ห้องเพลง**คนรากหญ้า**พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสีไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียงเพลง 04/6/2561 - Jack the Ripper ตอน 2

กระทู้คำถาม


ดอกไม้หัวใจสวัสดีครับอมยิ้ม17 สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันจันทร์ MC แอ๊ด (WANG JIE หรือ ชื่อดั้งเดิม "พฤษภเสารี" สมาชิกเก่าห้อง รดน.ช่วงปี 2546-2550) ประจำการชดเชยวันเสาร์ที่ขาดไปครับ ^^

เมื่อวานบอกไว้ว่าแจ๊คเดอะริปเปอร์ต้องต่อตอนที่ 2  เพราะฉะนั้นก็มาว่ากันต่อครับ ว่า ผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นแจ๊ครายที่สองและรายต่อๆไป คือใคร...


2.ผู้ต้องสงสัยรายที่สอง แมรี่ เพียร์ซี่

ได้เสียชีวิตไปในปี 1890 หลังจากฆ่าภรรยาและลูกของชายชู้ของเธอ การฆ่าของผู้หญิงคนนี้เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม เธอปาดคอเหยื่อฆาตกรรมของเธอคนนั้นลึกมากจนมันแทบจะหลุดออกมาเลยทีเดียว ก่อนถูกตัดสิน เพียร์ซี่ได้เขียนจดหมายถึงครอบครัวของเธอ ทำให้ได้เห็นถึงจิตใจของเธอ

มีข่าวลือว่าจริงๆ แล้วแจ๊คเดอะริปเปอร์อาจจะเป็นผู้หญิงที่จงเกลียดจงชังผู้หญิงหากิน แต่ตำรวจในตอนนั้นไม่คิดว่าผู้ต้องสงสัยจะเป็นผู้หญิง แต่จากการทดสอบในปัจจุบันที่พบว่า DNA ที่อยู่ในน้ำลายที่ปิดผนึกจดหมายที่น่าจะเป็นของฆาตกรนั้นเป็น DNA ของผู้หญิง ทางทีมงานจึงได้ทดสอบว่าเป็นไปได้มั้ยที่ผู้หญิงจะมีแรงพอที่จะฆาตกรรมคนได้อย่างโหดเหี้ยมและรุนแรง

ทีมงานได้ทดสอบด้วยการใช้เครื่องวัดแรงกดที่กระทำต่อเหยื่อโดยให้ผู้หญิงที่มีรูปร่างพอๆ กับ  แมรี่ เพียร์ซี่ ผู้ต้องสงสัย ออกแรงบีบคอและกดเหยื่อหุ่นจำลองซึ่งมีเครื่องวัดแรงกดนั้นอยู่ด้านล่าง หลังการทดสอบพบว่าเป็นไปได้ที่ผู้หญิงจะสามารถออกแรงกดและบีบคอเหยื่อให้หมดสติภายในเวลาสั้นๆ เหมือนอย่างที่แจ๊คเดอะริปเปอร์ทำกับเหยื่อ


การฆาตกรรมโหดสองแม่ลูกของแมรี่ เพียร์ซี่ ก็คล้ายกันมากกับคดีของแจ๊คเดอะริปเปอร์ แมรี่มีความสัมพันธ์กับชายที่แต่งงานแล้ว ด้วยความอิจฉาริษยา เธอฆ่าภรรยาและลูกของเขา เธอหลอกล่อเหยื่อมาที่บ้านของเธอและสังหารเหยื่อด้วยที่เขี่ยไฟในเตาผิง เธอนำทารกใส่เข้าไปในเตา หลังจากนั้นก็นำศพของทั้งสองใส่ลงในรถเข็นเด็กเพื่อนำออกไปทิ้งให้ไกลจากบ้านของเธอ ศพของผู้หญิงคนนั้นถูกพบโดยที่ลำคอมีบาดแผลที่ลึกมากซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในการฆ่าของแจ๊คเดอะริปเปอร์ และในคำให้การของแมรี่ เพียร์ซี่ที่เธออ้างว่าเธอไม่มีทางเลือก เธอต้องนำศพของผู้หญิงคนนั้นใส่ลงในรถเข็นเด็ก เพื่อที่จะนำศพยัดลงไปในรถเข็นเด็ก เธอจึงต้องตัดส่วนคอลงไปลึกมากเพื่อให้ศพสามารถยัดลงไปได้

3. เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด อัลเบิร์ต วิคเตอร์ หรือเจ้าชายเอดดี ดยุคแห่งแคลเรนซ์

หนังสือหลายเล่มอ้างว่าพระองค์เคยเสด็จไปเที่ยวซ่องในย่านอีสต์เอนด์ และสันนิษฐานว่าพระองค์เรียนรู้เทคนิคในการชำแหละมาจากการล่าสัตว์ และทรงติดเชื้อซิฟิลิส (เหมือนลำยอง ทองเนื้อเก้าไง !) ขณะที่สาเหตุอย่างเป็นทางการระบุว่าพระองค์สิ้นพระชนม์จากอาการปอดอักเสบ หนังสือหลายเล่มชี้ว่าพระองค์เป็นผู้ลงมือเองหรือไม่ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมเพื่อปิดปังพฤติกรรมอันเหลวแหลก

ทฤษฎีนี้แพร่หลายมากเพราะนักประวัติศาสตร์มีชื่อ อย่างไรก็ตามสาวกของแจ็คส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากบันทึกเกี่ยวกับพระกรณียกิจของเจ้าชายยืนยันว่าในขณะที่การฆาตกรรมเกิดขึ้นพระองค์ไม่ได้ประทับอยู่ในลอนดอนเลย อย่างไรก็ตามกลุ่มที่เชื่อทฤษฎีนี้โต้ว่าเจ้าชายเอดดีอาจจะแอบมาลอนดอน หรือมิเช่นนั้นบันทึกของทางการอาจจะเป็นสิ่งที่ “แต่ง” ขึ้นมาก็ได้

4. มอนเทกิว จอห์น ดริตต์

เขาเป็นครูและศึกษาด้านการแพทย์ขณะที่สอบได้เนติบัณทิตแล้ว ดริตต์มาจากครอบครัวที่ดีและมีการศึกษาแต่กลับมีอาการวิกลจริต สองวันหลังจากที่เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนแบล็กเฮลท์เขาก็ฆ่าตัวตายด้วยการถ่วงตัวเองให้จมน้ำด้วยหินที่ซุกไว้ตามกระเป๋า และทิ้งข้อความลาตายไว้ว่า “ตั้งแต่วันศุกร์แล้วผมรู้สึกว่ากำลังจะเป็น (บ้า)เหมือนแม่ และการตายคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมในตอนนี้”

ตำรวจพบกระดาษโน้ตจากศพของเขาที่ลอยมาตามแม่น้ำเทมส์เมื่อ 31 ธันวาคม ปี 1888 ทั้งนี้ เขาหายตัวไปหลังจากที่พบศพเหยื่อรายที่ 5 ได้ไม่นาน การสอบสวนของตำรวจระบุว่าเขาฆ่าตัวตายเนื่องจากอาการซึมเศร้า และสรุปว่าเขาคือแจ็คเดอะริปเปอร์ ตำรวจปิดคดีได้สำเร็จโดยที่เขาตกเป็นแพะรับบาป มีคนตั้งข้อสงสัยว่าเขาฆ่าตัวตายหรือถูกฆาตกรรมเสียเองกันแน่ ขณะที่การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ซึ่งแสดงต่อศาลระบุว่าการตายของเคลลีและการตายของดริตต์มีความเกี่ยวโยงกัน บ้างระบุว่าดริตต์มีอาการป่วยทางจิตหลังจากการสังหารเหยื่อรายที่ 5 ของเขา

5. อารอน โคสมินสกี้
เป็นผู้ต้องสงสัยของทางการหมายเลขสอง รองจากมอนเทกิว จอห์น ดริตต์ อารอน โคสมินสกี้ เป็นช่างตัดผมชาวยิวที่อาศัยอยู่ในละแวก white chapel เขาเคยถูกพยานที่อ้างว่าเห็นฆาตกรชี้ตัว แต่ภายหลังพยานคนดังกล่าวไม่ได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เท่าไร แต่การชี้พยานในครั้งนั้น ทำให้เขาตกเป็นเป้าสายตาของสก๊อตแลนด์ยาร์ด ในฐานะว่าอาจจะเป็น แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ตัวจริง ต่อมาภายหลังอารอน โคสมินสกี้เกิดอาการกำเริบทางจิต จนถูกส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาลในปี พ.ศ 2433 และจบชีวิตลงในปีพ.ศ 2462

ในขณะที่ตำรวจตรวจหาผู้ต้องสงสัย อีกด้านหนึ่ง เทรเวอร์ แมริออต อดีตนักสืบหัวเห็ดสังกัดเบดฟอร์ดเชียร์ซึ่งหันมาศึกษาเรื่องแจ็คด้วยเทคนิคสืบสวนสมัยใหม่ออกมาตั้งข้อสันนิษฐานว่า แจ็คเดอะริปเปอร์นั้นอาจจะไม่ใช่ชาวลอนดอน แต่เป็นกะลาสีชาวนิการากัวหรือเยอรมันซึ่งเดินทางมาค้าขายในอังกฤษและติดโรคร้ายจากการเที่ยวผู้หญิงและต้องการแก้แค้น

หนังสือของเทรเวอร์ “Jack the Ripper: The 21st Century Investigation” บอกว่าตำรวจสันนิษฐานอย่างผิดๆ ว่าฆาตกรนั้นอาศัยและทำงานในอีสต์เอนด์ และตำรวจยังไม่รู้วันเวลาของการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นจริงๆ โดยถูกทำให้เขวและเลือกที่จะไม่มองถึงความเป็นไปได้ที่ผู้ลงมือนั้นอาจจะเป็นกะลาสีเรือ


การสืบสวนอีกอย่างหนึ่งคือการตรวจสอบลายมือของผู้ต้องสงสัยกับลายมือในจดหมายที่คาดว่าเป็นของแจ๊คเดอะริปเปอร์ เจ้าหน้าที่ได้รับจดหมายจำนวนมากที่อ้างว่าเป็นของฆาตกรรายนี้ แต่ส่วนใหญ่ถูกพิสูจน์แล้วว่ามันถูกปลอมขึ้นมา ยกเว้นจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกส่งมาให้หน่วยลาดตะเวนของพลเรือน ซึ่งมันถูกส่งมาพร้อมกับไตข้างหนึ่งของมนุษย์ จดหมายนี้จ่าหน้าว่ามาจากนรก ไม่มีลายเซ็นต์อยู่ที่ท้ายจดหมาย มันมาพร้อมกับไตข้างหนึ่งของแคทเธอรีน เอ็ดโดว์ มันถูกเขียนเอาไว้ว่า “ผมส่งไตมาให้คุณครึ่งหนึ่ง มันถูกเอาออกมาจากผู้หญิงคนหนึ่ง และผมห่อเอาไว้อย่างดี ผมหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ เพื่อที่คุณจะได้กินได้ง่าย ผมอาจจะส่งมีดเล่มนั้นมาให้คุณอีก ถ้าคุณจะกรุณารอต่อไปอีกสักพัก ลงชื่อ มาจากผม ถ้าคุณทำได้”

จดหมายฉบับนี้ได้หายไปจากห้องเก็บหลักฐานของสก็อตแลนด์ยาร์ด เมื่อปี 1950 แต่ยังมีสำเนาให้ทำการเปรียบเทียบและวิเคราะห์ลายมือ นักวิเคราะห์ลายมือได้ระบุว่า ผู้ที่เขียนนี้มีลักษณะที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นผู้ที่ชอบล่วงละเมิดทางเพศผู้อื่น และการสะกดคำในจดหมายสามารถระบุได้ว่าเป็นลักษณะการสะกดคำของชาวไอริช ซึ่งค่อนข้างระบุได้ว่าคนที่เขียนจดหมายนี้มีภูมิหลังเป็นชาวไอริช ซึ่งผู้ต้องสงสัยฟรานซิส ทัมเบิลตี้เป็นชาวอเมริกัน แต่พ่อของเขาเป็นชาวไอริช และเมื่อนำจดหมายจากนรกมาเปรียบเทียบกับจดหมายของทัมเบิลตี้ก็พบว่ามีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก สิ่งหนึ่งที่พบว่าคล้ายกันก็คือการเชื่อมโยงคำที่ไม่ปกติ และการเขียนตัววายที่ลากหางยาวไปที่คำด้านล่างที่อยู่อีกบรรทัดหนึ่ง ซึ่งสุดท้ายแล้วผู้เชี่ยวชาญด้านลายมือก็สรุปว่า มีความเป็นไปได้ว่าผู้ที่เขียนจดหมายจากนรกคือฟรานซิส ทัมเบิลตี้


สุดท้ายได้มีการวิเคราะห์พฤติกรรมของฆาตกร โดยกำหนดเป็นรูปแบบของฆาตกร (Criminal Profile) ไว้ดังนี้

– การเชี่ยวชาญด้านพื้นที่ ไม่มีความจำเป็น

– ไม่คิดว่าจะเกี่ยวข้องกับผู้ที่มีความรู้ด้านการแพทย์ เพราะบาดแผลไม่ได้เฉียบคม ลักษณะบาดแผลบ่งบอกว่าฆาตกรมีความโหดเหี้ยม มีแรงจูงใจของคนที่ต้องการแก้แค้น

– ฆาตกรจงใจกระทำต่ออวัยวะที่แสดงลักษณะของเพศหญิง และฆาตกรไม่ได้รีบร้อนในการฆ่า และใช้เวลากับการฆ่าเหยื่อ ฆาตกรเกลียดเพศหญิง ใจเย็นไม่ได้ฆ่าจากการระเบิดอารมณ์โกรธหรือความฉุนเฉียว

เมื่อเทียบรูปแบบกับฆาตกรกับผู้ต้องสงสัยแมรี่ เพียร์ซี่ สรุปได้ดังนี้

– แมรี่ เพียร์ซี่ไม่ได้อาศัยย่านจุดเกิดเหตุ ซึ่งตรงนี้ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นฆาตกรได้

– แมรี่ เพียร์ซี่มีความรู้ทางด้านการแพทย์ แต่การฆาตกรรมโดยแจ๊คเดอะริปเปอร์ไม่จำเป็นต้องทำโดยผู้ที่มีความรู้ด้านการแพทย์

– ไม่มีหลักฐานอะไรบ่งบอกว่าเธอเกลียดเพศหญิง แมรี่ฆ่าด้วยความโกรธเพราะความรัก

เมื่อเทียบรูปแบบกับฆาตกรกับผู้ต้องสงสัยฟรานซิส ทัมเบิลตี้สรุปได้ดังนี้

– ฟรานซิส ทัมเบิลตี้ย้ายมาจากอเมริกาไม่ได้มีความชำนาญในพื้นที่เกิดเหตุ

– ฟรานซิส ทัมเบิลตี้มีความพยายามจะเป็นหมอ เขารู้ว่าอวัยวะแต่ละส่วนอยู่ตรงไหน แต่ไม่ได้มีความชำนาญในการชำแหละ ตรงนี้ตรงกับฆาตกร

– มีการระบุว่าฟรานซิส ทัมเบิลตี้เคยผิดหวังในความรักจากผู้หญิงและมีพฤติกรรมเกลียดผู้หญิง ไม่ชอบกลิ่นของผู้หญิง ตรงนี้ตรงกับฆาตกร

– ฟรานซิส ทัมเบิลตี้มีลักษณะใจเย็น การทำงานของเขามีการไตร่ตรอง ชอบจัดลำดับความสำคัญ

จากโปรไฟล์ของฆาตกรและของฟรานซิส ทัมเบิลตี้นั้นตรงกันทุกข้อ จึงมีความเป็นไปได้ว่าแจ๊คเดอะริปเปอร์นั้นคือฟรานซิส ทัมเบิลตี้ แต่อย่างไรก็ตามจากหลักฐานต่างๆ ที่มีเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ไม่อาจสรุปได้ว่าแจ๊คเดอะริปเปอร์คือเขา เป็นเพียงผู้ต้องสงสัยที่ตรงกับฆาตกรที่สุดเท่านั้น

สก๊อตแลนด์ยาร์ดตัดสินใจปิดคดีของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ลงใน ปี พ.ศ. 2435 ทั้งๆ ทียังไม่สามารถจับฆาตกรได้ แต่เนื่องจากผู้ต้องสงสัยสองรายสำคัญอย่าง มอนเทกิว จอห์น ดริตต์ ได้จบชีวิตลงและ อารอน โคสมินสกี้ ก็ต้องใช้ชีวิตที่เหลือในโรงพยาบาลโรคจิต



แต่ไม่นานมานี้! Dr. Jari Louhelainen ก็ได้ลองตรวจสอบดีเอ็นเอบนผ้าคลุมไหล่ของ Catherine Eddowes ทีเป็นหนึ่งในเหยื่อของ Jack The Ripper ก่อนจะพบว่าดีเอ็นเอที่ปรากฏตรงกับชายผู้ชื่อว่า Aaron Kosminski

โดยหลักฐานผ้าคลุมไหล่ชิ้นนี้ได้มาจาก Russell Edwards ซึ่งประมูลหลักฐานปริศนาชิ้นนี้มาเมื่อหลายปีก่อน แต่เขาเพิ่งมาตัดสินใจมอบให้กับด็อกเตอร์เพื่อทำการตรวจสอบ…และนั่นทำให้ชาวโลกถึงกับช็อคที่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของ Jack The Ripper

ซึ่ง Aaron Kosminski คือชาวยิวที่หนีมาในกรุงลอนดอน และเมื่อปี 1987 ชายผู้นี้ก็เคยถูกสันนิษฐานเช่นกันโดย Dr. Robert Andersonว่าชายผู้นี่แหละมีแนวโน้มว่าจะเป็น Jack The Ripper ตัวจริง…และเมื่อผนวกเข้ากับหลักฐานดีเอ็นเอที่เพิ่งค้นพบก็ยิ่งตอกย้ำว่า Kosminski นี่ล่ะ ที่เป็นฆาตกรตัวจริงในตำนานลี้ลับเรื่องนี้



ขอบคุณ ข้อมูลจาก https://teen.mthai.com/variety/78767.html

พบกันใหม่ วันเสาร์หน้าครับ ^^ หัวใจดอกไม้
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 17
มีข่าวที่เมืองจีนเมื่อปี 59

จับแล้ว ! ฆาตกรต่อเนื่องฉายาแจ็ค เดอะ ริปเปอร์ เมืองจีน ลอยนวลเกือบ 30 ปี

ตำรวจจีนบุกจับฆาตกรต่อเนื่อง เจ้าของฉายา แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ เมืองจีน เกือบ 30 ปีหลังก่อเหตุสะเทือนขวัญ ฆ่าหั่นศพหญิงชุดแดงแต่ไม่เคยมีใครแกะรอยตามจับได้ ทำให้ก่อเหตุซ้ำจนมีผู้หญิงถูกฆ่าเสียชีวิตกว่า 11 คน



               รายงานจากเว็บไซต์เดอะการ์เดี้ยน ระบุว่า ฆาตกรต่อเนื่องผู้ลอยนวลมาได้เกือบ 3 ทศวรรษรายนี้ มีนามว่า เกา เฉิงหยง วัย 52 ปี ได้ถูกตำรวจบุกเข้าจับกุมถึงที่ร้านขายของชำที่เขาดำเนินกิจการร่วมกับภรรยา ในเมืองไป่หยิน มณฑลกานซู หลังจากญาติพี่น้องของเขาถูกกักบริเวณจากความผิดลหุโทษ และมีการนำดีเอ็นเอของเขาไปตรวจสอบด้วย นำมาซึ่งการค้นพบว่าดีเอ็นเอของเขานั้นตรงกับดีเอ็นเอของฆาตกรต่อเนื่องที่เคยก่อเหตุสะเทือนขวัญ ฆ่าหั่นศพหญิงชุดแดงกว่า 11 คน



สำหรับเหตุฆาตกรรมต่อเนื่องดังกล่าว เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2531 ก่อนจะสิ้นสุดลงในปี 2543 กินเวลายาวนานกว่า 12 ปี ฆาตกรได้สะกดรอยตามผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าสีแดงไปที่บ้านคนแล้วคนเล่า จากนั้นก็ลงมือข่มขืนแล้วฆ่า โดยมักจะฆ่าด้วยการปาดคอเหยื่อแล้วหั่นอวัยวะบางส่วน บางรายก็มีการชำแหละควักเอาระบบสืบพันธุ์หายไปด้วย และน่าสลดใจมากที่เหยื่อที่อายุน้อยที่สุดเป็นเด็กหญิงอายุเพียง 8 ขวบเท่านั้น

               หลังจากก่อเหตุทุกครั้ง ฆาตกรก็จะหลบหนีไปได้และตำรวจก็ไม่สามารถระบุตัวตนของเขาได้เลย อย่างไรก็ตามเมื่อปี 2545 หลังจากฆาตกรรมครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นได้ 2 ปี ตำรวจก็ได้สืบสวนพบว่า เหตุข่มขืนแล้วฆ่าผู้หญิง 11 คดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่มองโกเลียในและมณฑลกานซูตลอดช่วงที่ผ่านมานั้น มาจากฆาตกรคนเดียวกัน พร้อมกับประกาศตบรางวัลราว 1 ล้านบาท กับผู้ที่สามารถให้เบาะแสฆาตกรได้

แต่นับตั้งแต่นั้นตำรวจก็ไม่เคยได้เบาะแสและตามจับฆาตกรได้เลย กระทั่งมาพบดีเอ็นเอของนายเกาที่ตรงกับดีเอ็นเอของฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ จึงจับกุมเขาทันที นับเป็นเวลา 28 ปีหลังจากเขาก่อเหตุฆาตกรรมครั้งแรก

               จากการสอบสวน นายเการับสารภาพแต่โดยดีว่าเขาคือฆาตกรต่อเนื่องผู้ก่อคดีสะเทือนขวัญดังกล่าว แต่ทั้งนี้ไม่มีการเปิดเผยว่าทำไมการฆาตกรรมจึงยุติลงดื้อ ๆ ในปี 2543

ภาพจาก QQ China, tw.on.cc
ที่มา http://hilight.kapook.com/view/141518
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่