Attack of the Japanese Balloons
1.
ต้นไม้เกี่ยวบอลลูนระเบิด ใน Kansas วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1945 Photo credit: Japan Times
.
เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2488
สาธุชน
Archie Mitchell กับภริยาซึ่งตั้งครรภ์ได้ 5 เดือนแล้ว
พร้อมกับศิษยาภิบาลรุ่นเด็กจำนวน 5 คนเดินทางออกจากโบสถ์
เพื่อไปพักผ่อนและตกปลาบนเทือกเขาใกล้กับ
Bly ใน Oregon
Archie Mitchell ได้ทิ้งให้กลุ่มศิษยาภิบาลอยู่บนทางลากซุง
เพื่อให้เดินเท้าขึ้นไปยังที่พักบนภูเขา
ส่วน Archie Mitchell ก็ขับรถยนต์ล่วงหน้าขึ้นไปบนที่พักก่อน
ในที่สุด ขบวนศิษยาภิบาลก็เดินทางมาถึง
Leonard Creek
สถานที่ทุกคนตั้งใจจะกินอาหารกลางวันร่วมกัน
ในขณะที่ Archie Mitchell กำลังขนข้าวของลงจากรถยนต์
ท่านก็ได้ยินเด็กคนหนึ่งพูดว่า
" ดูสิ เราเจออะไรกัน ดูเหมือนว่าจะเป็นบอลลูน "
Elise ภรรยาของท่านและพวกเด็ก ๆ ต่างวิ่งไปดูสิ่งที่เพื่อนคนหนึ่งพบ
สักครู่ต่อมา มีเสียงระเบิดดังสนั่นกลบความเงียบสงบของภูเขา
ระเบิดครั้งนี้ได้ฆ่า Elsie Mitchell, Sherman Shoemaker, Edward Engen,
Jay Gifford, Joan Patzke และ Dick Patzke
เด็กทุกคนที่มีอายุระหว่าง 11 ถึง 14 ปี
คนเหล่านี้เป็นเพียงชาวอเมริกันเพียงกลุ่มเดียวที่ถูกสังหาร
โดยการโจมตีของข้าศึกในดินแดนแผ่นดินใหญ่ในสหรัฐอเมริกา
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (นอกเหนือจากที่เกาะฮาวาย)
สิ่งที่ฆ่าภรรยาและพวกเด็ก ๆ ของ Archie Mitchell ในวันนั้น
คือ ระเบิดบอลลูนญี่ปุ่น หรือ บอลลูนไฟ
ที่บินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกถึง 8,000 กิโลเมตร
และตกลงบนแถบภูเขา
Gearheart
รออยู่อย่างเงียบสงบจนกว่าคนโชคร้ายไปแตะต้องมัน
โดยเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายไม่ตั้งใจหรือไม่รู้ว่ามันมีภยันตราย
ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลดชนวนระเบิด
ได้ระบุว่า ระเบิดชุดนี้ถูกเด็กเตะมันจึงระเบิด
2
.
บอลลูนระเบิดญี่ปุ่นเป็นอาวุธสงครามที่สร้างขึ้นมา
เพื่อชดเชยการสูญเสียแสนยานุภาพทางอากาศของญี่ปุ่น
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก
เพราะกองทัพญี่ปุ่นไม่มีเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดใหญ่
และประสิทธิภาพเหมือนกับเครื่องบินทิ้งระเบิด
B-29
ที่สามารถบินไปโจมตีเมืองใด ๆ ในสหรัฐอเมริกาได้
รวมทั้งไม่มีเรือบรรทุกเครื่องบิน/สนามบินเพียงพอ
สำหรับการลำเลียง/ขนส่งเครื่องบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิคได้
ดังนั้น ญี่ปุ่นจึงวางแผนโจมตีข้าศึกแบบใหม่ด้วยบอลลูนระเบิด
เมื่อ 2 ทศวรรษก่อนหน้าสงครามโลกครั้งทึ่ 2
Wasaburo Oishi นักอุตุนิยมวิทยาชาวญี่ปุ่น
ได้ค้นพบกระแสลมบนที่ระดับความสูงมาก
ในปัจจุบันเรียกว่า
กระแสลมกรด
ที่พัดผ่านข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก
โดยทั้งนี้ Wasaburo Oishi ได้ทำการทดลองด้วยลูกโป่ง
ที่ปล่อยจากสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศญี่ปุ่น
และประสบความสำเร็จจากกระแสลมกรด
ที่พัดพาลูกโป่งจากตะวันตกไปตะวันออก
แต่น่าเสียดายที่ Wasaburo Oishi
เลือกที่จะตีพิมพ์ผลงานของท่านใน
Esperanto
ซึ่งเป็นภาษาที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่มีคนใช้งานกันไม่มากในยุคนั้น
จึงทำให้ผลงานวิจัยของท่านล้มเหลว/ไม่มีคนสนใจมากนัก
แต่เมื่อกองทัพญี่ปุ่นได้รับเอกสารงานวิจัยชิ้นนี้ของท่าน
ทางกองทัพญี่ปุ่นตระหนักดีว่า กระแสลมกรดในที่ระดับสูงนี้
สามารถใช้เป็นเส้นทางลำเลียงระเบิดได้และจะสร้างความหวาดกลัว
ที่ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา
.
บอลลูนระเบิด (โคมระย้า) ที่ Canadian War Museum ใน Ottawa
.
ในช่วงระยะเวลา 5 เดือนเศษ
ที่เริ่มต้นในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2487
สิ้นสุดในเดือนเมษายนในปีพ.ศ.2488
กองทัพญี่ปุ่นได้ส่งบอลลูนระเบิดมากกว่า 9,000 ลูก
บอลลูนแต่ละลูกบรรจุด้วยก๊าซไฮโดรเจน
โดยแต่ละลูกจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 10 เมตร
และบรรจุวัตถุระเบิดที่มีน้ำหนักหลายพันปอนด์
บอลลูนแต่ละลูกจะปล่อยให้บินขึ้นไปที่ความสูง 30,000 ฟุต (9.14 กิโลเมตร)
โดยกลไกอัตโนมัติจะทำการควบคุมระดับความสูงของบอลลูนให้เหมาะสม
ซึ่งจะปล่อยถุงทรายทิ้งเมื่อบอลลูนบินต่ำเกินไป
หรือระบายก๊าซไฮโดรเจนออกมาเมื่อบอลลูนบินสูงเกินไป
บอลลูนจะล่องลอยข้ามมหาสมุทรแปซิฟิคด้วยกระแสลมกรดที่ระดับความสูง
กินเวลาราว 3 วัน โดยในวันที่ 3 กลไกจับเวลาที่ตั้งระบบไว้จะทำงานทันที
โดยจะทิ้งตัวลงในดินแดนสหรัฐและระเบิดในทันที
บอลลูนจะทำลายตัวเองเพื่อป้องกันศัตรู(สหรัฐอเมริกา)
ใช้วิศวกรรมย้อนกลับในการถอดความรู้จากเทคโนโลยีดังกล่าว
แม้ว่ากองทัพญี่ปุ่นจะได้ปล่อยบอลลูนระเบิดถึง 9,000 ลูก
แต่มีบอลลูนระเบิดเพียง 300 ลูกที่เดินทางถึงสหรัฐอเมริกา
กระจัดกระจายไปตามชายฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ
ตั้งแต่ Alaska จนถึง Mexico และไกลไปถึง Texas, Wyoming และ Michigan
แต่บอลลูนระเบิดส่วนใหญ่มักจะตกลงในที่ทุรกันดาร/ห่างไกลจากที่ผู้คนอยู่อาศัย
จึงก่อให้เกิดความเสียหายเพียงเล็กน้อยต่อสหรัฐอเมริกา
แต่ก็สร้างความวิตกกังวล/หวาดกลัวให้กับประชาชนได้
อาจจะเป็นเพราะ Wasaburo Oishi คำนวณผิดพลาด
โดยคาดว่าบอลลูนระเบิดจะใช้เวลาเดินทางจากญี่ปุ่นถึงสหรัฐอเมริกา
ในเวลาราว ๆ 65 ชั่วโมง แต่กลับใช้เวลาเดินทางจริงโดยเฉลี่ย 96 ชั่วโมง
ทำให้บอลลูนระเบิดส่วนใหญ่ตกลงในท้องทะเลมหาสมุทรแปซิฟิค
เลยแทบไม่ได้แตะต้องแผ่นดินสหรัฐอเมริกาเลย
แต่เรื่องใหญ่ที่สุดที่น่ากลัวคือ
ไฟป่า
จนต้องตั้งกองทหาร 2,700 นายประจำการพร้อมอุปกรณ์ดับเพลิง
ตั้งกองกำลังประจำการอยู่ตามจุดสำคัญตามแนวชายฝั่งทะเลแปซิฟิก
รวมทั้งมีเครื่องบินรบประจำการเพื่อทำลายบอลลูนระเบิด
แต่บอลลูนระเบิดญี่ปุ่นบินได้สูง/ล่องลอยไปได้อย่างรวดเร็วมากอย่างเหลือเชื่อ
มีบอลลูนระเบิดน้อยกว่า 20 ลูกที่ถูกยิงสอยลงมาได้
ในตอนแรก ยังไม่มีใครเชื่อว่าบอลลูนระเบิดส่งมาจากญี่ปุ่นโดยตรง
แต่เมื่อทรายจากถุงทรายได้รับการวิเคราะห์
เพื่อหาองค์ประกอบของแร่ธาตุและชนิดของ
Diatoms
และสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลที่มีขนาดเล็กมาก
Microscopic Sea Creatures ในกองทราย
ทำให้ไร้ข้อสงสัยใด ๆ ในเรื่องนี้เลย
ทั้งนี้ นักธรณีวิทยายังได้ติดตามตรวจสอบกองทราย
ด้วยการลงเก็บตัวอย่างจากพื้นที่ชายหาดใกล้เมือง
Ichinomiya บนเกาะ
Honshu
รวมทั้งการลาดตระเวนทางอากาศของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา
ก็พบว่ามีโรงงานผลิตไฮโดรเจน 2 แห่งตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง
จึงมีคำสั่งจากกองทัพสหรัฐฯ ให้ทำลายทันที ด้วยการโจมตีทิ้งระเบิดแบบไม่ยั้ง
.
Manta Ray" by J. Ralph & Anohni (F.K.A. Antony)
.
ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ทำทุกหนทาง
เพื่อปกปิกเรื่องบอลลูนระเบิดไม่ให้ออกข่าวจากสื่อมวลชน
รวมทั้งปฏิเสธข้อมูลของญี่ปุ่นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของบอลลูนระเบิด
ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ประชาชนชาวอเมริกันตื่นตระหนกจนเกินไป
ในเวลาเดียวกันนั้น หน่วยงานโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่น
ก็รายงานข่าวอย่างเมามันว่า
บอลลูนระเบิดบรรลุเป้าหมายตามต้องการ
ทำให้ผู้คนหลายพันคนบาดเจ็บล้มตาย
ทั้งนี้เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับชาวญี่ปุ่น
ซึ่งอยู่ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2
เพราะกองทัพญี่ปุ่นเริ่มพ่ายแพ้ในหลายสมรภูมิรบ
จนต้องสร้างฝูงบินพลีชีพ
คะมิกะเซะ
บินเข้าโจมตีกองเรือรบสหรัฐอเมริกาในเขตมหาสมุทรแปซิฟิค
แต่ลึกลงไปกว่านั้นแล้ว กองทัพญี่ปุ่นรู้ดีว่า
ปฏิบัติการครั้งนี้ล้มเหลว
(ปล่อยไป 9,000 ลูกบรรลุเป้าหมาย 300 ลูกคิดเป็น 3.3%
รวมทั้งญี่ปุ่นเริ่มขาดแคลนทรัพยากรหลายอย่างแล้ว)
และหลังจากที่โรงงานผลิตไฮโดรเจน 2 แห่งถูกทำลายลง
นายพล Tatsumi Kusaba ก็สั่งให้ยุติปฏิบัติการทันที
.
ทั้งนี้ หลังการตายของชาวอเมริกันกลุ่มแรกใน Oregon
สื่อมวลชนต่างถูกปิดข่าวจริงในเรื่องนี้ในทุกสื่อ
เพราะเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้สรุปกันว่า
ถ้าประชาชนรู้เรื่องนี้จะตื่นตระหนกกับภัยคุกคามของญี่ปุ่น
ในทุกวันนี้ สถานที่เกิดโศกนาฎกรรมจากบอลลูนระเบิดที่ฆ่าคนไป 6 คน
มีการก่อกองศิลาขนาดใหญ่ทำเป็นอนุสรณ์สถานพร้อมแผ่นป้ายทองสัมฤทธิ์
ระบุชื่อและอายุของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ราย
และที่ใกล้ ๆ กับอนุสรณ์สถานยังมีต้นสน
Ponderosa pine
ที่ยังมีร่องรอยสะเก็ดระเบิดเป็นบาดแผลบนเปลือกต้นสน
.
เรียบเรียง/ที่มา
https://goo.gl/Fqds7R
https://goo.gl/3q4AGn
https://goo.gl/bfqgvJ
https://goo.gl/DU6C1F
บอลลูนระเบิดญี่ปุ่นโจมตีดินแดนสหรัฐอเมริกา
Attack of the Japanese Balloons
1.
ต้นไม้เกี่ยวบอลลูนระเบิด ใน Kansas วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1945 Photo credit: Japan Times
.
เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2488
สาธุชน Archie Mitchell กับภริยาซึ่งตั้งครรภ์ได้ 5 เดือนแล้ว
พร้อมกับศิษยาภิบาลรุ่นเด็กจำนวน 5 คนเดินทางออกจากโบสถ์
เพื่อไปพักผ่อนและตกปลาบนเทือกเขาใกล้กับ Bly ใน Oregon
Archie Mitchell ได้ทิ้งให้กลุ่มศิษยาภิบาลอยู่บนทางลากซุง
เพื่อให้เดินเท้าขึ้นไปยังที่พักบนภูเขา
ส่วน Archie Mitchell ก็ขับรถยนต์ล่วงหน้าขึ้นไปบนที่พักก่อน
ในที่สุด ขบวนศิษยาภิบาลก็เดินทางมาถึง Leonard Creek
สถานที่ทุกคนตั้งใจจะกินอาหารกลางวันร่วมกัน
ในขณะที่ Archie Mitchell กำลังขนข้าวของลงจากรถยนต์
ท่านก็ได้ยินเด็กคนหนึ่งพูดว่า
" ดูสิ เราเจออะไรกัน ดูเหมือนว่าจะเป็นบอลลูน "
Elise ภรรยาของท่านและพวกเด็ก ๆ ต่างวิ่งไปดูสิ่งที่เพื่อนคนหนึ่งพบ
สักครู่ต่อมา มีเสียงระเบิดดังสนั่นกลบความเงียบสงบของภูเขา
ระเบิดครั้งนี้ได้ฆ่า Elsie Mitchell, Sherman Shoemaker, Edward Engen,
Jay Gifford, Joan Patzke และ Dick Patzke
เด็กทุกคนที่มีอายุระหว่าง 11 ถึง 14 ปี
คนเหล่านี้เป็นเพียงชาวอเมริกันเพียงกลุ่มเดียวที่ถูกสังหาร
โดยการโจมตีของข้าศึกในดินแดนแผ่นดินใหญ่ในสหรัฐอเมริกา
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (นอกเหนือจากที่เกาะฮาวาย)
สิ่งที่ฆ่าภรรยาและพวกเด็ก ๆ ของ Archie Mitchell ในวันนั้น
คือ ระเบิดบอลลูนญี่ปุ่น หรือ บอลลูนไฟ
ที่บินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกถึง 8,000 กิโลเมตร
และตกลงบนแถบภูเขา Gearheart
รออยู่อย่างเงียบสงบจนกว่าคนโชคร้ายไปแตะต้องมัน
โดยเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายไม่ตั้งใจหรือไม่รู้ว่ามันมีภยันตราย
ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลดชนวนระเบิด
ได้ระบุว่า ระเบิดชุดนี้ถูกเด็กเตะมันจึงระเบิด
.
บอลลูนระเบิดญี่ปุ่นเป็นอาวุธสงครามที่สร้างขึ้นมา
เพื่อชดเชยการสูญเสียแสนยานุภาพทางอากาศของญี่ปุ่น
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก
เพราะกองทัพญี่ปุ่นไม่มีเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดใหญ่
และประสิทธิภาพเหมือนกับเครื่องบินทิ้งระเบิด B-29
ที่สามารถบินไปโจมตีเมืองใด ๆ ในสหรัฐอเมริกาได้
รวมทั้งไม่มีเรือบรรทุกเครื่องบิน/สนามบินเพียงพอ
สำหรับการลำเลียง/ขนส่งเครื่องบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิคได้
ดังนั้น ญี่ปุ่นจึงวางแผนโจมตีข้าศึกแบบใหม่ด้วยบอลลูนระเบิด
เมื่อ 2 ทศวรรษก่อนหน้าสงครามโลกครั้งทึ่ 2
Wasaburo Oishi นักอุตุนิยมวิทยาชาวญี่ปุ่น
ได้ค้นพบกระแสลมบนที่ระดับความสูงมาก
ในปัจจุบันเรียกว่า กระแสลมกรด
ที่พัดผ่านข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก
โดยทั้งนี้ Wasaburo Oishi ได้ทำการทดลองด้วยลูกโป่ง
ที่ปล่อยจากสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศญี่ปุ่น
และประสบความสำเร็จจากกระแสลมกรด
ที่พัดพาลูกโป่งจากตะวันตกไปตะวันออก
แต่น่าเสียดายที่ Wasaburo Oishi
เลือกที่จะตีพิมพ์ผลงานของท่านใน Esperanto
ซึ่งเป็นภาษาที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่มีคนใช้งานกันไม่มากในยุคนั้น
จึงทำให้ผลงานวิจัยของท่านล้มเหลว/ไม่มีคนสนใจมากนัก
แต่เมื่อกองทัพญี่ปุ่นได้รับเอกสารงานวิจัยชิ้นนี้ของท่าน
ทางกองทัพญี่ปุ่นตระหนักดีว่า กระแสลมกรดในที่ระดับสูงนี้
สามารถใช้เป็นเส้นทางลำเลียงระเบิดได้และจะสร้างความหวาดกลัว
ที่ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา
.
บอลลูนระเบิด (โคมระย้า) ที่ Canadian War Museum ใน Ottawa
.
ในช่วงระยะเวลา 5 เดือนเศษ
ที่เริ่มต้นในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2487
สิ้นสุดในเดือนเมษายนในปีพ.ศ.2488
กองทัพญี่ปุ่นได้ส่งบอลลูนระเบิดมากกว่า 9,000 ลูก
บอลลูนแต่ละลูกบรรจุด้วยก๊าซไฮโดรเจน
โดยแต่ละลูกจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 10 เมตร
และบรรจุวัตถุระเบิดที่มีน้ำหนักหลายพันปอนด์
บอลลูนแต่ละลูกจะปล่อยให้บินขึ้นไปที่ความสูง 30,000 ฟุต (9.14 กิโลเมตร)
โดยกลไกอัตโนมัติจะทำการควบคุมระดับความสูงของบอลลูนให้เหมาะสม
ซึ่งจะปล่อยถุงทรายทิ้งเมื่อบอลลูนบินต่ำเกินไป
หรือระบายก๊าซไฮโดรเจนออกมาเมื่อบอลลูนบินสูงเกินไป
บอลลูนจะล่องลอยข้ามมหาสมุทรแปซิฟิคด้วยกระแสลมกรดที่ระดับความสูง
กินเวลาราว 3 วัน โดยในวันที่ 3 กลไกจับเวลาที่ตั้งระบบไว้จะทำงานทันที
โดยจะทิ้งตัวลงในดินแดนสหรัฐและระเบิดในทันที
บอลลูนจะทำลายตัวเองเพื่อป้องกันศัตรู(สหรัฐอเมริกา)
ใช้วิศวกรรมย้อนกลับในการถอดความรู้จากเทคโนโลยีดังกล่าว
แม้ว่ากองทัพญี่ปุ่นจะได้ปล่อยบอลลูนระเบิดถึง 9,000 ลูก
แต่มีบอลลูนระเบิดเพียง 300 ลูกที่เดินทางถึงสหรัฐอเมริกา
กระจัดกระจายไปตามชายฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ
ตั้งแต่ Alaska จนถึง Mexico และไกลไปถึง Texas, Wyoming และ Michigan
แต่บอลลูนระเบิดส่วนใหญ่มักจะตกลงในที่ทุรกันดาร/ห่างไกลจากที่ผู้คนอยู่อาศัย
จึงก่อให้เกิดความเสียหายเพียงเล็กน้อยต่อสหรัฐอเมริกา
แต่ก็สร้างความวิตกกังวล/หวาดกลัวให้กับประชาชนได้
อาจจะเป็นเพราะ Wasaburo Oishi คำนวณผิดพลาด
โดยคาดว่าบอลลูนระเบิดจะใช้เวลาเดินทางจากญี่ปุ่นถึงสหรัฐอเมริกา
ในเวลาราว ๆ 65 ชั่วโมง แต่กลับใช้เวลาเดินทางจริงโดยเฉลี่ย 96 ชั่วโมง
ทำให้บอลลูนระเบิดส่วนใหญ่ตกลงในท้องทะเลมหาสมุทรแปซิฟิค
เลยแทบไม่ได้แตะต้องแผ่นดินสหรัฐอเมริกาเลย
แต่เรื่องใหญ่ที่สุดที่น่ากลัวคือ ไฟป่า
จนต้องตั้งกองทหาร 2,700 นายประจำการพร้อมอุปกรณ์ดับเพลิง
ตั้งกองกำลังประจำการอยู่ตามจุดสำคัญตามแนวชายฝั่งทะเลแปซิฟิก
รวมทั้งมีเครื่องบินรบประจำการเพื่อทำลายบอลลูนระเบิด
แต่บอลลูนระเบิดญี่ปุ่นบินได้สูง/ล่องลอยไปได้อย่างรวดเร็วมากอย่างเหลือเชื่อ
มีบอลลูนระเบิดน้อยกว่า 20 ลูกที่ถูกยิงสอยลงมาได้
ในตอนแรก ยังไม่มีใครเชื่อว่าบอลลูนระเบิดส่งมาจากญี่ปุ่นโดยตรง
แต่เมื่อทรายจากถุงทรายได้รับการวิเคราะห์
เพื่อหาองค์ประกอบของแร่ธาตุและชนิดของ Diatoms
และสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลที่มีขนาดเล็กมาก Microscopic Sea Creatures ในกองทราย
ทำให้ไร้ข้อสงสัยใด ๆ ในเรื่องนี้เลย
ทั้งนี้ นักธรณีวิทยายังได้ติดตามตรวจสอบกองทราย
ด้วยการลงเก็บตัวอย่างจากพื้นที่ชายหาดใกล้เมือง Ichinomiya บนเกาะ Honshu
รวมทั้งการลาดตระเวนทางอากาศของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา
ก็พบว่ามีโรงงานผลิตไฮโดรเจน 2 แห่งตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง
จึงมีคำสั่งจากกองทัพสหรัฐฯ ให้ทำลายทันที ด้วยการโจมตีทิ้งระเบิดแบบไม่ยั้ง
.
Manta Ray" by J. Ralph & Anohni (F.K.A. Antony)
.
ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ทำทุกหนทาง
เพื่อปกปิกเรื่องบอลลูนระเบิดไม่ให้ออกข่าวจากสื่อมวลชน
รวมทั้งปฏิเสธข้อมูลของญี่ปุ่นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของบอลลูนระเบิด
ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ประชาชนชาวอเมริกันตื่นตระหนกจนเกินไป
ในเวลาเดียวกันนั้น หน่วยงานโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่น
ก็รายงานข่าวอย่างเมามันว่า
บอลลูนระเบิดบรรลุเป้าหมายตามต้องการ
ทำให้ผู้คนหลายพันคนบาดเจ็บล้มตาย
ทั้งนี้เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับชาวญี่ปุ่น
ซึ่งอยู่ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2
เพราะกองทัพญี่ปุ่นเริ่มพ่ายแพ้ในหลายสมรภูมิรบ
จนต้องสร้างฝูงบินพลีชีพ คะมิกะเซะ
บินเข้าโจมตีกองเรือรบสหรัฐอเมริกาในเขตมหาสมุทรแปซิฟิค
แต่ลึกลงไปกว่านั้นแล้ว กองทัพญี่ปุ่นรู้ดีว่าปฏิบัติการครั้งนี้ล้มเหลว
(ปล่อยไป 9,000 ลูกบรรลุเป้าหมาย 300 ลูกคิดเป็น 3.3%
รวมทั้งญี่ปุ่นเริ่มขาดแคลนทรัพยากรหลายอย่างแล้ว)
และหลังจากที่โรงงานผลิตไฮโดรเจน 2 แห่งถูกทำลายลง
นายพล Tatsumi Kusaba ก็สั่งให้ยุติปฏิบัติการทันที
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นายพล Tatsumi Kusaba ฆ่าตัวตายหลังจากถูกกองทัพโซเวียตรัสเซียจับกุมตัวเป็นเชลยได้
.
ทั้งนี้ หลังการตายของชาวอเมริกันกลุ่มแรกใน Oregon
สื่อมวลชนต่างถูกปิดข่าวจริงในเรื่องนี้ในทุกสื่อ
เพราะเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้สรุปกันว่า
ถ้าประชาชนรู้เรื่องนี้จะตื่นตระหนกกับภัยคุกคามของญี่ปุ่น
ในทุกวันนี้ สถานที่เกิดโศกนาฎกรรมจากบอลลูนระเบิดที่ฆ่าคนไป 6 คน
มีการก่อกองศิลาขนาดใหญ่ทำเป็นอนุสรณ์สถานพร้อมแผ่นป้ายทองสัมฤทธิ์
ระบุชื่อและอายุของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ราย
และที่ใกล้ ๆ กับอนุสรณ์สถานยังมีต้นสน Ponderosa pine
ที่ยังมีร่องรอยสะเก็ดระเบิดเป็นบาดแผลบนเปลือกต้นสน
ประวัติย่อ Wasaburo Oishi
.
เรียบเรียง/ที่มา
https://goo.gl/Fqds7R
https://goo.gl/3q4AGn
https://goo.gl/bfqgvJ
https://goo.gl/DU6C1F
Mitchell Recreation Area. Photo credit: Jayedgerton/Wikimedia
บอลลูนระเบิดที่หล่นในฟาร์ม North Dakota เดือนสิงหาคม 1945
ที่พักแรมของ Archie Mitchell
ป้ายอนุสรณ์สถาน
The Christian and Missionary Alliance church in Bly, Oregon
Fire balloon 風船爆弾 (fūsen bakudan)
Type B บอลลูนกระดาษ Washi เคลือบยาง ถูกกู้ขึ้นจากท้องทะเล
ชุดควบคุมขนาดย่อม ใช้กลไก Aneroid (ตรงกลาง) พร้อมชุดอุปกรณ์เสริม
บอลลูนระเบิดที่พบที่ Bigelow ในรัฐ Kansas 23 กุมภาพันธ์ 1945
เด็กนักเรียนตรวจสอบบอลลูน
สตรีตัดเย็บบอลลูนด้วยกระดาษ Washi
Navajo รหัสลับอินเดียนแดงที่ช่วยสหรัฐมีชัยชนะใน WWII
ลับลวงพรางโรงงานสร้างเครื่องบิน Lockheed ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ลับลวงพรางของรัสเซีย