MINT ปลาเล็ก(อ้วน)กินปลาใหญ่(ผอมโซ) โดย อีหล่าน้อย เว็บ Share2Trade
http://www.share2trade.com/index.php?route=content/content&path=9&content_id=2917
คำประกาศของ ทาง HNA Group แห่งสเปน ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ได้ยื่นเอกสารแจ้งให้กับทางตลาดหลักทรัพย์มาดริด ว่าเตรียมขายหุ้น NH Hotel Group สัดส่วนรวม 26.5% ให้กับทาง บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เป็นข่าวใหญ่เพราะเป็นปฏิบัติการ"ปลาเล็กกินปลาใหญ่"อีกครั้ง
เงื่อนไขการขายหุ้นของ NHA จะแบ่งขาย 2 รอบ รอบแรกจะขายจำนวน 17.6% ที่ราคาหุ้นละ 6.40 ยูโร ส่วนรอบถัดไปจะขายทั้งหมด 8.83% ราคาลดลงเหลือหุ้นละ 6.10 ยูโร
เหตุผลที่ขายกิจการในสัดส่วนออกค่อนข้างมาก เกิดจากแรงกดดันที่ต้องการนำเงินขายได้ไปใช้หนี้ที่เกิดจากการซื้อกิจการในต่างประเทศ ซึ่งสะท้อนว่าผลตอบแทนการลงทุนด้วยการก่อหนี้เพื่อซื้อกิจการข้ามชาติในอดีตซึ่งเคยเกิดขึ้นรุนแรง ต่ำเกินกว่าคุ้ม
NH Hotel Group ดำเนินธุรกิจโรงแรม 382 แห่งและมีจำนวนห้องพักรวมเกือบ 59,350 ห้องใน 30 ประเทศทั่วทวีปยุโรป ละตินอเมริกา และแอฟริกา แต่เน้น 2 ภูมิภาคแรกเป็นสำคัญ
การขายหุ้นของ HNA Group (ซึ่งเป็นการขายทิ้งทั้งหมด) เป็นความต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ได้ทยอยลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทที่ลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการลดการลงทุนใน Deutsche Bank ออกมา หรือล่าสุด ทำการขายหุ้นใน Hilton Worldwide ออกมา เพื่อลดต้นทุนการเงินลง หรือพูดง่ายๆว่า"ขายลดหนี้หนีตาย"
เนื่องจาก MINT เป็นนิติบุคคลที่เป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย จึงต้องประกาศธุรกรรมนี้พร้อมกันไปด้วย
รายละเอียดที่MINT ชี้แจง มีดังนี้
- เดิมทีนั้น MINT ได้เข้าลงทุนถือหุ้นในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปที่ผ่านมา ในสัดส่วนร้อยละ 9.5 เมื่อนับรวมหุ้นสามัญทั้งหมด แต่ต้องการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่ม
- MINT เซ็นสัญญาเข้าซื้อหุ้นสามัญใน เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป จาก เอชเอ็นเอ กรุ๊ป ในสัดส่วนร้อยละ 25.2 เมื่อนับรวมหุ้นสามัญทั้งหมด (fully diluted) รวมเป็นเงินลงทุนทั้งหมดจำนวน 619 ล้านยูโร โดยแบ่งการเข้าซื้อเป็นสองงวด ซึ่งจะทำให้ MINT มีหุ้น 35% หลังดีลบรรลุเป้า
- เนื่องจาก หากดีลนี้บรรลุผล มีผลทำให้ MINT จำต้องดำเนินการตามกฎของประเทศสเปน เมื่อเข้าข่ายการทำการเสนอซื้อหุ้น หรือ เทนเดอร์ออฟเฟอร์ทั้งหมด ของ เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป โดยราคาเสนอขายจะไม่ต่ำกว่าราคาสูงสุดที่ MINT ได้ซื้อหุ้นของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 6.40 ยูโรต่อหุ้น (ซึ่งอาจมีการปรับราคายุติธรรม) โดยตั้งเป้าหมายว่า หลังจากทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ในอนาคตเสร็จ MINT จะถือหุ้นใน เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปในสัดส่วนร้อยละ 51 ถึง 55 ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เงินสดมากถึง 2,500 ล้านยูโร และมีแผนที่จะให้เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปยังคงเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาดริดและรักษาการกำกับดูแลกิจการที่ดีต่อไป ด้วยสัดส่วนการถือหุ้นตามเป้าหมายดังกล่าว
- เงื่อนไขการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ NH Hotel Group จะบรรลุหรือไม่ ขึ้นกับว่า จะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของ MINT และ จาก National Securities Market Commission ของประเทศเสปน (CNMV) และจากหน่วยงานที่ป้องกันการผูกขาดทางการค้าที่เกี่ยวข้อง ด้วย
- แหล่งเงินทุนในการเทคโอเวอร์กิจการครั้งนี้ มาจากการก่อหนี้ด้วยตราสารหนี้ไม่เกิน 5.0 หมื่นล้านบาท เป็นหลักโดย MINT คาดว่าจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินส่วนที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในปี 2562 ให้อยู่ที่ 1.3 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมของบริษัท
หากฟังแค่คำพูดเชิงกลยุทธ์อันสวยหรูของ นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไมเนอร์ โฮเทลส์ ที่กล่าวว่า ดีลนี้เป็นกลยุทธ์การลงทุนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานการดำเนินงานของบริษัทในอุตสาหกรรมโรงแรมในทวีปยุโรป ทำให้ MINT มีเครือข่ายโรงแรมมากกว่า 540 แห่ง ครอบคลุมทั้งทวีปเอเชีย โอเชียนเนีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป ซึ่งเป็นภูมิภาคที่สำคัญของธุรกิจโรงแรมในระดับโลก จะส่งผลให้ทั้ง 2 บริษัทได้ประโยชน์จากพลังผนึกของความเป็นผู้นำในตลาดที่มีการเติบโตสูง เครือข่ายโรงแรมและแบรนด์ ถือว่าในทางทฤษฎี ดีลนี้ช่วยเติมฝันอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักร MINT ในอนาคต
ที่ผ่านมา MINT ถือว่า"ใหญ่เมืองไทย" แต่ "เล็กในตลาดโลก" แม้จะเป็นผู้นำใน3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจร้านอาหาร (ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยมีร้านอาหารกว่า 2,000 สาขา) ธุรกิจโรงแรม(โรงแรมและเซอร์วิส สวีท ทั้งสิ้น 161 แห่ง ใน 26 ประเทศ) และธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นในไทย การใหญ่แบบครบเครื่องก็มีเหตุผลรองรับ
นักวิเคราะห์สายเชียร์มองว่า การขยายกิจการครั้งนี้เป็นแผนที่ดี เนื่องจาก NH Hotel จะเป็นรากฐานช่วยให้ MINT อาศัยเครือข่ายนี้ ประสานกับแบรนด์โรงแรม Tivoli ที่ต่างกันโดย NH จะเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าธุรกิจ แต่ Tivoli จะเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าแบบครอบครัว และ MINT จะสนับสนุนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของ NH ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินงานดีขึ้น
คำถามคือ ใหญ่แล้วคุ้มค่าหรือไม่
ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ความพยายามสร้างอาณาจักรนอกประเทศไทยในภูมิภาคต่างๆทั่วโลกด้วยการขยายตัวทางลัดผ่านการซื้อกิจการเพื่อ Inorganic Growth นั้น ได้ดำเนินการโดย MINT มาหลายปีแล้วทั้งในธุรกิจโรงแรม และร้านอาหาร แต่ดีลที่ผ่านมามีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับสัดส่วนของ MINT เอง ทำให้ไม่มีคำถามเรื่องต้นทุนทางการเงินมากนัก
ครั้งนี้ นอกจากเป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีแล้ว ยังเป็นดีลที่มีขนาดใหญ่เท่ากับหรือใหญ่กว่าขนาดของ MINT เองด้วยซ้ำ
ในงบการเงินล่าสุด 31 มีนาคม MINT มีมาร์เก็ตแค็ป 1.65 แสนล้านบาท มีส่วนผู้ถือหุ้น 4.8 ล้านบาท มีทุนจดทะเบียนเพียงแค่ 3.7 พันล้านบาท มียอดขายปีละ 5.8-6.0 หมื่นล้านบาท มีหนี้สินรวม 6.6 หมื่นล้าน คิดเป็นค่าดี/อีแค่ 1.37 เท่า
ถ้ามองไปในอนาคต การเทกโอเวอร์ NH Hotel Group ถ้าหากสำเร็จตามเป้าจะทำให้มีหนี้พอกพูนเป็น เกือบ 1.0 แสนล้านบาท ทำให้แม้ผู้บริหารบริษัทจะอ้างว่า ขนาดของบริษัทที่เติมโตขึ้นมา จะสามารถรักษาสัดส่วนค่าดี/อีไม่ให้เกิน 1.3 เท่า ก็ถือเป็น Mission Impossible ที่ชวนให้ตั้งคำถามว่าจะทำได้อย่างไร หากไม่มีการเพิ่มทุนระลอกใหม่
คำถามนี้ เคยมีนักวิเคราะห์ของทาง Credit Suisse มองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ทาง MINT จะต้องเพิ่มทุน เพราะ NH Hotel Group นั้นมีมูลค่าตลาด 60% ของมูลค่าตลาด MINT ฉะนั้นหุ้นของทางบริษัทมีโอกาสไดลูทจากการเพิ่มทุนตั้งแต่ 2-23% แต่บทวิเคราะห์ดังกล่าวถูกยกเลิกในเวลาต่อมา ด้วยข้ออ้างว่า ความกดดันในเรื่องนี้นั้นจบไปแล้ว
ปริศนานี้ เป็นโจทย์ที่ท้าทายนักลงทุนพอสมควร โดยเฉพาะคำถามเชิงลบที่ว่า หรือเป็นแค่การยักย้ายทรัพย์ออกจากไทยไปยุโรป..ที่ยังไม่มีคำตอบ
เว้นเสียแต่จะเชื่อตามที่นักวิเคราะห์บางคนระบุว่า ดีลนี้จะทำให้ผลประกอบการปี 2562 ของ MINT เติบโตในระดับ 2 หลัก ..ก็เป็นอีกเรื่อง
///////////////////////////////
ขอบคุณบทความจาก
www.facebook.com/Share2Trade/
http://www.share2trade.com
#mint #HNA
MINT ปลาเล็ก(อ้วน)กินปลาใหญ่(ผอมโซ) โดย อีหล่าน้อย เว็บ Share2Trade
http://www.share2trade.com/index.php?route=content/content&path=9&content_id=2917
คำประกาศของ ทาง HNA Group แห่งสเปน ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ได้ยื่นเอกสารแจ้งให้กับทางตลาดหลักทรัพย์มาดริด ว่าเตรียมขายหุ้น NH Hotel Group สัดส่วนรวม 26.5% ให้กับทาง บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เป็นข่าวใหญ่เพราะเป็นปฏิบัติการ"ปลาเล็กกินปลาใหญ่"อีกครั้ง
เงื่อนไขการขายหุ้นของ NHA จะแบ่งขาย 2 รอบ รอบแรกจะขายจำนวน 17.6% ที่ราคาหุ้นละ 6.40 ยูโร ส่วนรอบถัดไปจะขายทั้งหมด 8.83% ราคาลดลงเหลือหุ้นละ 6.10 ยูโร
เหตุผลที่ขายกิจการในสัดส่วนออกค่อนข้างมาก เกิดจากแรงกดดันที่ต้องการนำเงินขายได้ไปใช้หนี้ที่เกิดจากการซื้อกิจการในต่างประเทศ ซึ่งสะท้อนว่าผลตอบแทนการลงทุนด้วยการก่อหนี้เพื่อซื้อกิจการข้ามชาติในอดีตซึ่งเคยเกิดขึ้นรุนแรง ต่ำเกินกว่าคุ้ม
NH Hotel Group ดำเนินธุรกิจโรงแรม 382 แห่งและมีจำนวนห้องพักรวมเกือบ 59,350 ห้องใน 30 ประเทศทั่วทวีปยุโรป ละตินอเมริกา และแอฟริกา แต่เน้น 2 ภูมิภาคแรกเป็นสำคัญ
การขายหุ้นของ HNA Group (ซึ่งเป็นการขายทิ้งทั้งหมด) เป็นความต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ได้ทยอยลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทที่ลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการลดการลงทุนใน Deutsche Bank ออกมา หรือล่าสุด ทำการขายหุ้นใน Hilton Worldwide ออกมา เพื่อลดต้นทุนการเงินลง หรือพูดง่ายๆว่า"ขายลดหนี้หนีตาย"
เนื่องจาก MINT เป็นนิติบุคคลที่เป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย จึงต้องประกาศธุรกรรมนี้พร้อมกันไปด้วย
รายละเอียดที่MINT ชี้แจง มีดังนี้
- เดิมทีนั้น MINT ได้เข้าลงทุนถือหุ้นในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปที่ผ่านมา ในสัดส่วนร้อยละ 9.5 เมื่อนับรวมหุ้นสามัญทั้งหมด แต่ต้องการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่ม
- MINT เซ็นสัญญาเข้าซื้อหุ้นสามัญใน เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป จาก เอชเอ็นเอ กรุ๊ป ในสัดส่วนร้อยละ 25.2 เมื่อนับรวมหุ้นสามัญทั้งหมด (fully diluted) รวมเป็นเงินลงทุนทั้งหมดจำนวน 619 ล้านยูโร โดยแบ่งการเข้าซื้อเป็นสองงวด ซึ่งจะทำให้ MINT มีหุ้น 35% หลังดีลบรรลุเป้า
- เนื่องจาก หากดีลนี้บรรลุผล มีผลทำให้ MINT จำต้องดำเนินการตามกฎของประเทศสเปน เมื่อเข้าข่ายการทำการเสนอซื้อหุ้น หรือ เทนเดอร์ออฟเฟอร์ทั้งหมด ของ เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป โดยราคาเสนอขายจะไม่ต่ำกว่าราคาสูงสุดที่ MINT ได้ซื้อหุ้นของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 6.40 ยูโรต่อหุ้น (ซึ่งอาจมีการปรับราคายุติธรรม) โดยตั้งเป้าหมายว่า หลังจากทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ในอนาคตเสร็จ MINT จะถือหุ้นใน เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปในสัดส่วนร้อยละ 51 ถึง 55 ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เงินสดมากถึง 2,500 ล้านยูโร และมีแผนที่จะให้เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปยังคงเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาดริดและรักษาการกำกับดูแลกิจการที่ดีต่อไป ด้วยสัดส่วนการถือหุ้นตามเป้าหมายดังกล่าว
- เงื่อนไขการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ NH Hotel Group จะบรรลุหรือไม่ ขึ้นกับว่า จะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของ MINT และ จาก National Securities Market Commission ของประเทศเสปน (CNMV) และจากหน่วยงานที่ป้องกันการผูกขาดทางการค้าที่เกี่ยวข้อง ด้วย
- แหล่งเงินทุนในการเทคโอเวอร์กิจการครั้งนี้ มาจากการก่อหนี้ด้วยตราสารหนี้ไม่เกิน 5.0 หมื่นล้านบาท เป็นหลักโดย MINT คาดว่าจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินส่วนที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในปี 2562 ให้อยู่ที่ 1.3 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมของบริษัท
หากฟังแค่คำพูดเชิงกลยุทธ์อันสวยหรูของ นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไมเนอร์ โฮเทลส์ ที่กล่าวว่า ดีลนี้เป็นกลยุทธ์การลงทุนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานการดำเนินงานของบริษัทในอุตสาหกรรมโรงแรมในทวีปยุโรป ทำให้ MINT มีเครือข่ายโรงแรมมากกว่า 540 แห่ง ครอบคลุมทั้งทวีปเอเชีย โอเชียนเนีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป ซึ่งเป็นภูมิภาคที่สำคัญของธุรกิจโรงแรมในระดับโลก จะส่งผลให้ทั้ง 2 บริษัทได้ประโยชน์จากพลังผนึกของความเป็นผู้นำในตลาดที่มีการเติบโตสูง เครือข่ายโรงแรมและแบรนด์ ถือว่าในทางทฤษฎี ดีลนี้ช่วยเติมฝันอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักร MINT ในอนาคต
ที่ผ่านมา MINT ถือว่า"ใหญ่เมืองไทย" แต่ "เล็กในตลาดโลก" แม้จะเป็นผู้นำใน3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจร้านอาหาร (ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยมีร้านอาหารกว่า 2,000 สาขา) ธุรกิจโรงแรม(โรงแรมและเซอร์วิส สวีท ทั้งสิ้น 161 แห่ง ใน 26 ประเทศ) และธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นในไทย การใหญ่แบบครบเครื่องก็มีเหตุผลรองรับ
นักวิเคราะห์สายเชียร์มองว่า การขยายกิจการครั้งนี้เป็นแผนที่ดี เนื่องจาก NH Hotel จะเป็นรากฐานช่วยให้ MINT อาศัยเครือข่ายนี้ ประสานกับแบรนด์โรงแรม Tivoli ที่ต่างกันโดย NH จะเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าธุรกิจ แต่ Tivoli จะเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าแบบครอบครัว และ MINT จะสนับสนุนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของ NH ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินงานดีขึ้น
คำถามคือ ใหญ่แล้วคุ้มค่าหรือไม่
ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ความพยายามสร้างอาณาจักรนอกประเทศไทยในภูมิภาคต่างๆทั่วโลกด้วยการขยายตัวทางลัดผ่านการซื้อกิจการเพื่อ Inorganic Growth นั้น ได้ดำเนินการโดย MINT มาหลายปีแล้วทั้งในธุรกิจโรงแรม และร้านอาหาร แต่ดีลที่ผ่านมามีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับสัดส่วนของ MINT เอง ทำให้ไม่มีคำถามเรื่องต้นทุนทางการเงินมากนัก
ครั้งนี้ นอกจากเป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีแล้ว ยังเป็นดีลที่มีขนาดใหญ่เท่ากับหรือใหญ่กว่าขนาดของ MINT เองด้วยซ้ำ
ในงบการเงินล่าสุด 31 มีนาคม MINT มีมาร์เก็ตแค็ป 1.65 แสนล้านบาท มีส่วนผู้ถือหุ้น 4.8 ล้านบาท มีทุนจดทะเบียนเพียงแค่ 3.7 พันล้านบาท มียอดขายปีละ 5.8-6.0 หมื่นล้านบาท มีหนี้สินรวม 6.6 หมื่นล้าน คิดเป็นค่าดี/อีแค่ 1.37 เท่า
ถ้ามองไปในอนาคต การเทกโอเวอร์ NH Hotel Group ถ้าหากสำเร็จตามเป้าจะทำให้มีหนี้พอกพูนเป็น เกือบ 1.0 แสนล้านบาท ทำให้แม้ผู้บริหารบริษัทจะอ้างว่า ขนาดของบริษัทที่เติมโตขึ้นมา จะสามารถรักษาสัดส่วนค่าดี/อีไม่ให้เกิน 1.3 เท่า ก็ถือเป็น Mission Impossible ที่ชวนให้ตั้งคำถามว่าจะทำได้อย่างไร หากไม่มีการเพิ่มทุนระลอกใหม่
คำถามนี้ เคยมีนักวิเคราะห์ของทาง Credit Suisse มองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ทาง MINT จะต้องเพิ่มทุน เพราะ NH Hotel Group นั้นมีมูลค่าตลาด 60% ของมูลค่าตลาด MINT ฉะนั้นหุ้นของทางบริษัทมีโอกาสไดลูทจากการเพิ่มทุนตั้งแต่ 2-23% แต่บทวิเคราะห์ดังกล่าวถูกยกเลิกในเวลาต่อมา ด้วยข้ออ้างว่า ความกดดันในเรื่องนี้นั้นจบไปแล้ว
ปริศนานี้ เป็นโจทย์ที่ท้าทายนักลงทุนพอสมควร โดยเฉพาะคำถามเชิงลบที่ว่า หรือเป็นแค่การยักย้ายทรัพย์ออกจากไทยไปยุโรป..ที่ยังไม่มีคำตอบ
เว้นเสียแต่จะเชื่อตามที่นักวิเคราะห์บางคนระบุว่า ดีลนี้จะทำให้ผลประกอบการปี 2562 ของ MINT เติบโตในระดับ 2 หลัก ..ก็เป็นอีกเรื่อง
///////////////////////////////
ขอบคุณบทความจาก www.facebook.com/Share2Trade/
http://www.share2trade.com
#mint #HNA