เนื่องจาก เรื่องราว คำเล่าลือแต่โบราณกาลเกี่ยวกับความเป็นไปของชาวนครโซดอม และโกโมร่าห์ เต็มไปด้วยเรื่องที่เกี่ยวกับความประพฤติอันผิดศีลธรรมในเรื่องเพศเป็นอันมาก จนเมืองถูกขนานนามว่า "เมืองคนบาป" ดังนั้น สิ่งต่างๆที่คนในเมืองนี้ประพฤติ ผู้เขียนไม่อาจจะหลบเลี่ยงไม่กล่าวถึงได้ จำเป็นต้องบรรยายเพื่อให้เรื่องดำเนินไปได้อย่างสมเหตุสมผลของความเป็น "เมืองคนบาป" ดังกล่าว
ดังนั้น ฉากต่างๆซึ่งไปในแนวติดเรท (18 บวก) จึงจำเป็นต้องมี!
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนพยายามที่จะไม่บรรยายแบบ "ลงลึกในรายละเอียด" แต่บรรยายแบบผิวเผินที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ภายใต้เงื่อนไขว่าจะไม่ทำให้เรื่องต้องสะดุด ตัวอย่างเช่น การมีเพศสัมพันธ์ จะไม่บรรยายว่า ทำท่าอะไรอย่างไร ซึ่งนั่นเป็นเรทเอ็กซ์ขั้นสุด ผู้อ่านจะไม่ได้เห็นฉากแบบนั้น!
สรุปแล้วคือ พยายามเขียนให้ SOFT ที่สุด...ครับผม
ขอเชิญทุกท่าน พบกับ "หลงกาล" ตอนที่ 38 ภาค "โซดอม เมืองคนบาป ตอนที่ 2" ต่อไปได้เลยครับ
ก่อนหน้านั้น.......
กัปตันวันชนะ แซม และเอก ในสภาวะที่ยังคงสลบไสลไม่ได้สติ ถูกชาวเมืองโซดอมกลุ่มแรกช่วยกันหามลงจากเขาเข้าไปในเมือง และนำพวกเขาทั้งสามไปนอนรวมกันบนเตียงขนาดใหญ่ซึ่งดูเหมือนว่าถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับให้คนหลายคนนอนร่วมกัน ในห้องใหญ่ห้องหนึ่งในบ้านพักของอาเชอร์ ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองโซดอม
เจ้าเมืองสั่งให้บริวารสาวๆ สิบห้านาง คอยเฝ้าดูแลชายทั้งสามมิให้คลาดสายตา พร้อมกับสั่งกำชับว่าพวกนางมีเพศสัมพันธ์กับพวกเขาได้ถ้าพวกเขามีความต้องการ แต่หากพวกเขายังไม่ต้องการก็ห้ามบังคับขืนใจ! ต้องให้พวกเขามีความยินยอมพร้อมใจเสียก่อน และห้ามมิให้บุรุษใดเข้าไปรบกวนพวกเขาโดยเด็ดขาด สั่งให้จัดเตรียมอาหารและสุราอย่างดีสำหรับเลี้ยงดูพวกเขาในห้องจัดเลี้ยง และให้รายงานให้ตนทราบทันทีที่ทั้งสามรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพื่อรับคำสั่งให้พาพวกเขาเข้าไปยังห้องจัดเลี้ยงแขกต่อไป หลังจากนั้นจึงได้ออกไปรอรับตัวสถาพร และใช้เวลาไปกับสถาพรนานจนเกือบลืมไปแล้วว่ายังมี "เชลย" ซึ่งรอ "เมถุนสังเวย" อีกสามคน
หญิงงามทั้งสิบห้านางนั้นจัดการทุกอย่างตามคำสั่งของเจ้าเมืองเป็นอย่างดีและอย่างเคร่งครัด พวกนางจัดสุราอาหารตั้งโต๊ะเตรียมไว้ แล้วนั่งโบกพัดวีให้คลายร้อน รอคอยให้ชายทั้งสามคนตื่นขึ้นมา
เวลาผ่านไปราวๆหนึ่งชั่วโมง ทั้งสามจึงค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา โดยกัปตันวันชนะเป็นผู้ลุกขึ้นมาก่อน และไม่กี่นาทีหลังจากนั้นแซมและเอกก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียง ทั้งสามมองไปรอบๆด้วยความแปลกประหลาดใจ
หญิงงามทั้งสิบห้านางเหล่านั้น พอเห็นชายทั้งสามตื่นและลุกขึ้นนั่ง ก็แยกกันเป็นสามกลุ่มๆละห้าคน เข้าหาตัวของอาคันตุกะแต่ละคน พวกนางพยายามพูดจาสื่อสารกับพวกเขา และเช่นเดียวกันพวกเขาก็พยายามสื่อสารกับพวกนาง แต่ก็ไม่อาจสื่อสารทำความเข้าใจกันได้เพราะพูดกันคนละภาษาซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จึงได้แต่พยายามใช้ภาษาทางกายคือยกมือยกไม้ทำท่าทางต่างๆไปตามแต่จะคิดได้ ซึ่งหลายๆอย่างก็พอจะสื่อสารกันได้บ้าง เช่นการเชิญชวนให้พวกเขาไปนั่งรับประทานอาหารที่ได้จัดเตรียมไว้เป็นการรองท้องก่อนในเบื้องต้น ซึ่งทั้งสามคนเห็นว่าไม่น่าจะมีพิษมีภัยอะไร จึงยินยอมไปนั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะแต่โดยดี
พวกนางคอยทำหน้าที่เป็น "สาวเสริฟ" อาหารและเครื่องดื่ม และพูดคุยกันไปด้วย
"พวกเขามาจากเมืองไหนกันนะ ?"
"ไม่รู้สิ ได้ยินเขาว่าพวกเขามากับพาหนะลอยฟ้า แล้วตกบนเทือกเขา"
"ยานลอยฟ้าหรือ ?"
"ใช่ๆ พวกเขาต้องไม่ใช่คนสามัญธรรมดาแน่"
"ภาษาที่พวกเขาพูดกันก็ฟังดูแปลกๆนะ ข้าไม่เคยได้ยินภาษาแปลกประหลาดอย่างนั้นมาก่อนเลย เดี๋ยวก็เสียงสูงเดี๋ยวก็เสียงต่ำสลับกันไป"
"น่าเสียดายนะ ไม่มีใครในพวกเขาสามคนพูดภาษาของเราได้เลย ไม่งั้นคงสนุกกว่านี้"
"เจ้าคิดจะชักชวนพวกเขาเสพสวาทด้วยล่ะสิ! ไม่เห็นยากเลย เดี๋ยวข้าจะทำเป็นตัวอย่างให้ดู!"
นางคนสุดท้ายที่พูดยิ้ม แล้วลองสะกิดแขนกัปตันวันชนะ
"หืมม...อะไรหรือน้องสาว ?" เขาหันมาถามขณะกำลังจิบเหล้าองุ่นจากแก้วใบใหญ่ทรงสูง
หญิงนั้นยิ้มหวานให้ และกำมือซ้ายของตัวเองแบบหลวมๆ แหย่นิ้วมือขวาสอดเข้าไปในโพรงซึ่งมือซ้ายกำเข้าและชักเข้าชักออก พยักหน้าเป็นความหมายเชิญชวน!
แซมถึงกับสำลักเหล้า! ในขณะที่เอกได้แต่ยิ้มและส่ายหน้าเหมือนกัปตันซึ่งส่ายหน้าไปมาช้าๆและโบกไม้โบกมือเป็นเชิงห้าม
"โอ้ ไม่ๆๆๆ ไม่หรอกจ้ะ ฉันทำแบบนั้นกับเธอไม่ได้ ฉันมีภรรยาแล้ว ทำอย่างนั้นมันผิดศีล มันบาปรู้ไหม"
หญิงนั้นทำหน้ามุ่ย และถ้านางฟังภาษาไทยออกละก็ นางคงได้เถียงกับเขายืดยาวแน่! ว่าที่นี่ เมืองนี้ ไม่มีคำว่าศีลหรือว่าบาปใดๆทั้งสิ้น!!
แซมและเอกก็เช่นเดียวกัน ทั้งสองปฏิเสธการเชิญชวนด้วยภาษาบอกใบ้ของพวกนางที่พยายามคะยั้นคะยอจนเหนื่อย
"แย่จัง!" นางหนึ่งบ่นอุบ "ท่านเจ้าเมืองไม่น่าสั่งห้ามการขืนใจเลย! ข้าอยากจะกลืนกินเขานัก!!" นางพูดพลางเหลือบแลมองหน้ากัปตัน
"ท่านเจ้าเมืองมีแผนการณ์บางอย่างน่ะสิ! พวกเราต้องทำตามคำสั่งเขา หาไม่แล้วอาจถูกลงโทษได้" เพื่อนนางคนหนึ่งกล่าวเตือน
"ได้ยินว่ายังมีคนอื่นอีกมิใช่หรือ ที่ถูกพาตัวเข้าเมืองมาน่ะ ?"
"มีสิ มีผู้ชายอีกคนหรือสองคนนี่แหละ เท่าที่ข้าฟังมานะ หน้าตาดี หล่อเหลายิ่งกว่าสามคนนี้อีก!"
"เหรอๆๆ ชักอยากเห็นแล้วสิ"
"หวังว่าพวกเราคงโชคดีได้เสพสวาทกับผู้ที่จะมาเพิ่มกันบ้างนะ จะได้คลายความเครียดกัน!"
สาวงามเหล่านั้นพูดจาจ้อกันต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่คอยเติมอาหารและเครื่องดื่มให้แก่อาคันตุกะทั้งสาม
ทางฝ่ายผู้มาเยือน ก็ดื่มกินกันไป คุยหารือกันไป....
"กัปตันครับ" เอกเอ่ยถามเจ้านาย "กัปตันคิดว่า เมืองนี้ คือเมืองอะไร ?"
กัปตันวันชนะครุ่นคิด แล้วก็ส่ายหน้า "ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ผมเคยได้ยินตำนานเล่าขานนานนมแล้วว่าในอดีตกาลก่อนสมัยอียิปต์ที่พวกเราได้ผ่านมาแล้วอีก เคยมีเมืองซึ่งได้สมญานามว่า SIN CITY หรือเมืองคนบาป จะใช่ที่นี่หรือเปล่าก็ไม่รู้"
"อืม....ผมว่าเข้าเค้านะครับ" แซมเสริมความเห็น "จอยเคยเล่าให้ผมฟังว่า ตามเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับเก่า คัมภีร์ต้นเลยคือ GENESIS ภาษาไทยเรียกว่า ปฐมกาล มีเมืองสองเมืองซึ่งมีความผิดบาปชั่วช้าเกินไป พระเจ้าจึงทรงรังเกียจและกริ้ว เกลียดชัง จนต้องทำลายล้างด้วยกำมะถันและลูกไฟจากฟ้า"
"เอ้อ จริงสิครับ คุณจอยเค้าเป็นคริสเตียนนี่นา เค้าคงเล่าอะไรหลายอย่างให้คุณฟังมามาก"
"ใช่ครับผม"
"แล้ว สองเมืองนั้น ชื่ออะไร อยู่ตรงส่วนไหนของโลกล่ะแซม ?" เอกตั้งคำถามมาอีกที
"อ่า...เมืองหนึ่งชื่อ โซดอม หรือโสดมในไบเบิ้ลฉบับภาษาไทย อีกเมืองชื่อ โกโมร่าห์ อยู่ใกล้ๆกัน เพราะตั้งอยู่ในหุบเขาเดียวกัน คือหุบเขา ซิดดิม อยู่ใกล้กับทะเลสาปเด๊ดซี ฝั่งประเทศจอร์แดน ซึ่งอยู่ทางตะวันออก"
"อึ้มม..." กัปตันครางในลำคอ ยกแก้วเหล้าองุ่นขึ้นดื่มอึกหนึ่งก่อนจะพูดต่อ "ดูท่าทาง เมืองที่พวกเราถูกพาตัวมาอยู่นี่ คงงจะเป็นหนึ่งในสองเมืองนั้นเป็นแน่ ลองสังเกตดูรอบๆบริเวณดูสิ ไม่ต้องหันไปมองนะ! แอบชำเลืองมองเอา พวกเขาเริ่มทำความผิดบาปกันบ้างแล้วหละ!" เขาพูดพลางเหลือบตามองไปยังจุดที่ไกลๆ ด้านซ้ายและขวา และบนระเบียงเหนือห้องโถงใหญ่
แซมและเอกเหลือบตามองตามเจ้านาย แล้วก็ต้องขนลุก! เมื่อเห็นชาวเมืองจับคู่กันหลายคู่ ทั้งต่างเพศและเพศเดียวกัน เล้าโลมกันอยู่เป็นคู่ๆอย่างไม่ละอายต่อใครๆ บางคนกำลังเพลิดเพลินกับสัตว์เลี้ยงเช่นม้า สุกร หรือแม้กระทั่งสุนัขตัวใหญ่ก็มี ทั้งหญิงและชาย!
"พระเจ้าช่วย!" แซมร้องคราง "ถ้าพวกเขารุมจับพวกเราเอาไปข่มขืน จะทำไงดีเนี่ย ?"
กัปตันหันมายิ้ม ตบบ่าเขาเพื่อปลุกปลอบใจ
"ผมว่า พวกเขาคงจะยังไม่ทำการอะไรอย่างนั้นกับพวกเราหรอกครับ สังเกตดูพวกผู้หญิงสิ พวกนางจับกลุ่มพูดคุยกันโดยหันมามองดูพวกเราเป็นระยะๆ ถ้าพวกนางจะวางยาพวกเรา...ผมหมายถึง ยาแบบ ปลุกอารมณ์ของพวกเรา เพื่อให้พวกเราต้องการเสพสมกับพวกนาง พวกนางก็สามารถทำได้ ซึ่งถ้าพวกนางได้ทำอย่างนั้น ป่านนี้พวกเรา ซึ่งดื่มกินกันมาพอสมควรแล้ว ก็คงจะเกิดอารมณ์เปลี่ยวกันหมดแล้ว คงต้องไปนัวเนียกับพวกนางเหมือนพวกคนเหล่านั้นแล้วในตอนนี้ แต่นี่พวกเรายังคงเป็นปกติดีกันอยู่ ใช่ไหมล่ะครับ ? หรือว่า คุณแซม คุณเอก มีอารมณ์แล้ว ?" เขาถามและมองหน้าลูกน้องทั้งสองคนสลับไปมา
"โอ้ ไม่ครับผม" แซมร้องปฏิเสธทันที
"ผมก็ไม่เกิดอารมณ์ใดๆเหมือนกัน แต่รู้สึกปลงสังเวช" เอกกล่าวตอบ ซึ่งคำตอบของเขาก็สมกับเป็นผู้ที่เคยบวชเรียนมาหลายปี
"แล้วกัปตันคิดว่า ทำไม พวกนางจึงไม่วางยาพวกเราครับ ?" แซมถามอย่างข้องใจ "ทั้งๆที่ดูท่าทางพวกนางอยากจะกินพวกเราเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะกัปตันนะครับ หลายนางจ้องตาเป็นมัน !! แค่วางยาผสมอาหารหรือเหล้าให้พวกเรากิน แป๊บเดียวพวกเราก็ขัดขืนพวกนางไม่ได้แล้วจริงไหม"
"ผมเข้าใจว่า น่าจะมีคนที่เป็นผู้นำ หรือผู้ปกครอง คอยกำกับดูแลพวกเรา ในฐานะอาคันตุกะอยู่นะครับ" กัปตันตั้งข้อสันนิษฐาน "อาจจะมีกฏข้อบังคับ หรือธรรมเนียมปฏิบัติต่อแขกเป็นพิเศษ ไม่ให้บังคับฝืนใจ นอกจากแขกจะยินยอมพร้อมใจเองเท่านั้น ลองดูก็ได้นี่ครับ แซม หรือเอก ลองส่งสายตา หรือว่าขยิบตา หรือกวักมือเรียกนางสักคน รับรองได้ขึ้นสวรรค์แน่!" กัปตันพูดยิ้มๆ
"โฮ้ยย...ผมไม่เอาแน่ครับกัปตัน ขืนทำอย่างนั้น จอยรู้เข้าทีหลัง ผมตายอย่างเขียด!!" แซมกล่าวและทำท่าแยกเขี้ยว
กัปตันหัวร่อหึๆ แล้วหันไปถามอีกคน "แล้วคุณเอกล่ะครับ ไม่อยากลองบ้างหรือ ?"
"ไม่ดีกว่าครับผม" อดีตมหาเปรียญตอบยิ้มๆ "กลัวจะติดใจครับ! เดี๋ยวจะกลายเป็นคนบาปเพิ่มให้เมืองนี้อีกคน!!"
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดเล่นพูดหัวกันอยู่นั่นเอง ก็มีเสียงเอะอะมะเทิ่งดังมาจากข้างนอก เหล่าสาวงามในห้องต่างพากันออกไปดูที่ระเบียงด้านนอก แล้วก็พบว่า ข้างนอกตัวอาคาร มีประชาชนกลุ่มใหญ่ยืนเบียดเสียดกันแน่นขนัดเพื่อขอดูตัวอาคันตุกะ ด้วยความกระหายใคร่ในตัวแขกผู้มาเยือนซึ่งพวกเขาถือว่าเป็น "ของใหม่" ที่พวกเขาจะพึงได้ร่วมเสพสมด้วย !! แต่ก็ได้แต่ยืนแออัดกันข้างนอกอยู่อย่างนั้น ไม่สามารถเข้าสู่ภายในตัวอาคารซึ่งเป็น "ที่ว่าการ" ของเจ้าเมืองได้เพราะประตูทางเข้าทุกด้านถูกปิดลงสลักกลอนแน่นหนา
จากนั้น เจ้าเมืองและเหล่าบริวารก็เดินทางมาถึง และเข้าสู่ภายในอาคารทางประตูลับ ตามมาด้วยบริวารอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งได้พาตัวของดอกเตอร์สถาพรมาเรียบร้อยแล้ว และสั่งการให้หญิงงามสิบนางพาตัวเขาไปยังห้องอาบน้ำ...
หญิงงามสิบห้านางซึ่งอยู่กับอาคันตุกะทั้งสาม มองดูดอกเตอร์หนุ่มด้วยความตื่นตะลึงในความหล่อของแขกผู้มาเพิ่ม และพากันอิจฉาสิบนางเหล่านั้นซึ่งกำลังพาเขาเข้าไปสู่ห้องอาบน้ำ
"โอ....พวกนางทั้งสิบ ต้องสุขเกษมเปรมปรีด์ หฤหรรษ์กันเต็มที่แน่ๆ ดูสิ! พวกเจ้าทั้งหลายเห็นไหม ? หนุ่มรูปงามราวกับเทพบุตรนั่น ยินยอมให้พวกนางพาไปอย่างง่ายดาย!! พวกนาง ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ !!" นางคนหนึ่งบ่นเพ้อ
"นั่นสินะ! เฮ้อ........" อีกนางหนึ่งเสริม
"ก็คงมีโอกาสสำหรับพวกเราบ้างแหละน่ะ!! ท่านเจ้าเมืองคงไม่ใจไม้ใส้ระกำห้ามพวกเรามิให้ยุ่งกับเขาเลยละกระมัง!"
"พวกเจ้า มัวมาทำอะไรกันอยู่ ณ ที่นี้เล่า ?" เสียงใหญ่ๆดังกังวานมาจากเบื้องหลัง
พวกนางหันหลังไปมอง ที่แท้ เจ้าเมืองมายืนอยู่ข้างหลังพวกตนแล้ว
"เอ้อ....คำนับท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ!!" ทั้งสิบห้านางย่อตัวลง
"ตามสบายเถิดพวกเจ้า" เจ้าเมืองหงายฝ่ามือแล้วยกขึ้นเป็นเชิงอนุญาตให้พวกนางลุกขึ้นยืน
"ว่าไงเล่า ? ที่ข้าถาม ผู้ใดจะตอบ ?"
"อ่า...พวกดิฉัน มาชมดูแขกผู้มาเยือนคนล่าสุดกันน่ะเจ้าค่ะ" หนึ่งในนางเหล่านั้นกล่าวตอบ
"อืม...พวกเจ้ามองเห็นเขาแล้ว มีความคิดเห็นประการใดบ้าง ?"
"หล่อเหลาราวกับเทพบุตรเลยทีเดียวเชียวเจ้าค่ะ!" นางคนที่บ่นเพ้อคนแรกเรียนตอบ "ดิฉันรู้สึกอิจฉาหญิงสิบนางเหล่านั้นที่ท่านเจ้าเมืองจัดให้แก่เทพบุตรหนุ่มนั่นเป็นที่สุดเจ้าค่ะ!!"
เจ้าเมืองหัวเราะ ก่อนจะบอก
"พวกเจ้าใจเย็นไว้ก่อนเถิด!"
(มีต่อครับ)
💫🕛💫 "หลงกาล" Episode-38 : โซดอม เมืองคนบาป #2 💫🕛💫
เนื่องจาก เรื่องราว คำเล่าลือแต่โบราณกาลเกี่ยวกับความเป็นไปของชาวนครโซดอม และโกโมร่าห์ เต็มไปด้วยเรื่องที่เกี่ยวกับความประพฤติอันผิดศีลธรรมในเรื่องเพศเป็นอันมาก จนเมืองถูกขนานนามว่า "เมืองคนบาป" ดังนั้น สิ่งต่างๆที่คนในเมืองนี้ประพฤติ ผู้เขียนไม่อาจจะหลบเลี่ยงไม่กล่าวถึงได้ จำเป็นต้องบรรยายเพื่อให้เรื่องดำเนินไปได้อย่างสมเหตุสมผลของความเป็น "เมืองคนบาป" ดังกล่าว ดังนั้น ฉากต่างๆซึ่งไปในแนวติดเรท (18 บวก) จึงจำเป็นต้องมี!
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนพยายามที่จะไม่บรรยายแบบ "ลงลึกในรายละเอียด" แต่บรรยายแบบผิวเผินที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ภายใต้เงื่อนไขว่าจะไม่ทำให้เรื่องต้องสะดุด ตัวอย่างเช่น การมีเพศสัมพันธ์ จะไม่บรรยายว่า ทำท่าอะไรอย่างไร ซึ่งนั่นเป็นเรทเอ็กซ์ขั้นสุด ผู้อ่านจะไม่ได้เห็นฉากแบบนั้น!
สรุปแล้วคือ พยายามเขียนให้ SOFT ที่สุด...ครับผม
ขอเชิญทุกท่าน พบกับ "หลงกาล" ตอนที่ 38 ภาค "โซดอม เมืองคนบาป ตอนที่ 2" ต่อไปได้เลยครับ
ก่อนหน้านั้น.......
กัปตันวันชนะ แซม และเอก ในสภาวะที่ยังคงสลบไสลไม่ได้สติ ถูกชาวเมืองโซดอมกลุ่มแรกช่วยกันหามลงจากเขาเข้าไปในเมือง และนำพวกเขาทั้งสามไปนอนรวมกันบนเตียงขนาดใหญ่ซึ่งดูเหมือนว่าถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับให้คนหลายคนนอนร่วมกัน ในห้องใหญ่ห้องหนึ่งในบ้านพักของอาเชอร์ ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองโซดอม
เจ้าเมืองสั่งให้บริวารสาวๆ สิบห้านาง คอยเฝ้าดูแลชายทั้งสามมิให้คลาดสายตา พร้อมกับสั่งกำชับว่าพวกนางมีเพศสัมพันธ์กับพวกเขาได้ถ้าพวกเขามีความต้องการ แต่หากพวกเขายังไม่ต้องการก็ห้ามบังคับขืนใจ! ต้องให้พวกเขามีความยินยอมพร้อมใจเสียก่อน และห้ามมิให้บุรุษใดเข้าไปรบกวนพวกเขาโดยเด็ดขาด สั่งให้จัดเตรียมอาหารและสุราอย่างดีสำหรับเลี้ยงดูพวกเขาในห้องจัดเลี้ยง และให้รายงานให้ตนทราบทันทีที่ทั้งสามรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพื่อรับคำสั่งให้พาพวกเขาเข้าไปยังห้องจัดเลี้ยงแขกต่อไป หลังจากนั้นจึงได้ออกไปรอรับตัวสถาพร และใช้เวลาไปกับสถาพรนานจนเกือบลืมไปแล้วว่ายังมี "เชลย" ซึ่งรอ "เมถุนสังเวย" อีกสามคน
หญิงงามทั้งสิบห้านางนั้นจัดการทุกอย่างตามคำสั่งของเจ้าเมืองเป็นอย่างดีและอย่างเคร่งครัด พวกนางจัดสุราอาหารตั้งโต๊ะเตรียมไว้ แล้วนั่งโบกพัดวีให้คลายร้อน รอคอยให้ชายทั้งสามคนตื่นขึ้นมา
เวลาผ่านไปราวๆหนึ่งชั่วโมง ทั้งสามจึงค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา โดยกัปตันวันชนะเป็นผู้ลุกขึ้นมาก่อน และไม่กี่นาทีหลังจากนั้นแซมและเอกก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียง ทั้งสามมองไปรอบๆด้วยความแปลกประหลาดใจ
หญิงงามทั้งสิบห้านางเหล่านั้น พอเห็นชายทั้งสามตื่นและลุกขึ้นนั่ง ก็แยกกันเป็นสามกลุ่มๆละห้าคน เข้าหาตัวของอาคันตุกะแต่ละคน พวกนางพยายามพูดจาสื่อสารกับพวกเขา และเช่นเดียวกันพวกเขาก็พยายามสื่อสารกับพวกนาง แต่ก็ไม่อาจสื่อสารทำความเข้าใจกันได้เพราะพูดกันคนละภาษาซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จึงได้แต่พยายามใช้ภาษาทางกายคือยกมือยกไม้ทำท่าทางต่างๆไปตามแต่จะคิดได้ ซึ่งหลายๆอย่างก็พอจะสื่อสารกันได้บ้าง เช่นการเชิญชวนให้พวกเขาไปนั่งรับประทานอาหารที่ได้จัดเตรียมไว้เป็นการรองท้องก่อนในเบื้องต้น ซึ่งทั้งสามคนเห็นว่าไม่น่าจะมีพิษมีภัยอะไร จึงยินยอมไปนั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะแต่โดยดี
พวกนางคอยทำหน้าที่เป็น "สาวเสริฟ" อาหารและเครื่องดื่ม และพูดคุยกันไปด้วย
"พวกเขามาจากเมืองไหนกันนะ ?"
"ไม่รู้สิ ได้ยินเขาว่าพวกเขามากับพาหนะลอยฟ้า แล้วตกบนเทือกเขา"
"ยานลอยฟ้าหรือ ?"
"ใช่ๆ พวกเขาต้องไม่ใช่คนสามัญธรรมดาแน่"
"ภาษาที่พวกเขาพูดกันก็ฟังดูแปลกๆนะ ข้าไม่เคยได้ยินภาษาแปลกประหลาดอย่างนั้นมาก่อนเลย เดี๋ยวก็เสียงสูงเดี๋ยวก็เสียงต่ำสลับกันไป"
"น่าเสียดายนะ ไม่มีใครในพวกเขาสามคนพูดภาษาของเราได้เลย ไม่งั้นคงสนุกกว่านี้"
"เจ้าคิดจะชักชวนพวกเขาเสพสวาทด้วยล่ะสิ! ไม่เห็นยากเลย เดี๋ยวข้าจะทำเป็นตัวอย่างให้ดู!"
นางคนสุดท้ายที่พูดยิ้ม แล้วลองสะกิดแขนกัปตันวันชนะ
"หืมม...อะไรหรือน้องสาว ?" เขาหันมาถามขณะกำลังจิบเหล้าองุ่นจากแก้วใบใหญ่ทรงสูง
หญิงนั้นยิ้มหวานให้ และกำมือซ้ายของตัวเองแบบหลวมๆ แหย่นิ้วมือขวาสอดเข้าไปในโพรงซึ่งมือซ้ายกำเข้าและชักเข้าชักออก พยักหน้าเป็นความหมายเชิญชวน!
แซมถึงกับสำลักเหล้า! ในขณะที่เอกได้แต่ยิ้มและส่ายหน้าเหมือนกัปตันซึ่งส่ายหน้าไปมาช้าๆและโบกไม้โบกมือเป็นเชิงห้าม
"โอ้ ไม่ๆๆๆ ไม่หรอกจ้ะ ฉันทำแบบนั้นกับเธอไม่ได้ ฉันมีภรรยาแล้ว ทำอย่างนั้นมันผิดศีล มันบาปรู้ไหม"
หญิงนั้นทำหน้ามุ่ย และถ้านางฟังภาษาไทยออกละก็ นางคงได้เถียงกับเขายืดยาวแน่! ว่าที่นี่ เมืองนี้ ไม่มีคำว่าศีลหรือว่าบาปใดๆทั้งสิ้น!!
แซมและเอกก็เช่นเดียวกัน ทั้งสองปฏิเสธการเชิญชวนด้วยภาษาบอกใบ้ของพวกนางที่พยายามคะยั้นคะยอจนเหนื่อย
"แย่จัง!" นางหนึ่งบ่นอุบ "ท่านเจ้าเมืองไม่น่าสั่งห้ามการขืนใจเลย! ข้าอยากจะกลืนกินเขานัก!!" นางพูดพลางเหลือบแลมองหน้ากัปตัน
"ท่านเจ้าเมืองมีแผนการณ์บางอย่างน่ะสิ! พวกเราต้องทำตามคำสั่งเขา หาไม่แล้วอาจถูกลงโทษได้" เพื่อนนางคนหนึ่งกล่าวเตือน
"ได้ยินว่ายังมีคนอื่นอีกมิใช่หรือ ที่ถูกพาตัวเข้าเมืองมาน่ะ ?"
"มีสิ มีผู้ชายอีกคนหรือสองคนนี่แหละ เท่าที่ข้าฟังมานะ หน้าตาดี หล่อเหลายิ่งกว่าสามคนนี้อีก!"
"เหรอๆๆ ชักอยากเห็นแล้วสิ"
"หวังว่าพวกเราคงโชคดีได้เสพสวาทกับผู้ที่จะมาเพิ่มกันบ้างนะ จะได้คลายความเครียดกัน!"
สาวงามเหล่านั้นพูดจาจ้อกันต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่คอยเติมอาหารและเครื่องดื่มให้แก่อาคันตุกะทั้งสาม
ทางฝ่ายผู้มาเยือน ก็ดื่มกินกันไป คุยหารือกันไป....
"กัปตันครับ" เอกเอ่ยถามเจ้านาย "กัปตันคิดว่า เมืองนี้ คือเมืองอะไร ?"
กัปตันวันชนะครุ่นคิด แล้วก็ส่ายหน้า "ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ผมเคยได้ยินตำนานเล่าขานนานนมแล้วว่าในอดีตกาลก่อนสมัยอียิปต์ที่พวกเราได้ผ่านมาแล้วอีก เคยมีเมืองซึ่งได้สมญานามว่า SIN CITY หรือเมืองคนบาป จะใช่ที่นี่หรือเปล่าก็ไม่รู้"
"อืม....ผมว่าเข้าเค้านะครับ" แซมเสริมความเห็น "จอยเคยเล่าให้ผมฟังว่า ตามเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับเก่า คัมภีร์ต้นเลยคือ GENESIS ภาษาไทยเรียกว่า ปฐมกาล มีเมืองสองเมืองซึ่งมีความผิดบาปชั่วช้าเกินไป พระเจ้าจึงทรงรังเกียจและกริ้ว เกลียดชัง จนต้องทำลายล้างด้วยกำมะถันและลูกไฟจากฟ้า"
"เอ้อ จริงสิครับ คุณจอยเค้าเป็นคริสเตียนนี่นา เค้าคงเล่าอะไรหลายอย่างให้คุณฟังมามาก"
"ใช่ครับผม"
"แล้ว สองเมืองนั้น ชื่ออะไร อยู่ตรงส่วนไหนของโลกล่ะแซม ?" เอกตั้งคำถามมาอีกที
"อ่า...เมืองหนึ่งชื่อ โซดอม หรือโสดมในไบเบิ้ลฉบับภาษาไทย อีกเมืองชื่อ โกโมร่าห์ อยู่ใกล้ๆกัน เพราะตั้งอยู่ในหุบเขาเดียวกัน คือหุบเขา ซิดดิม อยู่ใกล้กับทะเลสาปเด๊ดซี ฝั่งประเทศจอร์แดน ซึ่งอยู่ทางตะวันออก"
"อึ้มม..." กัปตันครางในลำคอ ยกแก้วเหล้าองุ่นขึ้นดื่มอึกหนึ่งก่อนจะพูดต่อ "ดูท่าทาง เมืองที่พวกเราถูกพาตัวมาอยู่นี่ คงงจะเป็นหนึ่งในสองเมืองนั้นเป็นแน่ ลองสังเกตดูรอบๆบริเวณดูสิ ไม่ต้องหันไปมองนะ! แอบชำเลืองมองเอา พวกเขาเริ่มทำความผิดบาปกันบ้างแล้วหละ!" เขาพูดพลางเหลือบตามองไปยังจุดที่ไกลๆ ด้านซ้ายและขวา และบนระเบียงเหนือห้องโถงใหญ่
แซมและเอกเหลือบตามองตามเจ้านาย แล้วก็ต้องขนลุก! เมื่อเห็นชาวเมืองจับคู่กันหลายคู่ ทั้งต่างเพศและเพศเดียวกัน เล้าโลมกันอยู่เป็นคู่ๆอย่างไม่ละอายต่อใครๆ บางคนกำลังเพลิดเพลินกับสัตว์เลี้ยงเช่นม้า สุกร หรือแม้กระทั่งสุนัขตัวใหญ่ก็มี ทั้งหญิงและชาย!
"พระเจ้าช่วย!" แซมร้องคราง "ถ้าพวกเขารุมจับพวกเราเอาไปข่มขืน จะทำไงดีเนี่ย ?"
กัปตันหันมายิ้ม ตบบ่าเขาเพื่อปลุกปลอบใจ
"ผมว่า พวกเขาคงจะยังไม่ทำการอะไรอย่างนั้นกับพวกเราหรอกครับ สังเกตดูพวกผู้หญิงสิ พวกนางจับกลุ่มพูดคุยกันโดยหันมามองดูพวกเราเป็นระยะๆ ถ้าพวกนางจะวางยาพวกเรา...ผมหมายถึง ยาแบบ ปลุกอารมณ์ของพวกเรา เพื่อให้พวกเราต้องการเสพสมกับพวกนาง พวกนางก็สามารถทำได้ ซึ่งถ้าพวกนางได้ทำอย่างนั้น ป่านนี้พวกเรา ซึ่งดื่มกินกันมาพอสมควรแล้ว ก็คงจะเกิดอารมณ์เปลี่ยวกันหมดแล้ว คงต้องไปนัวเนียกับพวกนางเหมือนพวกคนเหล่านั้นแล้วในตอนนี้ แต่นี่พวกเรายังคงเป็นปกติดีกันอยู่ ใช่ไหมล่ะครับ ? หรือว่า คุณแซม คุณเอก มีอารมณ์แล้ว ?" เขาถามและมองหน้าลูกน้องทั้งสองคนสลับไปมา
"โอ้ ไม่ครับผม" แซมร้องปฏิเสธทันที
"ผมก็ไม่เกิดอารมณ์ใดๆเหมือนกัน แต่รู้สึกปลงสังเวช" เอกกล่าวตอบ ซึ่งคำตอบของเขาก็สมกับเป็นผู้ที่เคยบวชเรียนมาหลายปี
"แล้วกัปตันคิดว่า ทำไม พวกนางจึงไม่วางยาพวกเราครับ ?" แซมถามอย่างข้องใจ "ทั้งๆที่ดูท่าทางพวกนางอยากจะกินพวกเราเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะกัปตันนะครับ หลายนางจ้องตาเป็นมัน !! แค่วางยาผสมอาหารหรือเหล้าให้พวกเรากิน แป๊บเดียวพวกเราก็ขัดขืนพวกนางไม่ได้แล้วจริงไหม"
"ผมเข้าใจว่า น่าจะมีคนที่เป็นผู้นำ หรือผู้ปกครอง คอยกำกับดูแลพวกเรา ในฐานะอาคันตุกะอยู่นะครับ" กัปตันตั้งข้อสันนิษฐาน "อาจจะมีกฏข้อบังคับ หรือธรรมเนียมปฏิบัติต่อแขกเป็นพิเศษ ไม่ให้บังคับฝืนใจ นอกจากแขกจะยินยอมพร้อมใจเองเท่านั้น ลองดูก็ได้นี่ครับ แซม หรือเอก ลองส่งสายตา หรือว่าขยิบตา หรือกวักมือเรียกนางสักคน รับรองได้ขึ้นสวรรค์แน่!" กัปตันพูดยิ้มๆ
"โฮ้ยย...ผมไม่เอาแน่ครับกัปตัน ขืนทำอย่างนั้น จอยรู้เข้าทีหลัง ผมตายอย่างเขียด!!" แซมกล่าวและทำท่าแยกเขี้ยว
กัปตันหัวร่อหึๆ แล้วหันไปถามอีกคน "แล้วคุณเอกล่ะครับ ไม่อยากลองบ้างหรือ ?"
"ไม่ดีกว่าครับผม" อดีตมหาเปรียญตอบยิ้มๆ "กลัวจะติดใจครับ! เดี๋ยวจะกลายเป็นคนบาปเพิ่มให้เมืองนี้อีกคน!!"
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดเล่นพูดหัวกันอยู่นั่นเอง ก็มีเสียงเอะอะมะเทิ่งดังมาจากข้างนอก เหล่าสาวงามในห้องต่างพากันออกไปดูที่ระเบียงด้านนอก แล้วก็พบว่า ข้างนอกตัวอาคาร มีประชาชนกลุ่มใหญ่ยืนเบียดเสียดกันแน่นขนัดเพื่อขอดูตัวอาคันตุกะ ด้วยความกระหายใคร่ในตัวแขกผู้มาเยือนซึ่งพวกเขาถือว่าเป็น "ของใหม่" ที่พวกเขาจะพึงได้ร่วมเสพสมด้วย !! แต่ก็ได้แต่ยืนแออัดกันข้างนอกอยู่อย่างนั้น ไม่สามารถเข้าสู่ภายในตัวอาคารซึ่งเป็น "ที่ว่าการ" ของเจ้าเมืองได้เพราะประตูทางเข้าทุกด้านถูกปิดลงสลักกลอนแน่นหนา
จากนั้น เจ้าเมืองและเหล่าบริวารก็เดินทางมาถึง และเข้าสู่ภายในอาคารทางประตูลับ ตามมาด้วยบริวารอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งได้พาตัวของดอกเตอร์สถาพรมาเรียบร้อยแล้ว และสั่งการให้หญิงงามสิบนางพาตัวเขาไปยังห้องอาบน้ำ...
หญิงงามสิบห้านางซึ่งอยู่กับอาคันตุกะทั้งสาม มองดูดอกเตอร์หนุ่มด้วยความตื่นตะลึงในความหล่อของแขกผู้มาเพิ่ม และพากันอิจฉาสิบนางเหล่านั้นซึ่งกำลังพาเขาเข้าไปสู่ห้องอาบน้ำ
"โอ....พวกนางทั้งสิบ ต้องสุขเกษมเปรมปรีด์ หฤหรรษ์กันเต็มที่แน่ๆ ดูสิ! พวกเจ้าทั้งหลายเห็นไหม ? หนุ่มรูปงามราวกับเทพบุตรนั่น ยินยอมให้พวกนางพาไปอย่างง่ายดาย!! พวกนาง ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ !!" นางคนหนึ่งบ่นเพ้อ
"นั่นสินะ! เฮ้อ........" อีกนางหนึ่งเสริม
"ก็คงมีโอกาสสำหรับพวกเราบ้างแหละน่ะ!! ท่านเจ้าเมืองคงไม่ใจไม้ใส้ระกำห้ามพวกเรามิให้ยุ่งกับเขาเลยละกระมัง!"
"พวกเจ้า มัวมาทำอะไรกันอยู่ ณ ที่นี้เล่า ?" เสียงใหญ่ๆดังกังวานมาจากเบื้องหลัง
พวกนางหันหลังไปมอง ที่แท้ เจ้าเมืองมายืนอยู่ข้างหลังพวกตนแล้ว
"เอ้อ....คำนับท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ!!" ทั้งสิบห้านางย่อตัวลง
"ตามสบายเถิดพวกเจ้า" เจ้าเมืองหงายฝ่ามือแล้วยกขึ้นเป็นเชิงอนุญาตให้พวกนางลุกขึ้นยืน
"ว่าไงเล่า ? ที่ข้าถาม ผู้ใดจะตอบ ?"
"อ่า...พวกดิฉัน มาชมดูแขกผู้มาเยือนคนล่าสุดกันน่ะเจ้าค่ะ" หนึ่งในนางเหล่านั้นกล่าวตอบ
"อืม...พวกเจ้ามองเห็นเขาแล้ว มีความคิดเห็นประการใดบ้าง ?"
"หล่อเหลาราวกับเทพบุตรเลยทีเดียวเชียวเจ้าค่ะ!" นางคนที่บ่นเพ้อคนแรกเรียนตอบ "ดิฉันรู้สึกอิจฉาหญิงสิบนางเหล่านั้นที่ท่านเจ้าเมืองจัดให้แก่เทพบุตรหนุ่มนั่นเป็นที่สุดเจ้าค่ะ!!"
เจ้าเมืองหัวเราะ ก่อนจะบอก "พวกเจ้าใจเย็นไว้ก่อนเถิด!"
(มีต่อครับ)