[หนังโรงเรื่องที่ 231] Jurassic World: Fallen Kingdom : สุดยอดของความดูเพลิน แมสแต่เก๋
คะแนนความชอบ : A++ (จากสเกล D-A)
(J.A. Bayona, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*ไม่มีมีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: เหตุการณ์เกิดต่อจาก Jurassic World ภาคแรก หลังจากที่เหล่าไดโนเสาร์ได้หลุดออกมาจากกรงและถล่มรีสอร์ตสวนสนุกบนเกาะ Isla Nublar จนราบไปแล้ว เวลาผ่านมาหลายปีที่รัฐบาลปล่อยให้พวกไดโนเสาร์บนเกาะอยู่กันไปตามยถากรรม
แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ "ภูเขาไฟกลางเกาะกำลังจะระเบิด" จนทำให้ต้องมีภารกิจขนย้ายไดโนเสาร์ออกจากเกาะเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ไว้ให้ได้ ซึ่งก็หนีไม่พ้นมืออาชีพอย่าง "โอเว่น เกรดี้" (Chris Pratt) และ "แคลร์ เดียริ่ง" (Bryce Dallas Howard) ต้องกลับมาแก้สถานการณ์ที่เกาะนี้อีกครั้ง
.
.
📖 การดำเนินเรื่อง 📖
กล้าพูดเลยว่าหนังเล่าเรื่องได้เฉียบกว่าที่คาดหวังไว้พอสมควร ทั้งการผูกเรื่องในช่วงที่ตัวละครพระเอกนางเอกต้องกลับไปที่เกาะ (ที่ต่างพากันหนีออกมา) เพื่อช่วยเหลือสัตว์โบราณที่กำลังจะสูญพันธุ์อีกครั้งและต้องเข้าไปพัวพันกับแผนสมคบคิดที่หวังจะหาประโยชน์จากไดโนเสาร์
ซึ่งลากยาวไปถึงตอนจบได้อย่าง smooth มากๆ และเหตุการณ์ในแต่ละช่วงแทบจะไม่มีรอยต่อเลยเนื่องจากจังหวะ "การเร่ง-การผ่อน" ของหนังที่สลับไปมาได้ดีทำให้อารมณ์ของคนดูอย่างเราไม่หลุดไปไหน
ขณะดูจะสัมผัสได้เลยว่าผู้กำกับคนนี้แอบใส่ฉากคารวะ Jurassic Park ต้นฉบับมาเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นฉากเปิดตัวไดโนเสาร์คอยาว ฉากซ่อนจากแรปเตอร์ เป็นต้น ซึ่งไอ้ที่พูดมามันก็นำเสนออกมาได้ดีแหละ กลืนไปกับตัวหนังหลักแบบไม่ประดักประเดิดดี แถมยังได้ผลในลักษณะที่ทำให้แฟนหนังต้นฉบับอย่างผู้เขียนรู้สึกอินมากขึ้นด้วย
ในอีกจุดหนึ่งที่น่าชื่นชมก็คือ "ความละเอียด" ที่หนังเอาใจใส่มากๆ และพยายามจะอุด plot hole ให้มากที่สุด ผลก็คือหนังมันดูจริงจังมาก ไม่มีความรู้สึกแบบว่า เอ๊ะ ทำไมตัวนี้มันตายโง่ๆ แพ้ง่ายๆ จนน่าขัดใจแบบนั้น
ยกตัวอย่างเช่นในหนังจะมีตัวละครหนึ่งที่ไปเปิดกรงที่ขังไดโนเสาร์พันธุ์ที่ดุร้ายอยู่ ซึ่งเชื่อว่าใครๆ ก็เข้าใจว่ามันเป็นการกระทำที่โง่แค่ไหน แต่พอหนังเลือกที่จะใส่อุปนิสัยของตัวละครเสริมตัวนั้นเข้าไป ฉากนั้นมันก็เลยดูเมกเซนส์ไปเลยแบบไม่มีข้อกังขา ซึ่งมันช่วยคุมโทนของหนังให้น่าเชื่อเข้าไปอีก
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือ "คำถามเชิงศีลธรรม" ที่หนังประเคนเข้ามาใส่เราแบบไม่เกรงใจกันด้วยแนวคิดง่ายๆ ว่า "ไดโนเสาร์สมควรจะมีชีวิตอยู่หรือไม่?" แค่คำถามง่ายๆ แค่นี้มันกลับเปิดปลายแนวคิดของคนดูอย่างเราได้มากมาย
เราอาจจะต้องคิดต่อว่าถ้าช่วยไดโนเสาร์แล้วจะเอามันไปไว้ที่ไหน? แล้วถ้ามันเกิดหลุดออกไปแล้วทำร้ายมนุษย์บาดเจ็บล้มตายเป็นร้อยเป็นพันคนล่ะ?
ในทางกลับกันเราก็อาจจะคำนึงว่าไดโนเสาร์มันก็เหมือนหมาแมวตัวหนึ่ง มันมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเองเหมือนกัน แล้วคนเรามีสิทธิ์อะไรที่จะไปตัดสินว่าเขาควรจะอยู่หรือตาย? แค่คิดตามนี้ก็เริ่มน่าสนุกแล้ว มันเป็นอะไรที่สีเทามากๆ
ถ้าจะให้หาข้อเสียอย่างเดียวของหนังเรื่องนี้ก็คือ "ตัวอย่างหนัง" ที่เปิดเผยฉากสำคัญและมุกเด็ดต่างๆ มากไป
คือมันมีหลายฉากเลยที่ผู้เขียนรู้สึกว่ามันน่าจะพีคสุดแน่ๆ ถ้าเราไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นมาก่อนแล้ว แต่พอหนังมันทำตัวอย่างมาในลักษณะ "กลัวไม่มีคนไปดู" แบบนี้ มันก็เลยน่าผิดหวังนิดหน่อย
.
.
📖 ความบันเทิง 📖
ฉากองก์แรกของหนังคือสุดยอดแห่งความบันเทิงที่สุด เป็นภาพที่ไดโนเสาร์หลายสิบตัววิ่งหนีภูเขาไฟระเบิดกันหน้าตั้งไปพร้อมๆ กับกลุ่มตัวละครเอก แค่นี้ก็ทำให้ผู้เขียนฟินได้แล้ว
มันทั้งตื่นเต้นทั้งอลังการและทำหน้าที่โหมโรงให้คนดูอย่างเราตื่นตัวได้ดีเยี่ยม ต่อเนื่องด้วยการดำเนินเรื่องในช่วงกลาง-ท้ายเรื่องที่เน้นขาย "ความระทึก" อันเป็นเสน่ห์หลักอันหนึ่งของหนังตระกูล Jurassic ที่น่าจดจำ ใครที่ยังจำความรู้สึกขนลุกขนพองกับฉากทีเร็กซ์คำรามใส่รถซาฟารีในภาคต้นฉบับได้ ความรู้สึกนั้นก็จะกลับมาอีกครั้งในภาคนี้นี่แหละ
ในเรื่องของความฮานี่ก็สอบผ่านแบบไม่ต้องสงสัย รู้สึกได้เลยว่าจังหวะปล่อยมุกของภาคนี้ดีขึ้นมาก ทั้งตัวละครหลักและตัวละครที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ก็ดี ทุกตัวมีศักยภาพที่จะปล่อยมุกเด็ดได้หมดเลย
ทั้งนี้ไฮไลต์ของภาคนี้คงก็หนีไม่พ้นตัวละครหนุ่มเนิร์ดหน้าใหม่อย่าง "แฟรงค์กลิน" (Justice Smith) ที่โผล่มากรี๊ดแย่งซีนได้บ่อยๆ ที่สำคัญคือมุกในหนังเรื่องนี้มันก็เป็นมุกเบาๆ ที่ไม่ได้มีลูกเล่นอะไรเยอะแยะด้วย ทำให้เราขำได้แบบเรื่อยๆ สบายๆ ไปกับ flow ได้ดี
สำคัญที่สุดคือน้องๆ ไดโนเสาร์น่ารักมากกกก คือก่อนหน้านี้ไม่รู้สึกว่ามันน่ารักขนาดนี้ จู่ๆ มันก็ดูจริตจะก้านขึ้นมาซะงั้น โดยเฉพาะพวกตัวจิ๋วๆ ที่ชอบมาวิ่งเพ่นพ่านประกอบฉากนี่ก็น่ารักดี
แต่ถามว่าตัวไหนเด่นที่สุดก็คงหนีไม่พ้น "น้องหมวกกันน็อค" สุดยอดนักโหม่งพ่อทุกสถาบันที่แท้จริง คือเชื่อว่าเด็กๆ คงชอบกันแน่นอน ขนาดผู้ใหญ่ยังกรี๊ดกร๊าดกันได้ขนาดนี้เลย
.
.
📖 ตัวละคร 📖
คริส แพตต์ เหมือนอัพเกรดตัวเองไปอีกขั้นกับหนังเรื่องนี้ คือส่วนตัวมีความรู้สึกว่าเขาเป็นธรรมชาติมากขึ้น มุกเฉียบมากขึ้น และที่สำคัญคือด้วยนิสัยพูดน้อยต่อยหนักของตัวละครก็ยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์ขึ้นไปอีก พอมาเข้าคู่กับนางเอกคนนี้ด้วยแล้วยิ่งไหลเข้าไปอีก
บริซ ดัลแลส โฮวาร์ด (ถ้าสะกดผิดต้องขออภัย) มาในภาคนี้ก็รู้สึกว่านางสวยขึ้นมากกกและดูโดดเด่นจากเดิมแม้จะใส่แค่ชุดซาฟารีมอซอธรรมดา สำหรับคนนี้ก็อัพเกรดขึ้นเยอะเหมือนกัน มีจังหวะให้สื่ออารมณ์มากขึ้น ถือว่าน่าจับตามองจริงๆ
โดยส่วนตัวคิดว่าคนที่น่าจับตาที่สุดก็คือน้องน้อยของเรื่องที่รับบทเป็น "เมซี่ ล็อควู้ด" (Isabella Sermon) ที่ดูเหมือนว่าหนังจะปูทางเผื่อให้ตัวละครนี้ไปได้ไกลสุดๆ จริงอยู่ว่าในเรื่องของฝีไม้ลายมืออาจไม่ได้โดดเด่นมาก แต่ถ้าพูดในเชิงศักยภาพของตัวละครแล้ว ไม่แน่ว่าน้องคนนี้อาจจะกลายเป็นตัวละครแบบ Charles Xavior ก็ได้นะ (หัวเราะ)
.
.
Jurassic World: Fallen Kingdom เป็นหนังแมสที่ทำให้ตอบโจทย์ตัวเองมากๆ มีครบรสทั้งความบันเทิง ความฮา ความระทึก และแนวคิดที่สอดแทรกเข้ามาได้เป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องทำตัวซับซ้อนอะไรมากมาย
คือหนังมันเป็น PG-13 แหละ เราก็รู้อยู่แล้วว่าตัวเอกของเรามันไม่เจ็บไม่ตายอยู่แล้ว ก็แค่ปล่อยใจให้มันไหลไปกับความบันเทิง ความสวยของภาพ และความตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นไดโนเสาร์ตัวเป็นๆ ส่วนตัวคิดว่าเท่านี้ก็คุ้มค่าตั๋วอย่างที่สุดแล้ว
ป.ล.ชอบป้า T-Rex มากๆ ป้าแก่แล้ว ฉากที่ป้าเดินจ้ำๆ ไปแบบไม่สนใจโลกแล้วมันตลกดี ถือเป็นพัฒนาการตัวละครได้มั้ย (หัวเราะ)
#ตั๋วหนังมันแพง
ถูกใจรีวิวก็สามารถมาแสดงความคิดเห็นและกดไลค์ + แชร์ เพื่อสนับสนุนเพจได้ครับ:
https://www.facebook.com/expensivemovie/
[หนังโรงเรื่องที่ 231] Jurassic World: Fallen Kingdom : สุดยอดของความดูเพลิน แมสแต่เก๋ by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 231] Jurassic World: Fallen Kingdom : สุดยอดของความดูเพลิน แมสแต่เก๋
คะแนนความชอบ : A++ (จากสเกล D-A)
(J.A. Bayona, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*ไม่มีมีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: เหตุการณ์เกิดต่อจาก Jurassic World ภาคแรก หลังจากที่เหล่าไดโนเสาร์ได้หลุดออกมาจากกรงและถล่มรีสอร์ตสวนสนุกบนเกาะ Isla Nublar จนราบไปแล้ว เวลาผ่านมาหลายปีที่รัฐบาลปล่อยให้พวกไดโนเสาร์บนเกาะอยู่กันไปตามยถากรรม
แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ "ภูเขาไฟกลางเกาะกำลังจะระเบิด" จนทำให้ต้องมีภารกิจขนย้ายไดโนเสาร์ออกจากเกาะเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ไว้ให้ได้ ซึ่งก็หนีไม่พ้นมืออาชีพอย่าง "โอเว่น เกรดี้" (Chris Pratt) และ "แคลร์ เดียริ่ง" (Bryce Dallas Howard) ต้องกลับมาแก้สถานการณ์ที่เกาะนี้อีกครั้ง
.
📖 การดำเนินเรื่อง 📖
กล้าพูดเลยว่าหนังเล่าเรื่องได้เฉียบกว่าที่คาดหวังไว้พอสมควร ทั้งการผูกเรื่องในช่วงที่ตัวละครพระเอกนางเอกต้องกลับไปที่เกาะ (ที่ต่างพากันหนีออกมา) เพื่อช่วยเหลือสัตว์โบราณที่กำลังจะสูญพันธุ์อีกครั้งและต้องเข้าไปพัวพันกับแผนสมคบคิดที่หวังจะหาประโยชน์จากไดโนเสาร์
ซึ่งลากยาวไปถึงตอนจบได้อย่าง smooth มากๆ และเหตุการณ์ในแต่ละช่วงแทบจะไม่มีรอยต่อเลยเนื่องจากจังหวะ "การเร่ง-การผ่อน" ของหนังที่สลับไปมาได้ดีทำให้อารมณ์ของคนดูอย่างเราไม่หลุดไปไหน
ขณะดูจะสัมผัสได้เลยว่าผู้กำกับคนนี้แอบใส่ฉากคารวะ Jurassic Park ต้นฉบับมาเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นฉากเปิดตัวไดโนเสาร์คอยาว ฉากซ่อนจากแรปเตอร์ เป็นต้น ซึ่งไอ้ที่พูดมามันก็นำเสนออกมาได้ดีแหละ กลืนไปกับตัวหนังหลักแบบไม่ประดักประเดิดดี แถมยังได้ผลในลักษณะที่ทำให้แฟนหนังต้นฉบับอย่างผู้เขียนรู้สึกอินมากขึ้นด้วย
ในอีกจุดหนึ่งที่น่าชื่นชมก็คือ "ความละเอียด" ที่หนังเอาใจใส่มากๆ และพยายามจะอุด plot hole ให้มากที่สุด ผลก็คือหนังมันดูจริงจังมาก ไม่มีความรู้สึกแบบว่า เอ๊ะ ทำไมตัวนี้มันตายโง่ๆ แพ้ง่ายๆ จนน่าขัดใจแบบนั้น
ยกตัวอย่างเช่นในหนังจะมีตัวละครหนึ่งที่ไปเปิดกรงที่ขังไดโนเสาร์พันธุ์ที่ดุร้ายอยู่ ซึ่งเชื่อว่าใครๆ ก็เข้าใจว่ามันเป็นการกระทำที่โง่แค่ไหน แต่พอหนังเลือกที่จะใส่อุปนิสัยของตัวละครเสริมตัวนั้นเข้าไป ฉากนั้นมันก็เลยดูเมกเซนส์ไปเลยแบบไม่มีข้อกังขา ซึ่งมันช่วยคุมโทนของหนังให้น่าเชื่อเข้าไปอีก
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือ "คำถามเชิงศีลธรรม" ที่หนังประเคนเข้ามาใส่เราแบบไม่เกรงใจกันด้วยแนวคิดง่ายๆ ว่า "ไดโนเสาร์สมควรจะมีชีวิตอยู่หรือไม่?" แค่คำถามง่ายๆ แค่นี้มันกลับเปิดปลายแนวคิดของคนดูอย่างเราได้มากมาย
เราอาจจะต้องคิดต่อว่าถ้าช่วยไดโนเสาร์แล้วจะเอามันไปไว้ที่ไหน? แล้วถ้ามันเกิดหลุดออกไปแล้วทำร้ายมนุษย์บาดเจ็บล้มตายเป็นร้อยเป็นพันคนล่ะ?
ในทางกลับกันเราก็อาจจะคำนึงว่าไดโนเสาร์มันก็เหมือนหมาแมวตัวหนึ่ง มันมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเองเหมือนกัน แล้วคนเรามีสิทธิ์อะไรที่จะไปตัดสินว่าเขาควรจะอยู่หรือตาย? แค่คิดตามนี้ก็เริ่มน่าสนุกแล้ว มันเป็นอะไรที่สีเทามากๆ
ถ้าจะให้หาข้อเสียอย่างเดียวของหนังเรื่องนี้ก็คือ "ตัวอย่างหนัง" ที่เปิดเผยฉากสำคัญและมุกเด็ดต่างๆ มากไป
คือมันมีหลายฉากเลยที่ผู้เขียนรู้สึกว่ามันน่าจะพีคสุดแน่ๆ ถ้าเราไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นมาก่อนแล้ว แต่พอหนังมันทำตัวอย่างมาในลักษณะ "กลัวไม่มีคนไปดู" แบบนี้ มันก็เลยน่าผิดหวังนิดหน่อย
.
📖 ความบันเทิง 📖
ฉากองก์แรกของหนังคือสุดยอดแห่งความบันเทิงที่สุด เป็นภาพที่ไดโนเสาร์หลายสิบตัววิ่งหนีภูเขาไฟระเบิดกันหน้าตั้งไปพร้อมๆ กับกลุ่มตัวละครเอก แค่นี้ก็ทำให้ผู้เขียนฟินได้แล้ว
มันทั้งตื่นเต้นทั้งอลังการและทำหน้าที่โหมโรงให้คนดูอย่างเราตื่นตัวได้ดีเยี่ยม ต่อเนื่องด้วยการดำเนินเรื่องในช่วงกลาง-ท้ายเรื่องที่เน้นขาย "ความระทึก" อันเป็นเสน่ห์หลักอันหนึ่งของหนังตระกูล Jurassic ที่น่าจดจำ ใครที่ยังจำความรู้สึกขนลุกขนพองกับฉากทีเร็กซ์คำรามใส่รถซาฟารีในภาคต้นฉบับได้ ความรู้สึกนั้นก็จะกลับมาอีกครั้งในภาคนี้นี่แหละ
ในเรื่องของความฮานี่ก็สอบผ่านแบบไม่ต้องสงสัย รู้สึกได้เลยว่าจังหวะปล่อยมุกของภาคนี้ดีขึ้นมาก ทั้งตัวละครหลักและตัวละครที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ก็ดี ทุกตัวมีศักยภาพที่จะปล่อยมุกเด็ดได้หมดเลย
ทั้งนี้ไฮไลต์ของภาคนี้คงก็หนีไม่พ้นตัวละครหนุ่มเนิร์ดหน้าใหม่อย่าง "แฟรงค์กลิน" (Justice Smith) ที่โผล่มากรี๊ดแย่งซีนได้บ่อยๆ ที่สำคัญคือมุกในหนังเรื่องนี้มันก็เป็นมุกเบาๆ ที่ไม่ได้มีลูกเล่นอะไรเยอะแยะด้วย ทำให้เราขำได้แบบเรื่อยๆ สบายๆ ไปกับ flow ได้ดี
สำคัญที่สุดคือน้องๆ ไดโนเสาร์น่ารักมากกกก คือก่อนหน้านี้ไม่รู้สึกว่ามันน่ารักขนาดนี้ จู่ๆ มันก็ดูจริตจะก้านขึ้นมาซะงั้น โดยเฉพาะพวกตัวจิ๋วๆ ที่ชอบมาวิ่งเพ่นพ่านประกอบฉากนี่ก็น่ารักดี
แต่ถามว่าตัวไหนเด่นที่สุดก็คงหนีไม่พ้น "น้องหมวกกันน็อค" สุดยอดนักโหม่งพ่อทุกสถาบันที่แท้จริง คือเชื่อว่าเด็กๆ คงชอบกันแน่นอน ขนาดผู้ใหญ่ยังกรี๊ดกร๊าดกันได้ขนาดนี้เลย
.
📖 ตัวละคร 📖
คริส แพตต์ เหมือนอัพเกรดตัวเองไปอีกขั้นกับหนังเรื่องนี้ คือส่วนตัวมีความรู้สึกว่าเขาเป็นธรรมชาติมากขึ้น มุกเฉียบมากขึ้น และที่สำคัญคือด้วยนิสัยพูดน้อยต่อยหนักของตัวละครก็ยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์ขึ้นไปอีก พอมาเข้าคู่กับนางเอกคนนี้ด้วยแล้วยิ่งไหลเข้าไปอีก
บริซ ดัลแลส โฮวาร์ด (ถ้าสะกดผิดต้องขออภัย) มาในภาคนี้ก็รู้สึกว่านางสวยขึ้นมากกกและดูโดดเด่นจากเดิมแม้จะใส่แค่ชุดซาฟารีมอซอธรรมดา สำหรับคนนี้ก็อัพเกรดขึ้นเยอะเหมือนกัน มีจังหวะให้สื่ออารมณ์มากขึ้น ถือว่าน่าจับตามองจริงๆ
โดยส่วนตัวคิดว่าคนที่น่าจับตาที่สุดก็คือน้องน้อยของเรื่องที่รับบทเป็น "เมซี่ ล็อควู้ด" (Isabella Sermon) ที่ดูเหมือนว่าหนังจะปูทางเผื่อให้ตัวละครนี้ไปได้ไกลสุดๆ จริงอยู่ว่าในเรื่องของฝีไม้ลายมืออาจไม่ได้โดดเด่นมาก แต่ถ้าพูดในเชิงศักยภาพของตัวละครแล้ว ไม่แน่ว่าน้องคนนี้อาจจะกลายเป็นตัวละครแบบ Charles Xavior ก็ได้นะ (หัวเราะ)
.
Jurassic World: Fallen Kingdom เป็นหนังแมสที่ทำให้ตอบโจทย์ตัวเองมากๆ มีครบรสทั้งความบันเทิง ความฮา ความระทึก และแนวคิดที่สอดแทรกเข้ามาได้เป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องทำตัวซับซ้อนอะไรมากมาย
คือหนังมันเป็น PG-13 แหละ เราก็รู้อยู่แล้วว่าตัวเอกของเรามันไม่เจ็บไม่ตายอยู่แล้ว ก็แค่ปล่อยใจให้มันไหลไปกับความบันเทิง ความสวยของภาพ และความตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นไดโนเสาร์ตัวเป็นๆ ส่วนตัวคิดว่าเท่านี้ก็คุ้มค่าตั๋วอย่างที่สุดแล้ว
ป.ล.ชอบป้า T-Rex มากๆ ป้าแก่แล้ว ฉากที่ป้าเดินจ้ำๆ ไปแบบไม่สนใจโลกแล้วมันตลกดี ถือเป็นพัฒนาการตัวละครได้มั้ย (หัวเราะ)
#ตั๋วหนังมันแพง
ถูกใจรีวิวก็สามารถมาแสดงความคิดเห็นและกดไลค์ + แชร์ เพื่อสนับสนุนเพจได้ครับ: https://www.facebook.com/expensivemovie/