เดือนมกราคม เราได้เห็นการกลับมาบู๊ ของพี่ Liam Neeson คุณพ่อสายโหดจากเรื่อง Taken ที่คราวนี้อาจไม่ได้บู๊ระห่ำเท่าหนังไตรภาค Taken แต่เนื้อเรื่องมีความลุ้นระทึกสุดๆ
- The Commuter นรกใช้มาเกิด (2018)
ไม่เล่าเรื่องย่อ มาคุยกันถึงหนังเรื่องนี้เลย ก็อย่างที่ทราบ เรื่องนี้ เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งระหว่างผกก.ชาวสเปน Jamue Collet - Serra กับ Liam Neeson เป็นครั้งที่สี่ หลังเคยฝากผลงานแอ็คชั่นทริลเลอร์ดังๆไว้อย่าง Unknown (2011), Non-Stop (2014), Run All Night (2015) ซึ่งถ้าใครเคยดูสามเรื่องนี้ จะรู้ว่าหนังของผกก.คนนี้แกอาจไม่เน้นฉากแอ็คชั่นดิบระห่ำมากมาย เหมือนหนังไตรภาค Taken ของป๋าเลียม แต่เน้นประเด็นความดราม่า ทริลเลอร์ กดดัน ซึ่งเรื่องนี้ ผมว่าหนังมีโทนคล้ายเรื่อง Non-Stop เปลี่ยนสถานการณ์จากเครื่องบินมาเป็นรถไฟ หนังยังคงทิ้งปริศนาให้เราคิดคอยตามช่วยป๋าเลียมหาคนร้ายทั้งเรื่อง อารมณ์คล้ายๆเรื่อง Source Code (2011) แต่เรื่องนี้ จะมีความสมจริงสมจังมากกว่า ฉากบู๊อย่างที่บอกไม่มาก เนื่องจากอายุของป๋าแกด้วย มีฉากเตะต่อย ยิงปืนบ้างเล็กน้อย แต่ก็ดิบระดับนึง ตัวร้ายจริงๆมีอยู่ไม่กี่คน ตามสูตรหนังฝรั่งแบบหลักเหลี่ยมหักมุม ไอพวกคนสนิทพระเอกหรือเพื่อนพระเอกมักจะกลายมาเป็นคนร้ายตอนจบเรื่อง มาในเรื่องนี้ก็เช่นกัน ส่วนป๋าเลียม ก็แสดงดีเช่นเคย บทดราม่า ปมชีวิตรันทดต้องให้แกเล่น ครอบครัวมีปัญหา ตกงาน โดนกดดัน เหมาะกับป๋าแกมากๆ แกดูแก่ลงกว่าเรื่อง Run All Night (2015) อยู่มาก ก็ตามอายุ แต่ยังมีมาดความเท่ ความเก๋าอยู่
ในส่วนของบทและเนื้อเรื่อง ก็อย่างที่บอกโทนหนังคล้ายเรื่อง Non-Stop มากๆ เปลี่ยนจากเครื่องบินมารถไฟ อารมณ์ลุ้นแบบเดียวกัน พระเอกคนเดียวถูกคนร้ายบังคับตามหามือวางระเบิดก่อนทุกคนในรถไฟจะตาย ดีนะ ในเรื่องป๋าแกเคยเป็นตำรวจเก่า เลยพอมีฝีมือ มีความฉลาดอยู่บ้าง ลองกลับกัน ป๋ามีคนแก่เพิ่งตกงาน เป็นพ่อบ้านธรรมดา ลองมาทำแบบนี้ดู รับรองตายแน่นอน แต่ผมว่า เรื่องนี้มีการคลี่คลายปมดีกว่าเรื่อง Non-Stop เหตุผลมันดีกว่ากระชับกว่า หนังแรกๆ พระเอกดูเป็นคนคลั่ง ผู้คนในรถไฟดูแกเป็นเหมือนคนบ้า เดินทั่วโบกี้ ไล่ตามคนโน้นคนนี่ แถมมีการฆาตกรรมเกิดขึ้น พวกตำรวจตามจับ ดูป๋ากลายเป็นคนร้าย แต่สุดท้ายพอกลางๆเรื่อง ปมเริ่มคลาย ทุกคนในรถไฟก็ช่วยป๋ากันหาตัวคนร้ายเพื่อยับยั้งการระเบิด แบบเดียวกับเรื่อง Non-Stop เลย ถือว่าคุ้มค่าตั๋วที่ได้ดูเรื่องนี้ครับ โดยส่วนตัวผมชอบหนังแอ็คชั่นของป๋าแกมากๆ ชอบทุกเรื่อง โดยเฉพาะหนังไตรภาค Taken และเรื่องนี้ก็ยังคงคุณภาพงานของป๋าและผกก.คู่บุญคนนี้ของแกอยู่
ผมให้คะแนนเรื่องนี้ไป 8.5/10
(ที่ตัดคะแนนไป 1.5 คะแนน เพราะ โทนหนังมันยังเหมือนเรื่อง Non-Stop ไปหน่อย น่าจะมีความแปลกใหม่ ให้ลุ้นมากกว่านี้)
มาต่อกับหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ปล้นมหาประลัยเรื่อง Den Of Theives ปล้นนรกโคตรคนเหนือเมฆ (2018) หนังแอ็คชั่นแนวปล้นสุดมัน ที่ได้พี่บึกมาดเข้มอย่าง Gerard Butler จาก 300, หนังตระกูล Has Fallen มาแสดงนำในบทนายอำเภอของเมืองแอลเอมาดเถื่อน
หนังเรื่องนี้ได้ผู้สร้างเรื่อง 300, London Has Fallen มาดูแลงานด้วย เพิ่มความเดือดไปอีก
ผมให้เรื่องนี้เป็นหนังปล้นที่ดีเทียบเท่าเรื่อง Heat (1995), The Town (2010) และ Fast Five (2011) เลยครับ หนังมันมีความสมจริงอยู่มาก ในการดำเนินเรื่อง มีบางส่วนอืดไปบ้าง แต่ก็ดูแล้วไม่หลับนะ พวกตัวร้ายมีความเจ้าเล่ห์ของมัน มีการชิงไหวชิงพริบกัน ระหว่างพวกโจรกับพวกพระเอกที่เป็นนายอำเภอ หนังโคตรพลิกล็อคตอนท้ายเรื่อง กลายเป็น ไอดอนนี่ เป็นหัวหน้าใหญ่คอยวางแผนปล้นธนาคาร แถมเตรียมปูเนื้อเรื่องหนังภาคต่อ ซึ่งทางทีมงานผู้สร้สงและพี่ เจอราล์ด บอกว่าภาคต่อของหนังเรื่องนี้ มีเเน่นอน ซึ่งผมรอดูเลยครับ ดูจากตัวอย่างหนังเหมือนจะไม่สนุก เป็นเหมือนหนังแอ็คชั่นทั่วไป ดูจริงๆ สนุกมาก ลุ้นระทึก มีบางประเด็นผมว่าไม่ควรใส่มานะ อย่างเรื่อง พระเอกกับเมีย ที่มีปัญหาจะหย่ากัน คือ มันไม่มีส่วนเกี่ยว
ข้องกับเนื้แเรื่องเลยนะ ใส่มาให้รกเปล่าๆ
พูดถึงการวางแผนปล้นของกลุ่มโจรในเรื่องนี้ ผมว่ามันพีคและมีแผนที่ฉลาดแยบยลมากๆ ยิ่งกว่าเรื่อง The Score (2001) ซะอีก มาแบบเนียนโคตร ทำงานเป็นทีมดีมาก ช่วยกันสุดๆ มาพลาดตรงตอนจบมาจ๊ะเอ๋กับพวกพระเอกเข้าให้
ฉากแอ็คชั่นเรื่องนี้ดูสมจริงมากๆ เน้นฉากไล่ยิงกันแบบ โหด ระห่ำสุดๆเลย ฉากตอนจบ ไล่ยิงกันกลางถนน ดูได้อารมณ์แบบเดียวกับ เรื่อง Heat เลยครับ เสียงปืนดังได้ใจ ยิ่งตอนดูในโรงแบบเสียงดังสะใจมากๆ อารมณ์แบบดูเรื่อง John Wick ในโรง ส่วนใหญ่มาแบบเสียง ปัง ปัง ปัง เป็นชุดเลยครับ พี่เจอราล์ด เรื่องนี้ พี่แกดูอืด บึก เถื่อน หนวดเครารก ตามบทบาท ใครว่าเรื่อง 300 กับบท บอดี้การ์ดปธน. ไมค์ แบนนิ่ง ในหนังตระกูล Has Fallen พี่แกระห่ำแล้ว เรื่องนี้ระห่ำ เถื่อน โหด คูณสองเลยครับ
โดยส่วนตัวผมให้คะแนนเรื่องนี้ไปที่ 9/10
(ตัดไปหนึ่งคะแนน เพราะ อย่างที่บอกบางช่วงหนังมันอืดไปหน่อย)
12 Strong 12 ตายไม่เป็น (2018) หนังแอ็คชั่นสงครามที่ดุเดือด เด็ดขาด แห่งปีนี้ ได้พี่ธอร์ Chris Hemsworth มาแสดงนำ แบบบทนี้ พี่โคตรจะเท่อะ ได้โปรดิวเซอร์จากเรื่อง Black Hawk Down (2002) ด้วย ยิ่งรับประกันความมัน
หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง และ 12 ทหารหน่วยรบนี้ ทุกคนก็เก่งกันหมด สมชื่อ ทั้งเรื่องพวกพี่แกแทบจะไม่โดนยิง หรือ บาดเจ็บอะไรมากมาย ถ้าเทียบกับเรื่อง Lone Survivor (2013) กับ 13 Hours (2015) สองเรื่องนั้นพวกพระเอกบาดเจ็บปางตายกันมากกว่า เรื่องนี้ มีฉากแอ็คชั่นมาเป็นระยะๆ ไม่มายิงถล่มกันระห่ำแบบ Black Hawk Down มีการคิดวางแผนตลบหลังพวกตาลิบัน มีความดราม่าของมัน
เนื้อเรื่องกับบทก็เหมือนหนังสงครามทั่วไป มีดราม่ากันในกลุ่มทหาร พูดคุยกันอืดอาดบ้าง โชว์สกิลเทพความเป็นหน่วยรบพิเศษ เท่ระเบิด ทุกคนเลย สำหรับพี่คริสเรื่องนี้ มามาดคล้ายๆ เรื่อง Red Dawn (2012) ตัดผมสั้น ไว้เครา ถือปืนสู้ตายบุกฝ่าด่านดงผู้ก่อการร้าย เปลี่ยนจากพวกเกาหลีเหนือ มาเป็น กลุ่มตาลิบันแทน ปกติหนังสงครามส่วนใหญ่จะจบเศร้า เช่น เพื่อนรักพระเอกตายกลางสมรภูมิ, พระเอกโดนยิงตาย แต่เรื่องนี้ไม่เป็นแบบนั้นครับ จบ happy ending ดีมากๆ ไม่มีใครตายในกลุ่มพระเอก ไม่เศร้า ตัวร้ายก็ตายแบบสะใจดี
โดยส่วนตัวผมชอบฉากสุดท้ายมากๆ ที่พี่คริสขี่ม้านำขบวนบุกรังตาลิบันที่กำลังจะยิงจรวดใส่ พี่แกขี่ม้าถือปืนมาอย่างเท่อะ ขนาดในเรื่องพระเอกเพิ่งเคยมารบเป็นครั้งแรกนะเนี่ย มาแบบเก๋าโคตร ยิงกระจุยกระจาย สุดๆเลยอะ
ผมให้คะแนนเรื่องนี้ไปที่ 8/10
(ตัดไปสองคะแนน เพราะว่า ผมว่าบางช่วงมันอืดไปหน่อย มันไม่ลุ้นน่าติดตาม เท่าเรื่อง Lone Survivor และ 13 Hours)
ปิดด้วยเรื่อง Death Wish นักฆ่าโคตรอึด (2018) หนังฟอร์มกลางๆ มาสไตล์ฆ่าล้างแค้น ในฉบับผกก. Eli Roth จาก Knock Knock (2015) ที่ได้ ป๋า Bruce Willis จาก Die Hard
1-5 (1988 - 2013), Armageddon (1998), RED (2010) มาแสดงในบท คุณหมอ พอล เคอร์ซีย์ ที่ตามล้างบางคนชั่วในเมือง ตั้งตนเป็นศาลเตี้ย ไล่ปราบเหล่าอาชญากร คล้าย Batman แต่แกไม่ใช่แค่ใช่อาวุธไฮเทค เตะต่อย อัดพวกโจร และส่งให้ตำรวจ อย่างป๋าแกต้อง ยิง ยิง ยิง เลือดกระฉูด สะใจตามฉบับแก
โทนหนังเหมือนหนังยุค 90 ไม่ต้องมีเนื้อเรื่องอะไรมากมาย ผูกปมนิดหน่อย ดราม่านิดๆ จากนั้นก็บู๊แหลก ฝ่าดงกระสุน แบบหนังยุคป๋าแกหนุ่มๆ แต่เรื่องนี้อาจจะไม่บู๊อลังเท่า Die Hard ของป๋าแก หนังบู๊ทุกเรื่องของป๋าเราก็เห็นป๋าแกจับปืนยิงผู้ร้ายตายมาเยอะ เรื่องนี้ก็เช่นกัน แต่... เรื่องนี้ สกิลแกอัพเกรดขึ้นเรื่อยๆ เพราะ แกเป็นหมอ เลยไม่ได้เก่งมีสกิลฆ่าคนตั้งแต่แรก แบบ บท John McClane ใน Die Hard แกต้องไปซื้อปืนมาฝึกซ้อมเองที่บ้าน โดนพวกขาโจ๋รุมยำรุมกระทืบบ้างตอนต้นเรื่อง ยิงปืนพลาดบ้าง ปืนดีดบ้าง ตรงนี้แหละที่ผมชอบ คือ ความสมจริง เริ่มเบื่อละ ที่มาแบบเก่งโคตรๆตั้งแต่ต้นเรื่องแบบ John Wick, The Equalizer, Jack Reacher และ Jason Bourne คือ มันไม่ต้องลุ้นตามอะ ปูเรื่องให้พวกพระเอกเก่งกันหมด ทั้งสกิลต่อสู้มือเปล่า, สกิลรถ, สกิลปืน, สกิลการวางแผนแบบฉลาดๆ เรื่องนี้ไม่มีให้เห็นแน่นอนครับ เนื่องจากพระเอกเป็นหมอ ต้องฝึกฝนการต่อสู้มากมาย และ ไม่ได้เก่งเทพมากมาย ก็ระห่ำ โหด ในฉบับคนทั่วไป ถือ เป็นหนังการกลับมาบู๊ระห่ำของป๋าบรูซที่ดีอีกเรื่องนึงเลยครับ
โดยส่วนตัวให้คะแนนไปที่ 10/10 สำหรับเรื่องนี้
มาคุยเรื่องหนังกัน ความรู้สึกจากเพื่อนๆที่ได้ดูหนังแอ็คชั่นต้นปี 2018 เหล่านี้ มีสี่เรื่องตามลิส
- The Commuter นรกใช้มาเกิด (2018)
ไม่เล่าเรื่องย่อ มาคุยกันถึงหนังเรื่องนี้เลย ก็อย่างที่ทราบ เรื่องนี้ เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งระหว่างผกก.ชาวสเปน Jamue Collet - Serra กับ Liam Neeson เป็นครั้งที่สี่ หลังเคยฝากผลงานแอ็คชั่นทริลเลอร์ดังๆไว้อย่าง Unknown (2011), Non-Stop (2014), Run All Night (2015) ซึ่งถ้าใครเคยดูสามเรื่องนี้ จะรู้ว่าหนังของผกก.คนนี้แกอาจไม่เน้นฉากแอ็คชั่นดิบระห่ำมากมาย เหมือนหนังไตรภาค Taken ของป๋าเลียม แต่เน้นประเด็นความดราม่า ทริลเลอร์ กดดัน ซึ่งเรื่องนี้ ผมว่าหนังมีโทนคล้ายเรื่อง Non-Stop เปลี่ยนสถานการณ์จากเครื่องบินมาเป็นรถไฟ หนังยังคงทิ้งปริศนาให้เราคิดคอยตามช่วยป๋าเลียมหาคนร้ายทั้งเรื่อง อารมณ์คล้ายๆเรื่อง Source Code (2011) แต่เรื่องนี้ จะมีความสมจริงสมจังมากกว่า ฉากบู๊อย่างที่บอกไม่มาก เนื่องจากอายุของป๋าแกด้วย มีฉากเตะต่อย ยิงปืนบ้างเล็กน้อย แต่ก็ดิบระดับนึง ตัวร้ายจริงๆมีอยู่ไม่กี่คน ตามสูตรหนังฝรั่งแบบหลักเหลี่ยมหักมุม ไอพวกคนสนิทพระเอกหรือเพื่อนพระเอกมักจะกลายมาเป็นคนร้ายตอนจบเรื่อง มาในเรื่องนี้ก็เช่นกัน ส่วนป๋าเลียม ก็แสดงดีเช่นเคย บทดราม่า ปมชีวิตรันทดต้องให้แกเล่น ครอบครัวมีปัญหา ตกงาน โดนกดดัน เหมาะกับป๋าแกมากๆ แกดูแก่ลงกว่าเรื่อง Run All Night (2015) อยู่มาก ก็ตามอายุ แต่ยังมีมาดความเท่ ความเก๋าอยู่
ในส่วนของบทและเนื้อเรื่อง ก็อย่างที่บอกโทนหนังคล้ายเรื่อง Non-Stop มากๆ เปลี่ยนจากเครื่องบินมารถไฟ อารมณ์ลุ้นแบบเดียวกัน พระเอกคนเดียวถูกคนร้ายบังคับตามหามือวางระเบิดก่อนทุกคนในรถไฟจะตาย ดีนะ ในเรื่องป๋าแกเคยเป็นตำรวจเก่า เลยพอมีฝีมือ มีความฉลาดอยู่บ้าง ลองกลับกัน ป๋ามีคนแก่เพิ่งตกงาน เป็นพ่อบ้านธรรมดา ลองมาทำแบบนี้ดู รับรองตายแน่นอน แต่ผมว่า เรื่องนี้มีการคลี่คลายปมดีกว่าเรื่อง Non-Stop เหตุผลมันดีกว่ากระชับกว่า หนังแรกๆ พระเอกดูเป็นคนคลั่ง ผู้คนในรถไฟดูแกเป็นเหมือนคนบ้า เดินทั่วโบกี้ ไล่ตามคนโน้นคนนี่ แถมมีการฆาตกรรมเกิดขึ้น พวกตำรวจตามจับ ดูป๋ากลายเป็นคนร้าย แต่สุดท้ายพอกลางๆเรื่อง ปมเริ่มคลาย ทุกคนในรถไฟก็ช่วยป๋ากันหาตัวคนร้ายเพื่อยับยั้งการระเบิด แบบเดียวกับเรื่อง Non-Stop เลย ถือว่าคุ้มค่าตั๋วที่ได้ดูเรื่องนี้ครับ โดยส่วนตัวผมชอบหนังแอ็คชั่นของป๋าแกมากๆ ชอบทุกเรื่อง โดยเฉพาะหนังไตรภาค Taken และเรื่องนี้ก็ยังคงคุณภาพงานของป๋าและผกก.คู่บุญคนนี้ของแกอยู่
ผมให้คะแนนเรื่องนี้ไป 8.5/10
(ที่ตัดคะแนนไป 1.5 คะแนน เพราะ โทนหนังมันยังเหมือนเรื่อง Non-Stop ไปหน่อย น่าจะมีความแปลกใหม่ ให้ลุ้นมากกว่านี้)
มาต่อกับหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ปล้นมหาประลัยเรื่อง Den Of Theives ปล้นนรกโคตรคนเหนือเมฆ (2018) หนังแอ็คชั่นแนวปล้นสุดมัน ที่ได้พี่บึกมาดเข้มอย่าง Gerard Butler จาก 300, หนังตระกูล Has Fallen มาแสดงนำในบทนายอำเภอของเมืองแอลเอมาดเถื่อน
หนังเรื่องนี้ได้ผู้สร้างเรื่อง 300, London Has Fallen มาดูแลงานด้วย เพิ่มความเดือดไปอีก
ผมให้เรื่องนี้เป็นหนังปล้นที่ดีเทียบเท่าเรื่อง Heat (1995), The Town (2010) และ Fast Five (2011) เลยครับ หนังมันมีความสมจริงอยู่มาก ในการดำเนินเรื่อง มีบางส่วนอืดไปบ้าง แต่ก็ดูแล้วไม่หลับนะ พวกตัวร้ายมีความเจ้าเล่ห์ของมัน มีการชิงไหวชิงพริบกัน ระหว่างพวกโจรกับพวกพระเอกที่เป็นนายอำเภอ หนังโคตรพลิกล็อคตอนท้ายเรื่อง กลายเป็น ไอดอนนี่ เป็นหัวหน้าใหญ่คอยวางแผนปล้นธนาคาร แถมเตรียมปูเนื้อเรื่องหนังภาคต่อ ซึ่งทางทีมงานผู้สร้สงและพี่ เจอราล์ด บอกว่าภาคต่อของหนังเรื่องนี้ มีเเน่นอน ซึ่งผมรอดูเลยครับ ดูจากตัวอย่างหนังเหมือนจะไม่สนุก เป็นเหมือนหนังแอ็คชั่นทั่วไป ดูจริงๆ สนุกมาก ลุ้นระทึก มีบางประเด็นผมว่าไม่ควรใส่มานะ อย่างเรื่อง พระเอกกับเมีย ที่มีปัญหาจะหย่ากัน คือ มันไม่มีส่วนเกี่ยว
ข้องกับเนื้แเรื่องเลยนะ ใส่มาให้รกเปล่าๆ
พูดถึงการวางแผนปล้นของกลุ่มโจรในเรื่องนี้ ผมว่ามันพีคและมีแผนที่ฉลาดแยบยลมากๆ ยิ่งกว่าเรื่อง The Score (2001) ซะอีก มาแบบเนียนโคตร ทำงานเป็นทีมดีมาก ช่วยกันสุดๆ มาพลาดตรงตอนจบมาจ๊ะเอ๋กับพวกพระเอกเข้าให้
ฉากแอ็คชั่นเรื่องนี้ดูสมจริงมากๆ เน้นฉากไล่ยิงกันแบบ โหด ระห่ำสุดๆเลย ฉากตอนจบ ไล่ยิงกันกลางถนน ดูได้อารมณ์แบบเดียวกับ เรื่อง Heat เลยครับ เสียงปืนดังได้ใจ ยิ่งตอนดูในโรงแบบเสียงดังสะใจมากๆ อารมณ์แบบดูเรื่อง John Wick ในโรง ส่วนใหญ่มาแบบเสียง ปัง ปัง ปัง เป็นชุดเลยครับ พี่เจอราล์ด เรื่องนี้ พี่แกดูอืด บึก เถื่อน หนวดเครารก ตามบทบาท ใครว่าเรื่อง 300 กับบท บอดี้การ์ดปธน. ไมค์ แบนนิ่ง ในหนังตระกูล Has Fallen พี่แกระห่ำแล้ว เรื่องนี้ระห่ำ เถื่อน โหด คูณสองเลยครับ
โดยส่วนตัวผมให้คะแนนเรื่องนี้ไปที่ 9/10
(ตัดไปหนึ่งคะแนน เพราะ อย่างที่บอกบางช่วงหนังมันอืดไปหน่อย)
12 Strong 12 ตายไม่เป็น (2018) หนังแอ็คชั่นสงครามที่ดุเดือด เด็ดขาด แห่งปีนี้ ได้พี่ธอร์ Chris Hemsworth มาแสดงนำ แบบบทนี้ พี่โคตรจะเท่อะ ได้โปรดิวเซอร์จากเรื่อง Black Hawk Down (2002) ด้วย ยิ่งรับประกันความมัน
หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง และ 12 ทหารหน่วยรบนี้ ทุกคนก็เก่งกันหมด สมชื่อ ทั้งเรื่องพวกพี่แกแทบจะไม่โดนยิง หรือ บาดเจ็บอะไรมากมาย ถ้าเทียบกับเรื่อง Lone Survivor (2013) กับ 13 Hours (2015) สองเรื่องนั้นพวกพระเอกบาดเจ็บปางตายกันมากกว่า เรื่องนี้ มีฉากแอ็คชั่นมาเป็นระยะๆ ไม่มายิงถล่มกันระห่ำแบบ Black Hawk Down มีการคิดวางแผนตลบหลังพวกตาลิบัน มีความดราม่าของมัน
เนื้อเรื่องกับบทก็เหมือนหนังสงครามทั่วไป มีดราม่ากันในกลุ่มทหาร พูดคุยกันอืดอาดบ้าง โชว์สกิลเทพความเป็นหน่วยรบพิเศษ เท่ระเบิด ทุกคนเลย สำหรับพี่คริสเรื่องนี้ มามาดคล้ายๆ เรื่อง Red Dawn (2012) ตัดผมสั้น ไว้เครา ถือปืนสู้ตายบุกฝ่าด่านดงผู้ก่อการร้าย เปลี่ยนจากพวกเกาหลีเหนือ มาเป็น กลุ่มตาลิบันแทน ปกติหนังสงครามส่วนใหญ่จะจบเศร้า เช่น เพื่อนรักพระเอกตายกลางสมรภูมิ, พระเอกโดนยิงตาย แต่เรื่องนี้ไม่เป็นแบบนั้นครับ จบ happy ending ดีมากๆ ไม่มีใครตายในกลุ่มพระเอก ไม่เศร้า ตัวร้ายก็ตายแบบสะใจดี
โดยส่วนตัวผมชอบฉากสุดท้ายมากๆ ที่พี่คริสขี่ม้านำขบวนบุกรังตาลิบันที่กำลังจะยิงจรวดใส่ พี่แกขี่ม้าถือปืนมาอย่างเท่อะ ขนาดในเรื่องพระเอกเพิ่งเคยมารบเป็นครั้งแรกนะเนี่ย มาแบบเก๋าโคตร ยิงกระจุยกระจาย สุดๆเลยอะ
ผมให้คะแนนเรื่องนี้ไปที่ 8/10
(ตัดไปสองคะแนน เพราะว่า ผมว่าบางช่วงมันอืดไปหน่อย มันไม่ลุ้นน่าติดตาม เท่าเรื่อง Lone Survivor และ 13 Hours)
ปิดด้วยเรื่อง Death Wish นักฆ่าโคตรอึด (2018) หนังฟอร์มกลางๆ มาสไตล์ฆ่าล้างแค้น ในฉบับผกก. Eli Roth จาก Knock Knock (2015) ที่ได้ ป๋า Bruce Willis จาก Die Hard
1-5 (1988 - 2013), Armageddon (1998), RED (2010) มาแสดงในบท คุณหมอ พอล เคอร์ซีย์ ที่ตามล้างบางคนชั่วในเมือง ตั้งตนเป็นศาลเตี้ย ไล่ปราบเหล่าอาชญากร คล้าย Batman แต่แกไม่ใช่แค่ใช่อาวุธไฮเทค เตะต่อย อัดพวกโจร และส่งให้ตำรวจ อย่างป๋าแกต้อง ยิง ยิง ยิง เลือดกระฉูด สะใจตามฉบับแก
โทนหนังเหมือนหนังยุค 90 ไม่ต้องมีเนื้อเรื่องอะไรมากมาย ผูกปมนิดหน่อย ดราม่านิดๆ จากนั้นก็บู๊แหลก ฝ่าดงกระสุน แบบหนังยุคป๋าแกหนุ่มๆ แต่เรื่องนี้อาจจะไม่บู๊อลังเท่า Die Hard ของป๋าแก หนังบู๊ทุกเรื่องของป๋าเราก็เห็นป๋าแกจับปืนยิงผู้ร้ายตายมาเยอะ เรื่องนี้ก็เช่นกัน แต่... เรื่องนี้ สกิลแกอัพเกรดขึ้นเรื่อยๆ เพราะ แกเป็นหมอ เลยไม่ได้เก่งมีสกิลฆ่าคนตั้งแต่แรก แบบ บท John McClane ใน Die Hard แกต้องไปซื้อปืนมาฝึกซ้อมเองที่บ้าน โดนพวกขาโจ๋รุมยำรุมกระทืบบ้างตอนต้นเรื่อง ยิงปืนพลาดบ้าง ปืนดีดบ้าง ตรงนี้แหละที่ผมชอบ คือ ความสมจริง เริ่มเบื่อละ ที่มาแบบเก่งโคตรๆตั้งแต่ต้นเรื่องแบบ John Wick, The Equalizer, Jack Reacher และ Jason Bourne คือ มันไม่ต้องลุ้นตามอะ ปูเรื่องให้พวกพระเอกเก่งกันหมด ทั้งสกิลต่อสู้มือเปล่า, สกิลรถ, สกิลปืน, สกิลการวางแผนแบบฉลาดๆ เรื่องนี้ไม่มีให้เห็นแน่นอนครับ เนื่องจากพระเอกเป็นหมอ ต้องฝึกฝนการต่อสู้มากมาย และ ไม่ได้เก่งเทพมากมาย ก็ระห่ำ โหด ในฉบับคนทั่วไป ถือ เป็นหนังการกลับมาบู๊ระห่ำของป๋าบรูซที่ดีอีกเรื่องนึงเลยครับ
โดยส่วนตัวให้คะแนนไปที่ 10/10 สำหรับเรื่องนี้