สวัสดีครับ นี่เป็นการรีวิวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวครั้งแรกของผม และด้วยความที่ว่า account ของผมยังไม่ได้ยืนยันตัวตน เลยทำให้โพสรูปไม่ได้ครับ ดังนั้น account นี้ ผมยืมของพ่อผมมาใช้ครับ (หลายคนยืมเพื่อน ยืมพี่ แต่เรามันอินดี้ เลยเอาของพ่อมาใช้ 555)
เอาล่ะ... มาเข้าเรื่องกันดีกว่า จุดเริ่มต้นของการไปเที่ยวครั้งนี้มีอยู่สองอย่างครับ อย่างแรกคือเคบบอกกับตัวเองไว้ว่า เราจะต้องไปลาวอีกให้ได้ และอย่างที่สองคือมาจากเพจ #ทีมนั่งรถไฟกับนายแฮมมึน ครับ คุณแฮมเค้าทำตามความฝันที่เค้าวางไว้คือ การนั่งรถไฟเที่ยวจากเวียงจันทน์ไปยังสิงคโปร์ แต่ของผมก้อไม่ได้ทำตามเค้าหรอก ขอแบบทริปสั้นๆก้อพอ
และพอเราเห็นเค้านั่งรถไฟไปเที่ยวลาว เราก้อไม่รอช้า ขอเอามั่งดีกว่า ช่วงแรกก้อคิดอยู่ว่าจะไปหรือไม่ไปดี ใช้เวลาคิดอยู่สองถึงสามวัน ในที่สุดก้อตัดสินใจว่า เราไปเที่ยวลาวกันเถอะ
วิธีการเดินทางมีหลายวิธีมากๆครับ มีทั้งรถทัวร์ รถไฟและเครื่องบิน ซึ่งถ้าใครจะนั่งรถทัวร์หรือบินเข้าไปลาวเลย จะต้องใช้พาสปอร์ตเท่านั้นนะครับ ส่วนการข้ามด่านแบบการนั่งรถข้ามเข้าไปสามารถใช้บัตรผ่านแดนชั่วคราวหรือพาสปอร์ตก้อได้ ซึ่งบัตรผ่านแดนชั่วคราวนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียก้อคือ...
ข้อดี
ถ้าใครไม่มีพาสปอร์ตหรือไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศบ่อยๆ การทำบัตรข้ามแดนชั่วคราวนั้นราคาเพียงแค่ 100 บาทเท่านั้นเอง สามารถทำได้ที่หน้าด่านได้เลย ถ้าใครอยากประหยัด สามารถทำที่ด่านได้ด้วยแต่นานหน่อย ดังนั้นให้ทัวร์แถวนั้นทำให้ก้อได้ครับ สะดวกสบาย และพอข้ามไปแล้ว เราไม่ต้องเสียเวลากรอกเอกสาร ตม. ฝั่งข้าเข้าด้านลาวด้วยครับ
ข้อเสีย
อยู่ได้เพียง 3 วัน 2 คืนเท่านั้น ถ้าเกินกว่านั้นเสียค่าปรับครับ และถ้าเข้าทางไหน ต้องออกทางเดิม นั่นหมายความว่า ถ้าเข้าทางหนองคาย ก้อต้องออกทางหนองคายครับ
และสิ่งที่ผมเลือกในการเดินทางครั้งนี้ก้อคือ การเดินทางด้วยรถไฟตู้นอนขบวนใหม่ นอนยาวๆจากกรุงเทพฯไปยังหนองคายได้เลย และใช้การนั่งรถข้ามด่านไปฝั่งลาว แล้วต่อรถเมล์เข้าเวียงจันทน์ครับ ขั้นตอนการข้ามด่านแบบฉบับมือใหม่ไม่เคยข้ามเช่นผมมีมาให้แบบละเอียดครับ เข้าง่ายสบายมาก
สำหรับช่วงเวลาที่ผมเลือกไปก้อคือวันที่ 1-4/06/2018 ซึ่งตอนไปโครตลุ้นเลยว่าจะเจอฝนมั้ย สรุปว่าไม่เจอนะครับ แดดแรง ท้องฟ้าสวย แต่อากาศไม่ร้อนเท่าไร
เอาล่ะครับ เกริ่นมายาวพอควร เริ่มกันเลย --> สำหรับการท่องเที่ยวผมทำเป็น time line ไว้นะครับ เผื่อใครบ้านเดินเที่ยวแบบผม
วันที่ 1/06/2018 - 18.30 เริ่มที่สถานีรถไฟกรุงเทพหรือที่เราเรียกติดปากว่าหัวลำโพงนั่นเอง

แวะเซเว่นข้างสถานีซื้อน้ำไปตุนซักหน่อย เพราะปกติเป็นคนกินน้ำเยอะอยู่แล้ว จากนั้นก้อเดินไปหาขบวนรถไฟของเราเลยครับ จอดอยู่ชานชะลาสามนู่นนน ส่วนตู้ที่ผมได้น่ะเหรอ ตู้ที่สองครับ ข้างหน้าสุดไปอีก (ในรูปนี่ท้ายขบวนนะครับ ตู้ที่ 14)

ซึ่งต้องบอกว่า แอร์บนรถโครตพ่อโครตแม่หนาว ยิ่งตู้เสบียง จะหนาวไปไหน?? และด้วยความที่ว่าเป็นตู้ใหม่ ตู้สะอาดมาก เบาะน่านั่ง เห็นแล้วง่วงทันที (ปล. ซื้อมาแค่น้ำขวดเล็ก เพราะถ้าซื้อขวดใหญ่ยังไงก้อกินหมด แต่ต้องไปฉี่หลายรอบแน่ๆ)



นั่งไปได้สักพัก พนักงานก้อมาแปลงจากที่นั่งกลายเป็นที่นอน แล้วเราก้อหลับกันสบายย ตื่นเช้ามาถึงหนองคายแล้วจ้า

ต้องบอกก่อนว่า การมาเที่ยวครั้งนี้หรือทุกครั้งของผม ผมจะเน้นเดินกันเป็นหลักนะครับ ซึ่งการเดินจากสถานีรถไฟหนองคายไปยังด่านสะพานมิตรภาพนั้นไม่ไกลครับ ประมาณ 1.4 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ขอบอกว่าแดดตอนเช้าค่อนข้างแรงพอควร ถ้าเดินไม่ใส่แว่นดำนี่จะแสบตามากๆ (สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับนักท่องเที่ยวยุคนี้คือ google map ครับ ปักหมุดแล้วเดินกันเลย ประมาณ 15 นาทีก้อมาถึงด่านสะพานมิตรภาพแล้ว สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือ ไปทำบัตรข้ามแดนชั่วคราวครับ ใช้เพียงแค่บัตรประชาชนใบเดียว แล้วรอ 30 นาที ระหว่างรอ เราก้อต้องไปหา ไข่กระทะ มากระแทกปากครับ


จากนั้นพอเราได้เอกสารบัตรข้ามแดนชั่วคราวมาแล้ว เราก้อข้ามด่านกันเลย (ตรงนี้ไปจะไม่มีรูปนะครับ เค้าห้ามถ่ายครับ) ขั้นตอนการข้ามก้อไม่ยากครับ ทำตามนี้เลย
- หลังจากที่เราได้บัตรผ่านแดนชั่วคราวมาแล้ว จากรูปข้างบน ให้เราเดินไปฝั่งซ้ายครับ สังเกตุหลังคาน้ำเงินเข้าไว้ เดินตรงไปเรื่อยๆจนถึง immigration ครับ
- จากนั้นยื่นเอกสารครับ ผ่านออกมาแล้วตอนออกประตูมาทางขวามือจะมีโต๊ะขายตั๋วรถข้ามแดน (ย้ำว่าเฉพาะข้ามแดนนะครับ ไม่ใช่รถเมล์เข้าเมือง) ซื้ออเลยครับ คนละ 20 บาท
- ได้ตั๋วมาแล้ว มองตรงไปทางสะพานจะมีรถมาจอดรอรับ (ถ้าไม่มีก้อรอนะครับ ไม่ต้องเดินหา)
- ขึ้นรถมานั่งชิวๆ 5 นาที จนถึงฝั่งลาวครับ
- ลงมาแล้วมองเข้าไปทาง immigration สังเกตุด้านขวาไว้ จะมีช่องขาย one way ticket เข้าไปต่อถวซื้อเลยครับ โดยใช้บัตรข้ามแดนชั่วคราวเป็นเอกสารสำคัญ บัตร one way ticket ราคา 90 บาทครับ

- ได้มาแล้วต่อแถวที่ช่อง immigration ได้เลย
- พอผ่านมาแล้วจะเจอประตูคล้ายๆ BTS บ้านเราครับ ถึงเวลาที่เราจะใช้ไอ้บัตรข้างบนนี่แล้ว ให้เดินเข้าช่องขวาสุดแล้วเสียบบัตรเข้าไปปเลยครับ
- พอออกมาแล้วก้อจะเป็นการสิ้นสุดการเข้ามาประเทศลาวครับ จากนั้นเรามาต่อรถเมล์เข้าเมืองกัน รถเมล์จะอยู่ทางขวามือนะครับ สังเกตุได้ว่าจะมีป้ายรถประจำทางอยู่ ให้เราเดินไปปหน้ารถเพื่อเช็คว่ารถที่เราจะขึ้นจะต้องเขียนว่า สะพานมิตรภาพ - ตลาดเช้า หรือ khua din นั่นเอง
- และถ้าเราเจอแล้ว ก้อขึ้นเลยครับ นั่งสุดสายราคา 8000 กีบ
- พอสุดสาย เราก้อจะเจอกับตลาดเช้าหรือ khua din นั่นเอง บรรยากาศคล้ายๆคลองถมบ้ายเรานี่แหละ ขายของเยอะมากๆ

ในส่วนของผม พอลงรถแล้วก้อเปิด google map เพื่อออกเดินทางเที่ยวเลยครับ เพราะตอนนั้นสิบโมงเช้าแล้ว (ก่อนมาผมลิสต์ไว้ละว่าจะไปไหนบ้างและต้องเดินเท้าเป็นระยะทางเท่าไร) และนี่คือบรรยากาศเมืองลาวระหว่างทางที่ผมเดินครับ





ละที่แรกที่ผมไปก้อคือ หอพระแก้ว ครับ เดินจากตลาดมา 700 เมตร


ข้างในห้ามถ่ายรูปนะครับ ในส่วนของข้างในก้อจะเป็นพระพุทธรูปต่างๆครับ เดินเที่ยวในนี้ใช้เวลาแป้บๆ ก้อต่อกันที่ที่สองเลย ระยะทางสั้นมากๆ เพราะอยู่ฝั่งตรงกันข้าม
ที่ที่สองก้อคือ วัดสีสะเกด ครับ สวยงามมากๆ แต่ผมไม่ได้เข้าไปข้างในเพราะคนค่อนข้างเยอะ บรรยากาศก้อคล้ายๆกับวัดบ้านเรานี่แหละครับ


จากนั้นเราก้อไปที่ที่สามนั่นก้อคือ วัดสีเมือง ครับ เดินจากตรงนี้ไปประมาณ 1 กิโลเมตรครับ วัดสีสะเกด ผมเคยมาแล้วทีนึงแต่นานมากๆแล้ว ตอนนั้นคนเต็มวัดแต่วันนี้ไม่มีเลย

และระหว่างทางผมเจอสถานที่นี้ครับ ไม่รู้ว่าชื่ออะไร (รูปข้างล่างนะครับ)

พอมาถึงตอนนี้ก้อเกือบเที่ยงละ เริ่มหิว เราต้องหาอะไรกินกันซักหน่อย ซึ่งมื้อแรกผมกิน the pizza company ครับ กรุงเทพฯมีไม่กิน กระแดะมากินไกลถึงที่นี่เลย ซึ่งรสชาติก้อเหมือนบ้านเรานี่แหละ แต่เช็คบิลมาแล้ว รู้สึกเหมือนกินเยี่ยงเศรษฐีเลย (มากินในห้างชื่อ Vientiane Center บรรยากาศเหมือน Paragon เลย ของแบรนด์เนมเยอะมากๆ)


กินอิ่มนั่งย่อยประมาณหนึ่งชั่วโมง เราก้อออกเดินต่อครับ ไปยังสถานที่ที่ชื่อว่า COPE Visitor Centre ซึ่งที่ที่ว่านี้เหมือนพิพิธภัณฑ์สงคราม มีทั้งระเบิดทั้งขาเทียมและวีลแชร์ ซึ่งตรงนี้ขอไม่ลงรูปนะครับ เพราะเห็นแล้วหดหู่
จากนั้นก้อเข้าที่พักเพื่อเช็คอินครับ เดินจากสถานที่ข้างบนไปที่พักล่อไปเกือบ 2 กิโลเมตรได้ ที่พักที่ผมพักชื่อ Mali Namphu Hotel ครับ (ที่พักติดตามได้ที่
http://www.malinamphuboutiquehotel.com/mali/ ครับ เนื่องจากผมร้อนเลยลืมถ่ายป้ายหน้าโรงแรมครับ) ส่วนรูปข้างล่างคือบรรยากาศที่พักหลังจากที่ผมหลับไปงีบนึง

จากนั้นประมาณบ่ายสามโมงครึ่งเราก้อออกตะลุยต่อไปยังประตูไชย โดยเดินผ่านห้าง ธนาคารต่างๆ (ซึ่งผมชอบนะ เขียนเป็นภาษาลาวแล้วสวยดี)




และเราก้อมาถึง ประตูไชย ครับ


[img]
https://f.ptcdn.info/006/058/000/pa1s5pmx2i2mRQg5DlP-o.jpg[/img

เดินเที่ยวนั่งเล่นนานอยู่จนเกือบห้าโมง ผมก้อไปต่อที่ร้าน ขอบใจเด้อ ตามรีวิว ที่เค้าบอกว่าอร่อยมากๆ พอไปถึงผมก้อสั่งเมนูสำรับอาหารลาวมาครับ โดนไปหลายตังค์อยู่แต่อร่อยครับ

กินไม่หมดซักอย่างเพราะอิ่มก่อน และที่สำคัญหิวน้ำมากกว่า เพราะต้องเดินกลางแดดแล้วเหงื่อออกเยอะครับ กินข้าวเสร็จเราก้อต้องไปเดินย่อยที่ Night Market ริมแม่น้ำโขง ที่นี่มีของขายเยอะเหมือนตลาดนัดบ้านเรา และยังเป็นถนนที่คนลาวมาวิ่งออกกำลังกายกันครับ (รูปไม่มีเพราะมืดละ เบลอกระจาย 555)
จากนั้นประมาณเกือบสองทุ่มก้อกลับที่พัก อาบน้ำพักผ่อนครับ ก้อหมดกับวันแรกที่มาเวียงจันทน์ครับ
ส่วนของวันต่อไป รอแป้บนะครับ จะมีรีวิวเงินลาวแถมด้วยครับ
รีวิวเที่ยวเวียงจันทน์แบบสั้นๆ 2 วัน 1 คืน
เอาล่ะ... มาเข้าเรื่องกันดีกว่า จุดเริ่มต้นของการไปเที่ยวครั้งนี้มีอยู่สองอย่างครับ อย่างแรกคือเคบบอกกับตัวเองไว้ว่า เราจะต้องไปลาวอีกให้ได้ และอย่างที่สองคือมาจากเพจ #ทีมนั่งรถไฟกับนายแฮมมึน ครับ คุณแฮมเค้าทำตามความฝันที่เค้าวางไว้คือ การนั่งรถไฟเที่ยวจากเวียงจันทน์ไปยังสิงคโปร์ แต่ของผมก้อไม่ได้ทำตามเค้าหรอก ขอแบบทริปสั้นๆก้อพอ
และพอเราเห็นเค้านั่งรถไฟไปเที่ยวลาว เราก้อไม่รอช้า ขอเอามั่งดีกว่า ช่วงแรกก้อคิดอยู่ว่าจะไปหรือไม่ไปดี ใช้เวลาคิดอยู่สองถึงสามวัน ในที่สุดก้อตัดสินใจว่า เราไปเที่ยวลาวกันเถอะ
วิธีการเดินทางมีหลายวิธีมากๆครับ มีทั้งรถทัวร์ รถไฟและเครื่องบิน ซึ่งถ้าใครจะนั่งรถทัวร์หรือบินเข้าไปลาวเลย จะต้องใช้พาสปอร์ตเท่านั้นนะครับ ส่วนการข้ามด่านแบบการนั่งรถข้ามเข้าไปสามารถใช้บัตรผ่านแดนชั่วคราวหรือพาสปอร์ตก้อได้ ซึ่งบัตรผ่านแดนชั่วคราวนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียก้อคือ...
ข้อดี
ถ้าใครไม่มีพาสปอร์ตหรือไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศบ่อยๆ การทำบัตรข้ามแดนชั่วคราวนั้นราคาเพียงแค่ 100 บาทเท่านั้นเอง สามารถทำได้ที่หน้าด่านได้เลย ถ้าใครอยากประหยัด สามารถทำที่ด่านได้ด้วยแต่นานหน่อย ดังนั้นให้ทัวร์แถวนั้นทำให้ก้อได้ครับ สะดวกสบาย และพอข้ามไปแล้ว เราไม่ต้องเสียเวลากรอกเอกสาร ตม. ฝั่งข้าเข้าด้านลาวด้วยครับ
ข้อเสีย
อยู่ได้เพียง 3 วัน 2 คืนเท่านั้น ถ้าเกินกว่านั้นเสียค่าปรับครับ และถ้าเข้าทางไหน ต้องออกทางเดิม นั่นหมายความว่า ถ้าเข้าทางหนองคาย ก้อต้องออกทางหนองคายครับ
และสิ่งที่ผมเลือกในการเดินทางครั้งนี้ก้อคือ การเดินทางด้วยรถไฟตู้นอนขบวนใหม่ นอนยาวๆจากกรุงเทพฯไปยังหนองคายได้เลย และใช้การนั่งรถข้ามด่านไปฝั่งลาว แล้วต่อรถเมล์เข้าเวียงจันทน์ครับ ขั้นตอนการข้ามด่านแบบฉบับมือใหม่ไม่เคยข้ามเช่นผมมีมาให้แบบละเอียดครับ เข้าง่ายสบายมาก
สำหรับช่วงเวลาที่ผมเลือกไปก้อคือวันที่ 1-4/06/2018 ซึ่งตอนไปโครตลุ้นเลยว่าจะเจอฝนมั้ย สรุปว่าไม่เจอนะครับ แดดแรง ท้องฟ้าสวย แต่อากาศไม่ร้อนเท่าไร
เอาล่ะครับ เกริ่นมายาวพอควร เริ่มกันเลย --> สำหรับการท่องเที่ยวผมทำเป็น time line ไว้นะครับ เผื่อใครบ้านเดินเที่ยวแบบผม
วันที่ 1/06/2018 - 18.30 เริ่มที่สถานีรถไฟกรุงเทพหรือที่เราเรียกติดปากว่าหัวลำโพงนั่นเอง
แวะเซเว่นข้างสถานีซื้อน้ำไปตุนซักหน่อย เพราะปกติเป็นคนกินน้ำเยอะอยู่แล้ว จากนั้นก้อเดินไปหาขบวนรถไฟของเราเลยครับ จอดอยู่ชานชะลาสามนู่นนน ส่วนตู้ที่ผมได้น่ะเหรอ ตู้ที่สองครับ ข้างหน้าสุดไปอีก (ในรูปนี่ท้ายขบวนนะครับ ตู้ที่ 14)
ซึ่งต้องบอกว่า แอร์บนรถโครตพ่อโครตแม่หนาว ยิ่งตู้เสบียง จะหนาวไปไหน?? และด้วยความที่ว่าเป็นตู้ใหม่ ตู้สะอาดมาก เบาะน่านั่ง เห็นแล้วง่วงทันที (ปล. ซื้อมาแค่น้ำขวดเล็ก เพราะถ้าซื้อขวดใหญ่ยังไงก้อกินหมด แต่ต้องไปฉี่หลายรอบแน่ๆ)
นั่งไปได้สักพัก พนักงานก้อมาแปลงจากที่นั่งกลายเป็นที่นอน แล้วเราก้อหลับกันสบายย ตื่นเช้ามาถึงหนองคายแล้วจ้า
ต้องบอกก่อนว่า การมาเที่ยวครั้งนี้หรือทุกครั้งของผม ผมจะเน้นเดินกันเป็นหลักนะครับ ซึ่งการเดินจากสถานีรถไฟหนองคายไปยังด่านสะพานมิตรภาพนั้นไม่ไกลครับ ประมาณ 1.4 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ขอบอกว่าแดดตอนเช้าค่อนข้างแรงพอควร ถ้าเดินไม่ใส่แว่นดำนี่จะแสบตามากๆ (สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับนักท่องเที่ยวยุคนี้คือ google map ครับ ปักหมุดแล้วเดินกันเลย ประมาณ 15 นาทีก้อมาถึงด่านสะพานมิตรภาพแล้ว สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือ ไปทำบัตรข้ามแดนชั่วคราวครับ ใช้เพียงแค่บัตรประชาชนใบเดียว แล้วรอ 30 นาที ระหว่างรอ เราก้อต้องไปหา ไข่กระทะ มากระแทกปากครับ
จากนั้นพอเราได้เอกสารบัตรข้ามแดนชั่วคราวมาแล้ว เราก้อข้ามด่านกันเลย (ตรงนี้ไปจะไม่มีรูปนะครับ เค้าห้ามถ่ายครับ) ขั้นตอนการข้ามก้อไม่ยากครับ ทำตามนี้เลย
- หลังจากที่เราได้บัตรผ่านแดนชั่วคราวมาแล้ว จากรูปข้างบน ให้เราเดินไปฝั่งซ้ายครับ สังเกตุหลังคาน้ำเงินเข้าไว้ เดินตรงไปเรื่อยๆจนถึง immigration ครับ
- จากนั้นยื่นเอกสารครับ ผ่านออกมาแล้วตอนออกประตูมาทางขวามือจะมีโต๊ะขายตั๋วรถข้ามแดน (ย้ำว่าเฉพาะข้ามแดนนะครับ ไม่ใช่รถเมล์เข้าเมือง) ซื้ออเลยครับ คนละ 20 บาท
- ได้ตั๋วมาแล้ว มองตรงไปทางสะพานจะมีรถมาจอดรอรับ (ถ้าไม่มีก้อรอนะครับ ไม่ต้องเดินหา)
- ขึ้นรถมานั่งชิวๆ 5 นาที จนถึงฝั่งลาวครับ
- ลงมาแล้วมองเข้าไปทาง immigration สังเกตุด้านขวาไว้ จะมีช่องขาย one way ticket เข้าไปต่อถวซื้อเลยครับ โดยใช้บัตรข้ามแดนชั่วคราวเป็นเอกสารสำคัญ บัตร one way ticket ราคา 90 บาทครับ
- ได้มาแล้วต่อแถวที่ช่อง immigration ได้เลย
- พอผ่านมาแล้วจะเจอประตูคล้ายๆ BTS บ้านเราครับ ถึงเวลาที่เราจะใช้ไอ้บัตรข้างบนนี่แล้ว ให้เดินเข้าช่องขวาสุดแล้วเสียบบัตรเข้าไปปเลยครับ
- พอออกมาแล้วก้อจะเป็นการสิ้นสุดการเข้ามาประเทศลาวครับ จากนั้นเรามาต่อรถเมล์เข้าเมืองกัน รถเมล์จะอยู่ทางขวามือนะครับ สังเกตุได้ว่าจะมีป้ายรถประจำทางอยู่ ให้เราเดินไปปหน้ารถเพื่อเช็คว่ารถที่เราจะขึ้นจะต้องเขียนว่า สะพานมิตรภาพ - ตลาดเช้า หรือ khua din นั่นเอง
- และถ้าเราเจอแล้ว ก้อขึ้นเลยครับ นั่งสุดสายราคา 8000 กีบ
- พอสุดสาย เราก้อจะเจอกับตลาดเช้าหรือ khua din นั่นเอง บรรยากาศคล้ายๆคลองถมบ้ายเรานี่แหละ ขายของเยอะมากๆ
ในส่วนของผม พอลงรถแล้วก้อเปิด google map เพื่อออกเดินทางเที่ยวเลยครับ เพราะตอนนั้นสิบโมงเช้าแล้ว (ก่อนมาผมลิสต์ไว้ละว่าจะไปไหนบ้างและต้องเดินเท้าเป็นระยะทางเท่าไร) และนี่คือบรรยากาศเมืองลาวระหว่างทางที่ผมเดินครับ
ละที่แรกที่ผมไปก้อคือ หอพระแก้ว ครับ เดินจากตลาดมา 700 เมตร
ข้างในห้ามถ่ายรูปนะครับ ในส่วนของข้างในก้อจะเป็นพระพุทธรูปต่างๆครับ เดินเที่ยวในนี้ใช้เวลาแป้บๆ ก้อต่อกันที่ที่สองเลย ระยะทางสั้นมากๆ เพราะอยู่ฝั่งตรงกันข้าม
ที่ที่สองก้อคือ วัดสีสะเกด ครับ สวยงามมากๆ แต่ผมไม่ได้เข้าไปข้างในเพราะคนค่อนข้างเยอะ บรรยากาศก้อคล้ายๆกับวัดบ้านเรานี่แหละครับ
จากนั้นเราก้อไปที่ที่สามนั่นก้อคือ วัดสีเมือง ครับ เดินจากตรงนี้ไปประมาณ 1 กิโลเมตรครับ วัดสีสะเกด ผมเคยมาแล้วทีนึงแต่นานมากๆแล้ว ตอนนั้นคนเต็มวัดแต่วันนี้ไม่มีเลย
และระหว่างทางผมเจอสถานที่นี้ครับ ไม่รู้ว่าชื่ออะไร (รูปข้างล่างนะครับ)
พอมาถึงตอนนี้ก้อเกือบเที่ยงละ เริ่มหิว เราต้องหาอะไรกินกันซักหน่อย ซึ่งมื้อแรกผมกิน the pizza company ครับ กรุงเทพฯมีไม่กิน กระแดะมากินไกลถึงที่นี่เลย ซึ่งรสชาติก้อเหมือนบ้านเรานี่แหละ แต่เช็คบิลมาแล้ว รู้สึกเหมือนกินเยี่ยงเศรษฐีเลย (มากินในห้างชื่อ Vientiane Center บรรยากาศเหมือน Paragon เลย ของแบรนด์เนมเยอะมากๆ)
กินอิ่มนั่งย่อยประมาณหนึ่งชั่วโมง เราก้อออกเดินต่อครับ ไปยังสถานที่ที่ชื่อว่า COPE Visitor Centre ซึ่งที่ที่ว่านี้เหมือนพิพิธภัณฑ์สงคราม มีทั้งระเบิดทั้งขาเทียมและวีลแชร์ ซึ่งตรงนี้ขอไม่ลงรูปนะครับ เพราะเห็นแล้วหดหู่
จากนั้นก้อเข้าที่พักเพื่อเช็คอินครับ เดินจากสถานที่ข้างบนไปที่พักล่อไปเกือบ 2 กิโลเมตรได้ ที่พักที่ผมพักชื่อ Mali Namphu Hotel ครับ (ที่พักติดตามได้ที่ http://www.malinamphuboutiquehotel.com/mali/ ครับ เนื่องจากผมร้อนเลยลืมถ่ายป้ายหน้าโรงแรมครับ) ส่วนรูปข้างล่างคือบรรยากาศที่พักหลังจากที่ผมหลับไปงีบนึง
จากนั้นประมาณบ่ายสามโมงครึ่งเราก้อออกตะลุยต่อไปยังประตูไชย โดยเดินผ่านห้าง ธนาคารต่างๆ (ซึ่งผมชอบนะ เขียนเป็นภาษาลาวแล้วสวยดี)
และเราก้อมาถึง ประตูไชย ครับ
เดินเที่ยวนั่งเล่นนานอยู่จนเกือบห้าโมง ผมก้อไปต่อที่ร้าน ขอบใจเด้อ ตามรีวิว ที่เค้าบอกว่าอร่อยมากๆ พอไปถึงผมก้อสั่งเมนูสำรับอาหารลาวมาครับ โดนไปหลายตังค์อยู่แต่อร่อยครับ
กินไม่หมดซักอย่างเพราะอิ่มก่อน และที่สำคัญหิวน้ำมากกว่า เพราะต้องเดินกลางแดดแล้วเหงื่อออกเยอะครับ กินข้าวเสร็จเราก้อต้องไปเดินย่อยที่ Night Market ริมแม่น้ำโขง ที่นี่มีของขายเยอะเหมือนตลาดนัดบ้านเรา และยังเป็นถนนที่คนลาวมาวิ่งออกกำลังกายกันครับ (รูปไม่มีเพราะมืดละ เบลอกระจาย 555)
จากนั้นประมาณเกือบสองทุ่มก้อกลับที่พัก อาบน้ำพักผ่อนครับ ก้อหมดกับวันแรกที่มาเวียงจันทน์ครับ
ส่วนของวันต่อไป รอแป้บนะครับ จะมีรีวิวเงินลาวแถมด้วยครับ