ผมไปเจอบทความหนึ่งที่ดีมากเลย ผมขอเอามาลงให้อ่านกันครับ
A อายุ 32 ปี
A ทำงานที่บริษัทอินเตอร์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก ไต่เต้าจากตำแหน่งหนูน้อยจูเนียร์จนตอนนี้ตำแหน่งใหญ่โต
"เคยคิดว่าจะอยู่สัก 2-3 ปี แต่ทำไปทำมานี่จะ 8 ปีแล้ว จนคนรุ่นเดียวกับฉันลาออกย้ายงานกันไปหมดแล้ว" A บอก
A รักที่ทำงานแห่งนี้และหวังจะเติบโตไปกับบริษัท ที่นี่คงเป็นเรือนตายของ A แต่...
"แต่ความจงรักภักดีมีราคาของมัน" A ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะบอกว่า
"เรื่องตลกของชีวิตมนุษย์เงินเดือนก็คือ บริษัทไม่มีทางจ่ายให้เราได้มากเท่ากับคนที่ย้ายมาจากที่อื่น ต่อให้เราจงรักภักดีไม่คิดลาออกก็เถอะ รอให้บริษัทขึ้นเงินเดือนให้ตามระบบยังไงก็ไม่มีทางขึ้นได้เท่ากับลาออกไปอยู่ที่อื่นหรอก และเผลอๆ ลาออกแล้วกลับมาใหม่ยังได้เงินเดือนเยอะกว่าอยู่ยาวรวดเดียวอีก นี่เห็นตำแหน่งฉันสูงขนาดนี้แต่เงินเดือนต่ำเตี้ยเรี้ยดิน ลูกน้องเก่าฉันทำงานไม่กี่ปีลาออกไปย้ายงานทีเดียวเงินเดือนสูงกว่าฉันอีก!"
"นี่ไงล่ะราคาของความจงรักภักดี สุดท้ายฉันก็คือของตายของบริษัท ฉันเพิ่งมาตาสว่างเอาตอนที่ทำงานมาจนจะย้ายไปที่ใหม่ก็ยากแล้ว สามสิบกว่าแล้วนะแก ไม่ใช่เด็กๆ แล้วลาออกไปจะไปทำอะไรฉันยังไม่รู้เลย เศรษฐกิจแย่แบบนี้ด้วย"
"ทุกวันนี้เข้าเว็บหางานก็ไม่มีงานอย่างที่อยากทำ งานที่อยากทำก็ดันไม่ให้คุณค่ากับเรา คือ...จะมาบอกว่าทำงานแล้วได้ประสบการณ์ ได้เรียนรู้ ได้ความภูมิใจ แต่ไม่ให้เงินด้วยก็ไม่ได้นะโว้ย คนเราต้องกินต้องใช้ พ่อแม่ต้องดูแล อายุสามสิบกว่าแล้วความมั่นคงมันก็ต้องมีได้แล้วนะเว้ย" A พรั่งพรูมาเป็นชุด
"เจ็บสัสๆ ทำไมความจงรักภักดี
ทำให้เรากลายเป็นของตายของบริษัทวะ"
A เหมือนคนอกหัก แต่อกหักจากงานที่ตัวเองรัก เป็นรักข้างเดียว จะเลิกก็เคว้งคว้าง จะอยู่ต่อก็รู้สึกเป็นของตายที่ไม่มีคุณค่า ศรัทธาก็ไม่เหลือ ความมั่นใจก็มลายสิ้น
เจ็บสัสๆ อย่างที่ A บอก
A ตัดสินใจขอหัวหน้าขึ้นเงินเดือน ซึ่งเป็นสิ่งที่ในชีวิต A ไม่เคยทำเลย เพราะคิดว่าเมื่อทำงานดีก็ควรได้รับการตอบแทนโดยไม่ต้องร้องขอ และก็อาจจะเพราะเมื่อก่อน A รู้สึกกระดากที่ต้อง "ขอ" แต่ความจริงในชีวิตก็คือ เราจะไม่มีวันได้สิ่งที่เราต้องการ ถ้าเราเพียงแต่รอให้มันลอยลงมาจากฟ้า A คิดว่า เอาวะ ผลงานของ A ก็น่าจะเป็นข้อต่อรองให้มีการพิจารณาเพิ่มเงินเดือน ถ้ายังเห็นว่า A มีคุณค่า
"นั่นแหละ และฉันก็ลาออก"
บริษัทของ A หาคนใหม่มาแทน A ได้อย่างรวดเร็ว ทุกชีวิตยังคงดำเนินต่อไป เพียงแต่...
"และเท่าที่บังเอิญ
ไปรู้ บริษัทก็จ้างคนใหม่มาแทนที่ฉันด้วยเงินเดือนที่สูงกว่าฉันมากกกกก แต่ได้ข่าวว่าทำงานไม่ค่อยดีเท่าไร ทำงานได้หนึ่งปีก็ลาออกไปที่ใหม่ นี่บริษัทเก่าก็มาตื๊อให้ฉันกลับไปอยู่ เป็นไงล่ะ!"
"และจะกลับไปไหม" ฉันถาม
A หัวเราะลั่น
"แต่ความจงรักภักดีมีราคาของมันไม่ใช่เหรอวะ" A บอกก่อนจะจิบแชมเปญ
ไม่ว่าแชมเปญขวดนั้นจะเปิดเพราะฉลองให้กับการ "กลับ" หรือ "ไม่กลับ" ไปที่ที่เขาจากมาก็ตาม
ฉันรู้ว่าเส้นทางของ A จะไม่เหมือนเดิม
------------------------------
ที่มาของบทความ Facebook : ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
วิกฤติวัยทำงาน วัย 30+
A อายุ 32 ปี
A ทำงานที่บริษัทอินเตอร์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก ไต่เต้าจากตำแหน่งหนูน้อยจูเนียร์จนตอนนี้ตำแหน่งใหญ่โต
"เคยคิดว่าจะอยู่สัก 2-3 ปี แต่ทำไปทำมานี่จะ 8 ปีแล้ว จนคนรุ่นเดียวกับฉันลาออกย้ายงานกันไปหมดแล้ว" A บอก
A รักที่ทำงานแห่งนี้และหวังจะเติบโตไปกับบริษัท ที่นี่คงเป็นเรือนตายของ A แต่...
"แต่ความจงรักภักดีมีราคาของมัน" A ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะบอกว่า
"เรื่องตลกของชีวิตมนุษย์เงินเดือนก็คือ บริษัทไม่มีทางจ่ายให้เราได้มากเท่ากับคนที่ย้ายมาจากที่อื่น ต่อให้เราจงรักภักดีไม่คิดลาออกก็เถอะ รอให้บริษัทขึ้นเงินเดือนให้ตามระบบยังไงก็ไม่มีทางขึ้นได้เท่ากับลาออกไปอยู่ที่อื่นหรอก และเผลอๆ ลาออกแล้วกลับมาใหม่ยังได้เงินเดือนเยอะกว่าอยู่ยาวรวดเดียวอีก นี่เห็นตำแหน่งฉันสูงขนาดนี้แต่เงินเดือนต่ำเตี้ยเรี้ยดิน ลูกน้องเก่าฉันทำงานไม่กี่ปีลาออกไปย้ายงานทีเดียวเงินเดือนสูงกว่าฉันอีก!"
"นี่ไงล่ะราคาของความจงรักภักดี สุดท้ายฉันก็คือของตายของบริษัท ฉันเพิ่งมาตาสว่างเอาตอนที่ทำงานมาจนจะย้ายไปที่ใหม่ก็ยากแล้ว สามสิบกว่าแล้วนะแก ไม่ใช่เด็กๆ แล้วลาออกไปจะไปทำอะไรฉันยังไม่รู้เลย เศรษฐกิจแย่แบบนี้ด้วย"
"ทุกวันนี้เข้าเว็บหางานก็ไม่มีงานอย่างที่อยากทำ งานที่อยากทำก็ดันไม่ให้คุณค่ากับเรา คือ...จะมาบอกว่าทำงานแล้วได้ประสบการณ์ ได้เรียนรู้ ได้ความภูมิใจ แต่ไม่ให้เงินด้วยก็ไม่ได้นะโว้ย คนเราต้องกินต้องใช้ พ่อแม่ต้องดูแล อายุสามสิบกว่าแล้วความมั่นคงมันก็ต้องมีได้แล้วนะเว้ย" A พรั่งพรูมาเป็นชุด
"เจ็บสัสๆ ทำไมความจงรักภักดีทำให้เรากลายเป็นของตายของบริษัทวะ"
A เหมือนคนอกหัก แต่อกหักจากงานที่ตัวเองรัก เป็นรักข้างเดียว จะเลิกก็เคว้งคว้าง จะอยู่ต่อก็รู้สึกเป็นของตายที่ไม่มีคุณค่า ศรัทธาก็ไม่เหลือ ความมั่นใจก็มลายสิ้น
เจ็บสัสๆ อย่างที่ A บอก
A ตัดสินใจขอหัวหน้าขึ้นเงินเดือน ซึ่งเป็นสิ่งที่ในชีวิต A ไม่เคยทำเลย เพราะคิดว่าเมื่อทำงานดีก็ควรได้รับการตอบแทนโดยไม่ต้องร้องขอ และก็อาจจะเพราะเมื่อก่อน A รู้สึกกระดากที่ต้อง "ขอ" แต่ความจริงในชีวิตก็คือ เราจะไม่มีวันได้สิ่งที่เราต้องการ ถ้าเราเพียงแต่รอให้มันลอยลงมาจากฟ้า A คิดว่า เอาวะ ผลงานของ A ก็น่าจะเป็นข้อต่อรองให้มีการพิจารณาเพิ่มเงินเดือน ถ้ายังเห็นว่า A มีคุณค่า
"นั่นแหละ และฉันก็ลาออก"
บริษัทของ A หาคนใหม่มาแทน A ได้อย่างรวดเร็ว ทุกชีวิตยังคงดำเนินต่อไป เพียงแต่...
"และเท่าที่บังเอิญไปรู้ บริษัทก็จ้างคนใหม่มาแทนที่ฉันด้วยเงินเดือนที่สูงกว่าฉันมากกกกก แต่ได้ข่าวว่าทำงานไม่ค่อยดีเท่าไร ทำงานได้หนึ่งปีก็ลาออกไปที่ใหม่ นี่บริษัทเก่าก็มาตื๊อให้ฉันกลับไปอยู่ เป็นไงล่ะ!"
"และจะกลับไปไหม" ฉันถาม
A หัวเราะลั่น
"แต่ความจงรักภักดีมีราคาของมันไม่ใช่เหรอวะ" A บอกก่อนจะจิบแชมเปญ
ไม่ว่าแชมเปญขวดนั้นจะเปิดเพราะฉลองให้กับการ "กลับ" หรือ "ไม่กลับ" ไปที่ที่เขาจากมาก็ตาม
ฉันรู้ว่าเส้นทางของ A จะไม่เหมือนเดิม
------------------------------
ที่มาของบทความ Facebook : ท้อฟฟี่ แบรดชอว์