอ ซึ่งตรงนี้แหละที่ผมไม่ค่อยโอเคเลยเพราะส่วนใหญ่แล้วกิจกรรมจะอยู่วันธรรมดาซึ่งคณะผมเรียนทุกวันหรือเป็นกิจกรรมเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งผมก็ต้องทำงานเลยไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมเลย. และผมก็เด้งหอในที่สุดซึ่งจะว่าไปก็มีแค่เรื่องหอนี่แหละที่ผมรู้สึกว่าไม่โอเค
ปล.พิมต่อไม่ได้แล้ว เดี่ยวผมต่อในคอมเม้นล่ะกันครับ
[รีวิว] 1 ปี ในรั้วจุฬาฯ ฉบับเด็กจนๆ คนหนึ่ง
สวัสดีทุกคนนะครับ ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกว่าจะมารีวิวการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของผม เห็นช่วงนี้น้องๆ dek61 กำลังเคร่งเครียดกับระบบการสอบที่ถือว่ามีปัญหาพอควร เลยอยากมาเล่าประสบการณ์ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เผื่อไว้เป็นแนวทางให้กับน้องๆ ผู้ปกครอง และคนที่สนใจ
ก่อนอื่นต้องบอกว่าผมเป็นคนกรุงเทพฯ ย่านชานเมือง อาศัยอยู่กับปู่และย่า พ่อและแม่ทะเลาะแล้วก็แยกทางกันไปตั้งแต่ประถม ชีวิตวัยเด็กก็ธรรมดาทั่วๆไป ออกแนวเด็กชนบท วิ่งเล่น ตกปลา ไปเรียนก็เพราะได้เจอเพื่อน ชอบความสนุก ผมโตมาพร้อมกับปัญหามากมาย แต่ขอไม่เล่าในนี้ล่ะกัน มันจะยาวไป ตอนม.ปลาย ก็เรียนสายวิทย์ รร. ธรรมดา ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรเลย ผมเป็นเด็กที่เรียนกลางๆ ทำงานช่วง เสาร์ อาทิตย์ ช่วงปิดเทอม ตั้งแต่ ม. ปลายเลย ผมไม่เคยเรียนพิเศษที่เสียเงิน ส่วนใหญ่จะไปตามที่ติวฟรี พวกแบนด์ ฯ ไม่ใช่ไม่อยากเรียนนะ แต่ตังค์ไม่มี ฮ่าๆ ผมสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ก็ได้หาข้อมูลทางด้านนี้ และตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วแหละ ว่าจะเรียนทางด้านนี้ เพราะสายงานทางด้านนี้ได้ช่วยเหลือคน และเป็นอาชีพที่มั่นคง มีใบประกอบ คงไม่ตกงาน น่าจะเลี้ยงครอบครัวในอนาคตได้ และแน่นอนมหาวิทยาลัยในฝันของผมก็คงเป็น มหิดล ใช่ครับ ไม่ผิดหรอก ผมตั้งใจอยากเข้ามหิดลตั้งแต่แรก แต่ที่ผมต้องตัดสินใจมาอยู่จุฬา ก็เพราะว่า ตอนแอดมิชชั่น หลังจากรู้คะแนนผมก็คำนวณหาคณะ มหาวิทยาลัยที่พอจะเข้าได้บ้าง เพราะเราก็ไม่ได้เก่งขนาดที่จะเข้าได้ทุกที่ พร้อมกับวางแผนการใช้ชีวิต ซึ่งตัวผมเองต้องส่งตัวเองเรียน ทางบ้านไม่สามารถช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายได้เลย ทำให้ตอนนั้นผมค่อนข้างเครียด กังวลกับการเรียนในอนาคตเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเตรียมสอบก็เครียด จะแอดก็เครียด แอดติดก็คงต้องเครียด ซึ่งตอนนั้นเพิ่งรู้ว่าคะแนนก็ถึงจุฬานี่หว่า เริ่มหาข้อมูลมหาวิทยาลัยนี้มากขึ้น ผมตัดสินใจเลือกจุฬาเป็นอันดับแรก เพราะว่าผมคิดว่าถ้าผมเรียนที่นี่ มันน่าจะสะดวกกับผมกว่าในเรื่องของการหารายได้พิเศษ ซึ่งถ้าเรียนมหิดล ต้องไปอยู่หอที่ศาลายา ไกลบ้านไปอีก การทำงานพิเศษน่าจะยากกว่ามาก และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้มาเรียน “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”
ก่อนเรียนค่อนข้างเป็นกังวลกับการใช้ชีวิตในรั้วจุฬามาก หลายคนบอกที่นี่ค่าครองชีพสูง สังคมไฮโซ หรูหรา ผู้คนส่วนใหญ่อีโก้สูง ซึ่งพอมาสัมผัสมันไม่ใช่เลย จริงๆอย่างที่เค้าบอก สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น วันที่มาสัมภาษณ์ พอเหยียบเข้ามาในรั้วมหาลัยคือแบบ ตื่นเต้นมาก จำได้ตอนนั้นจับหน้าอกตัวเองแล้วบอกว่า เข้ามาเรียนในนี้ได้นะเว่ย มหาลัยอันดับต้นของประเทศนะ ต้องจบออกไปให้ได้นะ คือฟิลตอนนั้นแบบเด็กบ้านนอกมาก เดินหาคณะตามที่ตัวเองดูแผนที่ไว้แล้ว เจอรุ่นพี่ เค้าดูแลดีมาก อาจารย์ที่สัมภาษณ์ก็น่ารักมาก ให้คำแนะนำด้านการเรียน การใช้ชีวิต แนะนำดีมากๆ ออกมาจากห้องยังนึกเลยนี่มาสัมภาษณ์เข้ามหาลัยจริงๆหรอว่ะ รุ่นพี่บอกว่าอย่าลืมมา First date นะ ตอนนั้นไม่รู้ว่าคืออะไร (มันคือกิจกรรมแรกที่นิสิตใหม่ทุกคนจะมาทำกิจกรรมรวมกันครั้งแรก) จำได้ว่างานมีหลังจากสัมภาษณ์ไม่กี่วัน ประกาศผลสัมภาษณ์ก็ยังไม่ออก รุ่นพี่บอกว่าผ่านหมดแหละ. เราก็โอเค มาก็มา มาหาเพื่อนใหม่ (คือผมไม่มีเพื่อนเก่ามาเรียนที่นี้สักคนเลย)
วัน First date หลังจากที่ขึ้นรถไฟฟ้า BTS เริ่มเห็นผู้คนใส่เสื้อสีชมพู ตอนลงก็เห็นแต่คนใส่เสื้อสีชมพู ซึ่งตอนนั้นผมใส่ชุด นร. ใช่ครับผมไม่รู้ว่าเค้าใส่เสื้อสีชมพูกัน คือบ้านนอกมาก ตอนนั้นเริ่มไม่สนุกล่ะสิ เอาไงดีว่ะ กลับบ้านดีไหมเนี้ย เพราะเค้าไม่ได้บังคับ แต่ก็เอาว่ะไหนๆก็มาล่ะ ค่ารถไฟก็แสนแพง แพงกว่าค่าข้าวอีก เลยเดินๆตามผู้คนที่ใส่เสื้อชมพูจากสถานีรถไฟไปเรื่อยๆ ตอนนั้นเริ่มแบบเบื่อมาก ไม่สนุกเลย มองไปไหนๆ เหมือนเค้ามากับเพื่อนกันหมด ทุกคนล้วนมีรอยยิ้มที่มองดูจากภายนอกโครตมีความสุขอ่ะ แต่เรา ณ วินานั้น คือไม่ เริ่มนึกถึงคนพูดต่างๆ นานา ว่าจุฬา ยั้งโน้น ยั้งนี้ เริ่มรู้สึกว่าหรือว่าที่นี่ไม่เหมาะกับเราจริงๆ พอเข้ามารั้วมีพี่ๆตอนรับ พี่เค้าถามว่าเตรียมเสื้อมาเปล่า เราก็บอกว่า “ไม่มีอ่ะครับ” พี่เค้าบอกว่า ในงานมีขายนะ พร้อมกับแนะนำทางไป เมื่อไปถึงบริเวณที่ขายเสื้อคือแบบ เยอะมาก ไอเราก็เดินตั้งแต่ร้านแรก ยันร้านสุดท้าย ถามราคาเสื้อตัวที่คิดว่าน่าจะถูกที่สุด เดินครบก็เสื้อร้านที่ลดราคาตัวล่ะ 100 บาท ซึ่งตอนนั้นมีเงินเหลืออยู่แค่ 200 บาท หลังจากนั้นก็รีบเปลี่ยนให้เข้ากับคนอื่น เดินไปที่เต้นท์ของคณะ แล้วก็เริ่มทำกิจกรรม ภาพแรกที่รู้สึกอึ้งคือ พี่ๆเต้นเก่งมาก บางคนหน้าดูโครตเรียบร้อย แต่เต้นที คือ โอ้ววว สุดๆ แล้วก็มีพี่ๆ CU cheerleader CU coronet จุฬาคฑากร ฯ คือตอนนั้นแบบ ทำไมพี่เค้าโครตสวยเลย ผช ก็โครตหล่อ ตัดภาพมาทีตัวเอง เอิ่มม ดูไม่จืด สุดท้ายกิจกรรมวันนั้นก็จบไปแบบงงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเริ่มมีความสุขไปตอนไหน จากตอนแรกที่เครียด พอรู้ตัวอีกทีก็สนุกไปกับมันซะแล้ว ได้เพื่อนมา 2 คน ฮ่าๆ น้อยช่ะ ใช่ครับคือผมเป็นคนขี้อายนิดๆ ไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่
กิจกรรมต่อมาคือเป็นค่ายของทางคณะ 4 วัน 3 คืน (ถ้าผมจำไม่ผิด) โดยวันแรกปฐมนิเทศ ซึ่งก็เหมือนเดิม ที่ผมเริ่มต้นจากความเบื่อหน่าย คือทางคณะ เชิญผู้ปกครองมาด้วย เพื่อมาให้ข้อมูลต่างๆ แต่ก็เหมือนเดิม ผมต้องมาคนเดียว เพราะปู่กับย่าก็ไม่สะดวกมาด้วย จริงๆกิจกรรมอะไรที่ต้องมีผู้ปกครองผมมักจะต้องมาคนเดียวตลอดอยู่แล้ว แต่ถึงแม้จะหลายครั้ง แต่ยังไม่ชินสักที เฮ้อ ช่วงบ่ายเริ่มทำกิจกรรม พี่ๆพาทัวร์มหาวิทยาลัย คือตอนนั้นรู้สึกชอบบรรยากาศที่ ม. มาก คือต้นไม้เยอะมาก ไม่คิดว่ากลางเมืองจะรู้สึกร่มรื่นขนาดนี้ ตึก อาคารก็ดูโบราณๆ โมเดิร์นๆ ปนๆกันไป ซึ่งดูลงตัวดี ตลอดค่ายก็ได้รู้จักเพื่อนๆ พี่ๆ มากมาย ขอไม่ลงรายละเอียดมาก มันก็คือค่ายสร้างความสัมพันธ์ที่ดีอย่างนึง แล้วก็เริ่มหลงรักที่นี้เข้าไปอีก
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆอีก เช่น การถวายสัตย์ปฏิญาณ (ที่มีดราม่า อ่ะแหละ ) ซึ่งผมไม่ได้เข้าเนื่องจาก ช่วงนั้นทำงาน กิจกรรมบ้านรับน้อง ที่จะได้รู้จักเพื่อนๆต่างคณะมากมายๆ คือเค้าจะให้เราลงทะเบียนว่าไปบ้านไหน สามารถลงได้ทั้งเดี่ยวและกลุ่มเลย ซึ่งผมก็ไม่ได้เข้าอีก เพราะต้องทำงาน และผมก็ได้โอกาสมาซ้อมกีฬา คือฟุตบอล เพราะต้องเตรียมแข่งในกีฬาเฟรชชี่ ซึ่งคณะสายวิทย์สุขภาพคือหาคนเล่นยากมาก คณะผมได้คนมาแบบพอดี เป็นตัวจริงกันหมด ตัวสำรองยืมเพื่อนที่เล่นกีฬาชนิดอื่นๆมา กีฬาเฟรชชี่ก็สนุกมาก ไปเชียร์เพื่อน มีวันใหญ่ตอนพิธีเปิดและปิด ที่มีประกวด ขบวนพาเหรด แสตนเชียร์ เชียร์ลีดเดอร์ ซึ่งคณะผมก็ได้รางวัลติดไม้ติดมือมาบ้าง
มาที่เรื่องการเรียนบ้างดีกว่า ต้องบอกว่า หนักมาก มากจริงๆ กว่าจะปรับตัวได้ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ได้ ผมเรียน 8 โมง ทุกวัน เลิก บ่าย 3 บ่าย 4 หรือ 5 แล้วแต่วัน ได้พักแค่ช่วง เที่ยง มีวันนึงได้พักตอน 10 โมง เรียนเสร็จต้องทบทวนบทเรียนเลย ทำสรุป เพราะผมจะมีเวลาอ่านหนังสือน้อยมาก เพราะต้องสอนพิเศษเกือบทุกเย็น และเสาร์ อาทิตย์ ตอนนั้นเครียดกับการเรียนมาก ผมลืมบอก ผมได้ทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยตั้งแต่เทอมแรกเลย มีสัมภาษณ์ช่วงก่อนเปิดเทอม ซึ่งได้เทอมต่อเทอม ตอนนั้นกลัวถ้าผลการเรียนไม่ดี เทอมถัดไปจะไม่ได้ทุน ผมน่าจะต้องเครียดกว่านี้ เพราะค่าเทอมค่อนข้างแพงเลยทีเดียว ที่เครียดสุดๆเป็นวิชาภาษาอังกฤษ คือเหมือนทุกคนที่นี้ เกิดมาแล้วพูดอังกฤษได้ เรียนไปก็เครียดไป ซึ่งวิชานี้ตัดเกรดรวมกันทั้งมหาวิทยาลัย ข้อดีคือมีบางคณะที่พื้นฐานน่าจะพอๆกับเรา แต่ข้อเสียคือบางคณะทำคะแนนสูงมาก อย่างเช่นคณะแพทย์ มีคนได้เต็มด้วย แถมการสอบยังมีการสอบเขียน essay คือตอนนั้นช๊อคมาก อิ้งตัวแรกก็ต้องเขียนแล้วหรอ แถมมิดเทอม ไฟนอล ก็เขียนคนละแบบกันอีก ตอนนั้นต้องพยายามหนักมาก กลัวไปไม่รอด พยายามไปเข้าเรียนให้ทันทุกคาบ ทุกวิชา มีสายบ้าง ขาดบ้าง มีหลับตอนเลคเชอร์บ้าง แต่พยายามตั้งใจให้มากที่สุด วิชามีควิซ ก็พยายามอ่านมาอย่างดี ตอนทำ lab ก็พยายามตั้งใจ ช่วงสอบอ่านหนังสือหนักมากขึ้น เพื่อนบางคนอ่านทั้งวันทั้งคืน ช่วงนั้นหอสมุดจะเปิด 24 ชม. แต่ผมทำไม่ได้ คือต้องนอนให้พอ พยายามอ่านล่วงหน้า คะแนนมิดเทอมออกมา ก็ค่อนข้างเฟล แต่ก็พอไปต่อได้ทุกวิชา เลยไม่ได้ถอน วิชาไหนคะแนนไม่ดีก็พยายามตั้งใจเรียน อ่านให้หนักขึ้น คือค่อนข้างเหนื่อยมาก บางเวลาก็เริ่มท้อ ไหนจะเรียน ไหนจะสอบ ไหนจะต้องสอนพิเศษ เพราะไม่งั้นก็ไม่มีเงินกิน ใช้จ่ายทั่วไป พยายามประหยัดสุดๆ กินข้าววันล่ะ 2 มื้อ พกขวดกดน้ำในตู้ตลอด แทบไม่เคยซื้อน้ำ นานๆทีจะกินขนม แต่ก็อดทน บอกตัวเองหน้ากระจกตลอดว่า ต้องสู้นะ เพื่ออนาคต เราไม่ได้มีพร้อมเหมือนคนอื่นๆเค้า จบเทอมนึงมาด้วยเกรดเฉลี่ย 2 กว่าๆ ค่อนข้างน้อยมาก เทียบกับเพื่อนๆก็น้อย แต่ผมค่อนข้างภูมิใจนะ ผ่านมาได้ ไม่ติด F ไม่ถอน ถึงแม้จะต่ำกว่าที่ตั้งเป้าไว้ก็ตาม ก็ต้องพยายามมากกว่าเดิม
สำหรับเรื่องทุนการศึกษา สำหรับคนที่มี สำหรับคนที่มีปัญหาทางด้านการเงินไม่ต้องห่วงเลยที่นี่ทุนเยอะมากอย่างเช่น ทุนอุดหนุนการศึกษาของจุฬาฯ ซึ่งจริงๆมีหลายประเภท ทั้งรายเดือน. ค่าเทอม. ส่วนตัวผมเองได้ทุนค่าเทอม 21,000 บาท นอกจากนี้ยังมีทุนจากภายนอกหรือทุนค่าอาหารกลางวันซึ่งถ้าคนไหนมีปัญหาทางด้านการเงินเหมือนผม ทุนการศึกษาก็จะเป็นตัวช่วยที่ดีเลย ไม่ต้องกังวลกับเรื่องค่าเทอม ทางบ้านก็สบายใจ
อาหารการกินในมหาวิทยาลัย อาหารตามโรงอาหารก็จะมีราคาที่ไม่แพงมากประมาณ 20 ถึง 40 บาท แล้วแต่อาหาร ซึ่งคุณภาพกับราคานี้ถือว่าคุ้มมากๆ พนักงานที่ทำงานอยู่รอบๆ มหาวิทยาลัยก็มักจะมาทานอาหารในโรงอาหาร ซึ่งตัวผมเองก็จะกินอาหารในโรงอาหารนี่แหละ. นานๆครั้งถึงจะมีโอกาสได้ไปกินตามสยามหรือห้างต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะไปกินกับเพื่อน
ส่วนในเรื่องของการหารายได้พิเศษ ผมได้สอนพิเศษในลักษณะตัวต่อตัว หรือเป็นกลุ่มย่อย โดยสอนตามฟูดคอร์ด ตามบ้าน และในมหาวิทยาลัยนั่นแหละ ซึ่งรายได้ถือว่าดีเลยทีเดียว เฉลี่ยชั่วโมงละ 250 ถึง 300 บาทโดยส่วนใหญ่ก็จะสอนครั้งละ 2 ชั่วโมง ซึ่งรายได้จากการสอนพิเศษผมก็จะนำมาใช้จ่ายส่วนตัว ค่าข้าว ค่าหอ ค่าเดินทางเวลาไปไหนมาไหนรวมถึงเป็นเงินเก็บเอาไว้ซื้อของที่อยากได้ ซึ่งเงินก็เหลือครับ เหลือพอที่จะส่งไปให้ที่บ้านได้บ้าง
ในส่วนของที่พัก เนื่องจากบ้านผมอยู่ชานเมืองถ้าหากจะต้องเดินทางมหาลัยในทุกๆวันใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ถึง 3 ชั่วโมงซึ่งไม่สะดวกแน่ๆ โดยในเทอมแรกผมได้อาศัยอยู่กับพี่ที่รู้จักคนหนึ่งแถวหมอชิต และในเทอมที่สองผมได้มีโอกาสได้ไปอยู่หอในด้วย ค่าหอจะตกเดือนละ 1800 บาทค่าไฟต่างหาก ซึ่งค่าไฟก็ประมาณ 100 กว่าบาทเท่านั้น สภาพหอค่อนข้างดีเลยมีโต๊ะอ่านหนังสือ เตียง ตู้เสื้อผ้า ตึกที่ผมอยู่เป็นตึกที่มีการรีโนเวทใหม่ สภาพห้องก็ถือว่าใหม่มากๆนะ แต่เทอมถัดไปผมต้องหาที่อยู่ใหม่แล้วเนื่องจากว่าผมเด้งหอครับ คือหอไหนที่จุฬาเนี่ยจะต้องมีการแข่งขันสูงมากในการที่จะเข้ามาอยู่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเด็กต่างจังหวัด ที่จะได้อยู่ อย่างเทอมแรกผมก็ทำเรื่องแต่ก็ไม่ผ่าน. และคนที่อยู่หอก็จะต้องทำเก็บชั่วโมงกิจกรรมของหอ ซึ่งตรงนี้แหละที่ผมไม่ค่อยโอเคเลยเพราะส่วนใหญ่แล้วกิจกรรมจะอยู่วันธรรมดาซึ่งคณะผมเรียนทุกวันหรือเป็นกิจกรรมเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งผมก็ต้องทำงานเลยไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมเลย. และผมก็เด้งหอในที่สุดซึ่งจะว่าไปก็มีแค่เรื่องหอนี่แหละที่ผมรู้สึกว่าไม่โอเค
ปล.พิมต่อไม่ได้แล้ว เดี่ยวผมต่อในคอมเม้นล่ะกันครับ