แน่นอน....ว่าไม่ใช่บท
สำหรับบทนั้น...อือ ป่วงมาก จุดโหว่เยอะ เรื่องความสนุกแบบดูเอามัน โอเค ใช้ได้ ชอบในการเปิดเรื่องแล้วระทึกขวัญตั้งแต่ต้น
แต่สิ่งที่ดีที่สุดของภาค 2 แห่งแฟรนไชส์ Jurassic World คือ
"การขยายความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และไดโนเสาร์"
จากการเกิดขึ้นของ Jurassci World คนได้รับรู้ถึงการมีไดโนเสาร์ (ไม่แท้) ในโลกใบนี้แล้ว และเป็นหนึ่งในสัตว์โลกน่ารักที่เดิมเป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่ "Alive and Breath" ในสวนสนุก แต่เมื่อการล่มสลายของ Jurassic World เกาะอิสลานูบลาร์จึงกลายเป็นโลกหนึ่งของพวกมัน และโลกก็รับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ไปแล้วนับแต่นั้นมา จนกระทั่งมีเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดที่อิสลานูบลาร์ แล้วไดโนเสาร์เหล่านั้นล่ะจะทำยังไง?? ปล่อยให้มันตาย หรือเลือกที่จะช่วยให้มันเติบโตและขยายพันธุ์ต่อไป
เราชอบที่แคลร์พูดกับ สส.ทางโทรศัพท์ว่า ลูกของคุณได้เห็นไดโนเสาร์ในวันที่มันเดินและหายใจได้ และกำลังจะเห็นมันสูญพันธุ์ในช่วงอายุของเขาอีกครั้ง
เราชอบที่เซียยืนมองแบรคิโอซอรัสแล้วจะร้องไห้พร้อมบอกกับแคลร์ว่าไม่เชื่อเลยว่าจะได้เห็นมันตัวเป็นๆ
เราร้องไห้ในโรงหนังแบบไม่อายใครกับฉากบอกลาของแบรคิโอซอรัสที่ท่าเรือ นั่นคือซีนที่ดีที่สุดและตรึงใจที่สุดของหนังภาคนี้ และซีนนี้จะกลายเป็นที่ถูกพูดถึงต่อไปอีกนานแสนนาน เช่นเดียวกับซีนแบรคิโอซอรัสใน JP1 กับการเปิดตัวอย่างสง่างามของเธอ
เราน้ำตาซึมกับการสลับภาพไปมาระหว่าง VDO พฤติกรรมของบลูกันโอเว่น และเหตุการณ์ขณะผ่าตัดบลูในรถบรรทุกนั้น บลูนอนบนเตียงและรายล้อมไปด้วยมนุษย์ที่เธอผูกพันพร้อมกับเพื่อนของเขาที่ตั้งใจช่วยชีวิตเธอ (ซึ่งคิดในใจว่าตอนแกล้งอ่อนแอกับหมาที่บ้าน มันยังไม่ปลอบตูเลย)
เราสะเทือนในในฉากที่แคลร์ปล่อยไดโนเสาร์ออกจากกรงแล้วรวมตัวอยู่ในห้องใต้ดินนั้น โดยที่ไม่สามารถช่วยอะไรมันได้เลย เธอจะปล่อยมันไปหรือให้มันตายอยู่ในนั้น ลุ้นกับการตัดสินใจของแคลร์ แม้ว่าเธอรักพวกมันมาแค่ไหนแต่เธอก็ตัดสินใจไม่ปล่อยมันออกไป น้ำตาไหล เห็นพวกมันแต่ละตัวร้องออกมาแล้วมันทำใจไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องเห็นมันค่อยๆ ตายไป......จนกระทั่งเมซี่กดปุ่มปล่อยมัน....อีหนูลูกกกกกกกกกกกกกกกกก หนูทำอาร๊ายยยยยยยย
เรารู้สึกอดใจหายไม่ได้ที่บลูเลือกจะทิ้งโอเว่นไปอีกครั้ง เพื่อเผชิญโลกที่เธอไม่เคยเจอมาก่อน และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เราไม่เข้าใจ เพราะฟังภาษาแรพเตอร์ไม่ออก
การเล่าถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์กับไดโนเสาร์จึงเป็นมิติที่ดีที่สุดของหนังภาคนี้ที่จะส่งต่อไปถึง "การตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อกับไดโนเสาร์ที่ออกไปเผชิญโลกภายนอกและมีชีวิตมนุษย์ที่อาจได้รับอันตราย" (อีเมซี่!!!) และหนังก็ทำสำเร็จที่ทำให้เรารู้สึกว่าไดโนเสาร์ในเรื่องไม่ใช่สัตว์ที่เราจะต้องแค่วิ่งหนีเอาตัวรอดอย่างเดียว แต่กลายเป็นเพื่อนร่วมโลกที่อยากรักษาและปกป้องเอาไว้ด้วย จนอยากไปร่วมกับ Dinosaur Protection Group เลยทีเดียว
ปล. ความรู้สึกเราหนังภาคนี้จึงเหมือนพาร์ทแรกของช่วงสุดท้ายที่จะโยงเข้าสู่ความเป็น Jurassic World อย่างแท้จริง
ปล.2 ก็ยังยืนยันว่าบทอ่อน
ปล.3 ดีใจที่ได้เห็นไดโนเสาร์หลายพันธุ์มากขึ้น โดยเฉพาะคาร์โนทอรัส อาภัพมาก อยู่ในหนังสือตั้งแต่ The Lost World แต่ดันไม่เคยโผล่มาเลย
ปล.4 ขอให้ภาค 3 ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายบทแข็งแรงขึ้นเทอญจะได้จบอย่างสวยงาม
[SPOIL ALERT!!] สิ่งที่ดีที่สุดใน Jurasic World : Fallen Kingdom
สำหรับบทนั้น...อือ ป่วงมาก จุดโหว่เยอะ เรื่องความสนุกแบบดูเอามัน โอเค ใช้ได้ ชอบในการเปิดเรื่องแล้วระทึกขวัญตั้งแต่ต้น
แต่สิ่งที่ดีที่สุดของภาค 2 แห่งแฟรนไชส์ Jurassic World คือ
"การขยายความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และไดโนเสาร์"
จากการเกิดขึ้นของ Jurassci World คนได้รับรู้ถึงการมีไดโนเสาร์ (ไม่แท้) ในโลกใบนี้แล้ว และเป็นหนึ่งในสัตว์โลกน่ารักที่เดิมเป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่ "Alive and Breath" ในสวนสนุก แต่เมื่อการล่มสลายของ Jurassic World เกาะอิสลานูบลาร์จึงกลายเป็นโลกหนึ่งของพวกมัน และโลกก็รับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ไปแล้วนับแต่นั้นมา จนกระทั่งมีเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดที่อิสลานูบลาร์ แล้วไดโนเสาร์เหล่านั้นล่ะจะทำยังไง?? ปล่อยให้มันตาย หรือเลือกที่จะช่วยให้มันเติบโตและขยายพันธุ์ต่อไป
เราชอบที่แคลร์พูดกับ สส.ทางโทรศัพท์ว่า ลูกของคุณได้เห็นไดโนเสาร์ในวันที่มันเดินและหายใจได้ และกำลังจะเห็นมันสูญพันธุ์ในช่วงอายุของเขาอีกครั้ง
เราชอบที่เซียยืนมองแบรคิโอซอรัสแล้วจะร้องไห้พร้อมบอกกับแคลร์ว่าไม่เชื่อเลยว่าจะได้เห็นมันตัวเป็นๆ
เราร้องไห้ในโรงหนังแบบไม่อายใครกับฉากบอกลาของแบรคิโอซอรัสที่ท่าเรือ นั่นคือซีนที่ดีที่สุดและตรึงใจที่สุดของหนังภาคนี้ และซีนนี้จะกลายเป็นที่ถูกพูดถึงต่อไปอีกนานแสนนาน เช่นเดียวกับซีนแบรคิโอซอรัสใน JP1 กับการเปิดตัวอย่างสง่างามของเธอ
เราน้ำตาซึมกับการสลับภาพไปมาระหว่าง VDO พฤติกรรมของบลูกันโอเว่น และเหตุการณ์ขณะผ่าตัดบลูในรถบรรทุกนั้น บลูนอนบนเตียงและรายล้อมไปด้วยมนุษย์ที่เธอผูกพันพร้อมกับเพื่อนของเขาที่ตั้งใจช่วยชีวิตเธอ (ซึ่งคิดในใจว่าตอนแกล้งอ่อนแอกับหมาที่บ้าน มันยังไม่ปลอบตูเลย)
เราสะเทือนในในฉากที่แคลร์ปล่อยไดโนเสาร์ออกจากกรงแล้วรวมตัวอยู่ในห้องใต้ดินนั้น โดยที่ไม่สามารถช่วยอะไรมันได้เลย เธอจะปล่อยมันไปหรือให้มันตายอยู่ในนั้น ลุ้นกับการตัดสินใจของแคลร์ แม้ว่าเธอรักพวกมันมาแค่ไหนแต่เธอก็ตัดสินใจไม่ปล่อยมันออกไป น้ำตาไหล เห็นพวกมันแต่ละตัวร้องออกมาแล้วมันทำใจไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องเห็นมันค่อยๆ ตายไป......จนกระทั่งเมซี่กดปุ่มปล่อยมัน....อีหนูลูกกกกกกกกกกกกกกกกก หนูทำอาร๊ายยยยยยยย
เรารู้สึกอดใจหายไม่ได้ที่บลูเลือกจะทิ้งโอเว่นไปอีกครั้ง เพื่อเผชิญโลกที่เธอไม่เคยเจอมาก่อน และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เราไม่เข้าใจ เพราะฟังภาษาแรพเตอร์ไม่ออก
การเล่าถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์กับไดโนเสาร์จึงเป็นมิติที่ดีที่สุดของหนังภาคนี้ที่จะส่งต่อไปถึง "การตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อกับไดโนเสาร์ที่ออกไปเผชิญโลกภายนอกและมีชีวิตมนุษย์ที่อาจได้รับอันตราย" (อีเมซี่!!!) และหนังก็ทำสำเร็จที่ทำให้เรารู้สึกว่าไดโนเสาร์ในเรื่องไม่ใช่สัตว์ที่เราจะต้องแค่วิ่งหนีเอาตัวรอดอย่างเดียว แต่กลายเป็นเพื่อนร่วมโลกที่อยากรักษาและปกป้องเอาไว้ด้วย จนอยากไปร่วมกับ Dinosaur Protection Group เลยทีเดียว
ปล. ความรู้สึกเราหนังภาคนี้จึงเหมือนพาร์ทแรกของช่วงสุดท้ายที่จะโยงเข้าสู่ความเป็น Jurassic World อย่างแท้จริง
ปล.2 ก็ยังยืนยันว่าบทอ่อน
ปล.3 ดีใจที่ได้เห็นไดโนเสาร์หลายพันธุ์มากขึ้น โดยเฉพาะคาร์โนทอรัส อาภัพมาก อยู่ในหนังสือตั้งแต่ The Lost World แต่ดันไม่เคยโผล่มาเลย
ปล.4 ขอให้ภาค 3 ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายบทแข็งแรงขึ้นเทอญจะได้จบอย่างสวยงาม