[หนังโรงเรื่องที่ 229] น้อง.พี่.ที่รัก - ฉบับวิเคราะห์/สับเละ ตามใจคนเขียน
คะแนนความชอบ : B (จากสเกล D-A)
(วิทยา ทองอยู่ยง, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: เจนขวัญ (อุรัสยา เสปอร์บันด์) สาวมากความสามารถดีกรีเรียนจบจากประเทศญี่ปุ่นได้กลับมาประเทศบ้านเกิดตัวเอง และได้พบรักกับเพื่อนร่วมงานลูกครึ่งญี่ปุ่นอย่าง "โมจิ" (นิชคุณ หรเวชกุล) และดูเหมือนทุกๆ อย่างจะเป็นไปด้วยดี แต่ก็ดันมีพี่ชายสุดหวงก้างอย่าง ชัชวินทร์ (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) หนุ่มโสดชีวิตแสนยุ่งเหยิงเข้ามาขัดขวาง เรื่องราวความรักและความอีรุงตุงนังของพี่ๆ น้องๆ จึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้
.
.
ส่วนตัวคิดว่านี่เป็นหนังที่ตกคุณภาพของ GDH มากๆ ด้วยความที่บทมันอ่อนมากจนเห็นได้ชัด และที่สำคัญคือแทบจะ "ไม่มีพัฒนาการตัวละครเลย" คือเปิดเรื่องมายังไง ในตอนจบเรื่องตัวละครก็ยังมีนิสัยเดิมอยู่ เราไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ไปมากกว่าสิ่งที่หนังได้เล่าตั้งแต่ต้นเรื่อง (narrative) ทั้งๆ ที่หนังมันเล่าเยอะมากกกก เยอะจนแปลกใจว่ากลัวคนดูจะไม่เข้าใจเหรอ ว่าชีวิตของสองพี่น้องมันขัดใจกันยังไง ทั้งๆ ที่มันน่าจะใช้วิธีเล่าผ่านภาพบ้างก็ได้
.
ความแย่ของหนังในช่วงต้นถึงกลางเรื่องก็คือการกระโดดข้ามเวลาไปมาแบบไม่บอกกล่าว ที่งงสุดคือจู่ๆ นางเอกก็โพล่งออกมาว่า "คบกับโมจิได้สองเดือนแล้ว" ห๊ะ อะไรนะ พึ่งคัตฉากไปไม่กี่ฉากเอง คบกันนานขนาดนั้นแล้วเหรอ
คือเข้าใจว่าจุดประสงค์คือเพื่อเร่งรัดส่วนที่ไม่จำเป็นเพื่อที่จะได้ไปขยี้ฉากดราม่าที่อยากทำเยอะๆ แต่มันก็มีผลให้ตัวละครพระ-นางมันไม่มีเวลาให้ develop ความสัมพันธ์ให้เราเห็นด้วย มันเลยกลายเป็นความรักแบบฝืนๆ ที่ไม่เป็นธรรมชาติ ยิ่งบวกกับความจืดจางของตัวละครโมจิแล้ว ยิ่งทำให้ดูแย่เข้าไปอีก
.
ไหนๆ ก็พูดถึงแล้ว ตัวละครของ "นิชคุณ" คือสิ่งที่น่าสงสารที่สุดในหนังเรื่องนี้ ด้วยความที่ตัวละครโมจิมันมีสภาพเป็นเหมือนไม้ดอกไม้ประดับมากๆ อารมณ์แบบว่าไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ มายืนมึนๆ ทำหน้าซื่อๆ ประกอบฉากไป ปล่อยให้ญาญ่ากับซันนี่เล่นไป โอเค๊?
คือก็เข้าใจว่าผู้กำกับอาจจะรู้ว่าฝีมือการแสดงของเขาไม่ค่อยเวิร์กเท่าไร ก็เลยพยายามไม่ส่งบทให้ แต่มันก็เลี่ยงจนเกินพอดีทำให้ตัวละครมันเหมือนเป็นใบ้ไปเลย ฉากที่ดูจะเข้าท่าที่สุดก็มีแค่ฉากขอแต่งงานที่ดูสมกับเป็นตัวละครบ้าง แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรดีเลย
กระทั่งฉากที่ควรจะซึ้งในศูนย์เลสิก (ในขณะที่เรากำลังสับสนว่าจู่ๆ นางเอกมันมาทำเลสิกได้ยังไงวะ?) ก็ออกมาดูแข็งทื่อไม่เป็นธรรมชาติอีกแล้ว ยิ่งตัวละครมันถูกออกแบบมาให้โคตรจะ naive ยิ่งทำให้มันจืดชืดเข้าไปใหญ่ เอาจริงๆ คือใครก็เล่นได้นะ บทนี้
.
หนังยังมีปัญหาใช้พล็อตเสริมบางอย่างแบบทิ้งๆขว้างๆ เช่น ตัวละคร "หมวย" (ณภัสนันท์ สิรินดาศุภสิริ) เจ้าของร้านดอกไม้ที่เหมือนจะเป็นแฟนและหุ้นส่วนร้านของชัช ที่ไม่รู้จะปูมาให้เปลืองน้ำลายทำไมถ้าไม่คิดจะใช้ให้เป็นประโยชน์เลย ทั้งเรื่องนี่ได้ขึ้นจอราวๆ 2-3 นาทีเองมั้ง โธ่ แม่คุณเอ๊ย
.
สิ่งที่ทำให้หนังรอดตายและจบได้อย่างสวยงามก็คงหนีไม่พ้นพลังน้ำตาของ "ซันนี่" ตอนจบเรื่องที่เป็นฟินนาเล่มากๆ ด้วยความที่ตัวละครของชัชมันถูกวางมาให้เป็นพี่ชายผู้ไม่ give a shit กับอะไรทั้งสิ้น น้องจะไม่รักเหรอ ตกงานเหรอ ไม่เป็นไร กูอยู่ได้ ไม่เคยเสียน้ำตาสักหยด และสิ่งที่อัดอั้นตันใจกับเวลาที่เสียไปอย่างไร้ค่าร่วม 10 ปีมันก็ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านน้ำตาแรกของลูกผู้ชาย ซึ่งมันเป็นอะไรที่กระแทกอารมณ์ยิ่งกว่าฉากไหนๆ ต่อให้เอาญาญ่ากับนิชคุณมาช่วยกันก็ยังไม่ได้เท่าฉากนี้
.
แต่ก็ต้องขอบ่นอีก คือดูจากเรียวจังที่โตระดับเข้าโรงเรียนประถมได้แล้ว แถมเพิ่งคลอดลูกคนที่สองมาอีก แสดงว่าชัชกับเจนจะต้องไม่ได้เจอกันมาเกือบสิบปีแล้ว หนังน่าจะช่วยขับเน้นให้เห็นถึงการสูงวัยของตัวละครบ้างสักนิดก็ยังดี อาจจะเป็นการเมคอัพเพิ่มริ้วรอยหรืออะไรก็ตามแต่ ให้มันรู้สึกว่าตัวละครมันแก่ตัวขึ้นจริงๆ ให้เข้ากับเซนส์ของเวลาที่ผันเปลี่ยนไป แต่นี่พี่แกเล่นเอาตัวละครสภาพเดิม ทรงผมเดิม แต่งตัวแบบๆ เดิมมายกแก๊งค์เลย (ขนาดตัวละครอายุมากอย่างแม่ชัชก็ยังเหมือนเดิม) มันก็อาจจะตกสอบเรื่องรายละเอียดไปหรือเปล่า
.
.
ส่วนเดียวที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้คือ "ข้อความ" ที่หนังพยายามจะสื่อ ซึ่งมันเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่เราคิดมากๆ และผู้เขียนก็คิดว่าหนังมันนำเสนอออกมาได้ดี ดังนี้
นิสัยใจคอของตัวละครหลักทั้งคู่ล้วนเป็นตัวอย่างของความ "สุดโต่ง" ในแบบของตัวเอง คือในขณะที่ชัชเป็นตัวแทนของนิสัยที่ไทยจ๋ามากๆ ตัวเจนเองก็เป็นนิสัยที่ญี่ปุ่นเกินไปเหมือนกัน และทั้งสองคนก็ยึดมั่นในแนวทางของตัวเองอย่างไม่สนใจใคร เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่นี่แหละ มันถูกแล้ว ดีแล้ว ดีที่สุดกับคนอื้นแล้ว แต่ปัญหาจริงๆ ก็คือการที่ไม่มีใคร "ถามอีกฝั่งก่อนเลย ว่าเขาต้องการอะไร" จนเรื่องมันบานปลายแบบนี้
ฉากที่เจ็บหัวใจที่สุดก็คือตอนที่ชัชได้รู้ว่างานที่ตัวเองเพิ่งได้มานั้น ไม่ได้เกิดจากความสามารถหรือโปรไฟล์งานในอดีตเลย แต่เป็นแค่ "เส้นสายจากความสงสาร" ของน้องสาวที่จัดการไว้ให้เสร็จสรรพเรียบร้อย หลายคนอาจจะนึกด่าตัวละครชัชในใจว่า "ไม่ดีตรงไหนวะ มีงานมีเงินก็ดีแล้ว น้องเขาทำให้ตั้งขนาดนี้"
ซึ่งมันก็อาจจะเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ แต่ปัญหาคือไม่มีใครถามเขาเลยว่าต้องการตัวเลือกแบบนี้ไหม ความมั่นใจในตัวเองของเขาต้องแตกสลายไปเพียงเพราะ "ความหวังดี" ของน้องสาว ตบท้ายด้วยหนังสือที่น้องสาวโอนบ้านหลังที่เขาแทบจะไม่ได้ออกเงินผ่อนให้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันคือการตอกย้ำศักดิ์ศรีของเขา ทำให้ตัวละครเลือกที่จะปฏิเสธทุกอย่างที่ทำร้ายเขาทิ้งไปในที่สุด
ในขณะเดียวกันสิ่งที่ชัชทำกับความรักของเจนก็ไม่แฟร์ ถึงแม้สิ่งที่เขาคิดมันอาจจะถูกหรือรอบคอบกว่า แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปห้าม ขัดขวาง หรือทำลายชีวิตความรักของน้องสาว เพราะ ณ เวลานี้ยุคนี้มันไม่ควรจะมีใครที่มีอำนาจตัดสินใจเหนือคนอื่นแล้ว ในทางกลับกันหากเขาเลือกที่จะตักเตือนสติน้องสาวดีๆ และให้ความสนใจกับบริบทความสัมพันธ์ครั้งนี้มากขึ้น ทุกอย่างก็อาจจะจบด้วยดีก็ได้
แต่ก็นั่นแหละ ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเพราะ "ไม่มีใครหันหน้ามาคุยกัน" ซึ่งประเด็นนี้เชื่อว่าทุกคนก็คงเคยประสบมาในชีวิตจริงอยู่แล้ว หากมีข้อคิดสักข้อที่หนังจะสอนให้เราได้ ก็คงจะเป็นการที่เราควรจะคุยกันเยอะๆ อย่าคิดแทน อย่าทำอะไรแทน เพียงเพราะความคิดที่ว่า "มันน่าจะดีกับเขาที่สุดแล้ว"
เพราะท้ายที่สุดนั้น เราต่างก็ควรที่จะเคารพความคิดซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นในฐานะพี่น้อง พ่อแม่ลูก หรือคนรักกันก็ดี.
#ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 229] น้อง.พี่.ที่รัก - ฉบับวิเคราะห์/สับเละ ตามใจคนเขียน by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 229] น้อง.พี่.ที่รัก - ฉบับวิเคราะห์/สับเละ ตามใจคนเขียน
คะแนนความชอบ : B (จากสเกล D-A)
(วิทยา ทองอยู่ยง, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: เจนขวัญ (อุรัสยา เสปอร์บันด์) สาวมากความสามารถดีกรีเรียนจบจากประเทศญี่ปุ่นได้กลับมาประเทศบ้านเกิดตัวเอง และได้พบรักกับเพื่อนร่วมงานลูกครึ่งญี่ปุ่นอย่าง "โมจิ" (นิชคุณ หรเวชกุล) และดูเหมือนทุกๆ อย่างจะเป็นไปด้วยดี แต่ก็ดันมีพี่ชายสุดหวงก้างอย่าง ชัชวินทร์ (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) หนุ่มโสดชีวิตแสนยุ่งเหยิงเข้ามาขัดขวาง เรื่องราวความรักและความอีรุงตุงนังของพี่ๆ น้องๆ จึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้
.
ส่วนตัวคิดว่านี่เป็นหนังที่ตกคุณภาพของ GDH มากๆ ด้วยความที่บทมันอ่อนมากจนเห็นได้ชัด และที่สำคัญคือแทบจะ "ไม่มีพัฒนาการตัวละครเลย" คือเปิดเรื่องมายังไง ในตอนจบเรื่องตัวละครก็ยังมีนิสัยเดิมอยู่ เราไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ไปมากกว่าสิ่งที่หนังได้เล่าตั้งแต่ต้นเรื่อง (narrative) ทั้งๆ ที่หนังมันเล่าเยอะมากกกก เยอะจนแปลกใจว่ากลัวคนดูจะไม่เข้าใจเหรอ ว่าชีวิตของสองพี่น้องมันขัดใจกันยังไง ทั้งๆ ที่มันน่าจะใช้วิธีเล่าผ่านภาพบ้างก็ได้
ความแย่ของหนังในช่วงต้นถึงกลางเรื่องก็คือการกระโดดข้ามเวลาไปมาแบบไม่บอกกล่าว ที่งงสุดคือจู่ๆ นางเอกก็โพล่งออกมาว่า "คบกับโมจิได้สองเดือนแล้ว" ห๊ะ อะไรนะ พึ่งคัตฉากไปไม่กี่ฉากเอง คบกันนานขนาดนั้นแล้วเหรอ
คือเข้าใจว่าจุดประสงค์คือเพื่อเร่งรัดส่วนที่ไม่จำเป็นเพื่อที่จะได้ไปขยี้ฉากดราม่าที่อยากทำเยอะๆ แต่มันก็มีผลให้ตัวละครพระ-นางมันไม่มีเวลาให้ develop ความสัมพันธ์ให้เราเห็นด้วย มันเลยกลายเป็นความรักแบบฝืนๆ ที่ไม่เป็นธรรมชาติ ยิ่งบวกกับความจืดจางของตัวละครโมจิแล้ว ยิ่งทำให้ดูแย่เข้าไปอีก
ไหนๆ ก็พูดถึงแล้ว ตัวละครของ "นิชคุณ" คือสิ่งที่น่าสงสารที่สุดในหนังเรื่องนี้ ด้วยความที่ตัวละครโมจิมันมีสภาพเป็นเหมือนไม้ดอกไม้ประดับมากๆ อารมณ์แบบว่าไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ มายืนมึนๆ ทำหน้าซื่อๆ ประกอบฉากไป ปล่อยให้ญาญ่ากับซันนี่เล่นไป โอเค๊?
คือก็เข้าใจว่าผู้กำกับอาจจะรู้ว่าฝีมือการแสดงของเขาไม่ค่อยเวิร์กเท่าไร ก็เลยพยายามไม่ส่งบทให้ แต่มันก็เลี่ยงจนเกินพอดีทำให้ตัวละครมันเหมือนเป็นใบ้ไปเลย ฉากที่ดูจะเข้าท่าที่สุดก็มีแค่ฉากขอแต่งงานที่ดูสมกับเป็นตัวละครบ้าง แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรดีเลย
กระทั่งฉากที่ควรจะซึ้งในศูนย์เลสิก (ในขณะที่เรากำลังสับสนว่าจู่ๆ นางเอกมันมาทำเลสิกได้ยังไงวะ?) ก็ออกมาดูแข็งทื่อไม่เป็นธรรมชาติอีกแล้ว ยิ่งตัวละครมันถูกออกแบบมาให้โคตรจะ naive ยิ่งทำให้มันจืดชืดเข้าไปใหญ่ เอาจริงๆ คือใครก็เล่นได้นะ บทนี้
หนังยังมีปัญหาใช้พล็อตเสริมบางอย่างแบบทิ้งๆขว้างๆ เช่น ตัวละคร "หมวย" (ณภัสนันท์ สิรินดาศุภสิริ) เจ้าของร้านดอกไม้ที่เหมือนจะเป็นแฟนและหุ้นส่วนร้านของชัช ที่ไม่รู้จะปูมาให้เปลืองน้ำลายทำไมถ้าไม่คิดจะใช้ให้เป็นประโยชน์เลย ทั้งเรื่องนี่ได้ขึ้นจอราวๆ 2-3 นาทีเองมั้ง โธ่ แม่คุณเอ๊ย
สิ่งที่ทำให้หนังรอดตายและจบได้อย่างสวยงามก็คงหนีไม่พ้นพลังน้ำตาของ "ซันนี่" ตอนจบเรื่องที่เป็นฟินนาเล่มากๆ ด้วยความที่ตัวละครของชัชมันถูกวางมาให้เป็นพี่ชายผู้ไม่ give a shit กับอะไรทั้งสิ้น น้องจะไม่รักเหรอ ตกงานเหรอ ไม่เป็นไร กูอยู่ได้ ไม่เคยเสียน้ำตาสักหยด และสิ่งที่อัดอั้นตันใจกับเวลาที่เสียไปอย่างไร้ค่าร่วม 10 ปีมันก็ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านน้ำตาแรกของลูกผู้ชาย ซึ่งมันเป็นอะไรที่กระแทกอารมณ์ยิ่งกว่าฉากไหนๆ ต่อให้เอาญาญ่ากับนิชคุณมาช่วยกันก็ยังไม่ได้เท่าฉากนี้
แต่ก็ต้องขอบ่นอีก คือดูจากเรียวจังที่โตระดับเข้าโรงเรียนประถมได้แล้ว แถมเพิ่งคลอดลูกคนที่สองมาอีก แสดงว่าชัชกับเจนจะต้องไม่ได้เจอกันมาเกือบสิบปีแล้ว หนังน่าจะช่วยขับเน้นให้เห็นถึงการสูงวัยของตัวละครบ้างสักนิดก็ยังดี อาจจะเป็นการเมคอัพเพิ่มริ้วรอยหรืออะไรก็ตามแต่ ให้มันรู้สึกว่าตัวละครมันแก่ตัวขึ้นจริงๆ ให้เข้ากับเซนส์ของเวลาที่ผันเปลี่ยนไป แต่นี่พี่แกเล่นเอาตัวละครสภาพเดิม ทรงผมเดิม แต่งตัวแบบๆ เดิมมายกแก๊งค์เลย (ขนาดตัวละครอายุมากอย่างแม่ชัชก็ยังเหมือนเดิม) มันก็อาจจะตกสอบเรื่องรายละเอียดไปหรือเปล่า
.
ส่วนเดียวที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้คือ "ข้อความ" ที่หนังพยายามจะสื่อ ซึ่งมันเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่เราคิดมากๆ และผู้เขียนก็คิดว่าหนังมันนำเสนอออกมาได้ดี ดังนี้
นิสัยใจคอของตัวละครหลักทั้งคู่ล้วนเป็นตัวอย่างของความ "สุดโต่ง" ในแบบของตัวเอง คือในขณะที่ชัชเป็นตัวแทนของนิสัยที่ไทยจ๋ามากๆ ตัวเจนเองก็เป็นนิสัยที่ญี่ปุ่นเกินไปเหมือนกัน และทั้งสองคนก็ยึดมั่นในแนวทางของตัวเองอย่างไม่สนใจใคร เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่นี่แหละ มันถูกแล้ว ดีแล้ว ดีที่สุดกับคนอื้นแล้ว แต่ปัญหาจริงๆ ก็คือการที่ไม่มีใคร "ถามอีกฝั่งก่อนเลย ว่าเขาต้องการอะไร" จนเรื่องมันบานปลายแบบนี้
ฉากที่เจ็บหัวใจที่สุดก็คือตอนที่ชัชได้รู้ว่างานที่ตัวเองเพิ่งได้มานั้น ไม่ได้เกิดจากความสามารถหรือโปรไฟล์งานในอดีตเลย แต่เป็นแค่ "เส้นสายจากความสงสาร" ของน้องสาวที่จัดการไว้ให้เสร็จสรรพเรียบร้อย หลายคนอาจจะนึกด่าตัวละครชัชในใจว่า "ไม่ดีตรงไหนวะ มีงานมีเงินก็ดีแล้ว น้องเขาทำให้ตั้งขนาดนี้"
ซึ่งมันก็อาจจะเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ แต่ปัญหาคือไม่มีใครถามเขาเลยว่าต้องการตัวเลือกแบบนี้ไหม ความมั่นใจในตัวเองของเขาต้องแตกสลายไปเพียงเพราะ "ความหวังดี" ของน้องสาว ตบท้ายด้วยหนังสือที่น้องสาวโอนบ้านหลังที่เขาแทบจะไม่ได้ออกเงินผ่อนให้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันคือการตอกย้ำศักดิ์ศรีของเขา ทำให้ตัวละครเลือกที่จะปฏิเสธทุกอย่างที่ทำร้ายเขาทิ้งไปในที่สุด
ในขณะเดียวกันสิ่งที่ชัชทำกับความรักของเจนก็ไม่แฟร์ ถึงแม้สิ่งที่เขาคิดมันอาจจะถูกหรือรอบคอบกว่า แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปห้าม ขัดขวาง หรือทำลายชีวิตความรักของน้องสาว เพราะ ณ เวลานี้ยุคนี้มันไม่ควรจะมีใครที่มีอำนาจตัดสินใจเหนือคนอื่นแล้ว ในทางกลับกันหากเขาเลือกที่จะตักเตือนสติน้องสาวดีๆ และให้ความสนใจกับบริบทความสัมพันธ์ครั้งนี้มากขึ้น ทุกอย่างก็อาจจะจบด้วยดีก็ได้
แต่ก็นั่นแหละ ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเพราะ "ไม่มีใครหันหน้ามาคุยกัน" ซึ่งประเด็นนี้เชื่อว่าทุกคนก็คงเคยประสบมาในชีวิตจริงอยู่แล้ว หากมีข้อคิดสักข้อที่หนังจะสอนให้เราได้ ก็คงจะเป็นการที่เราควรจะคุยกันเยอะๆ อย่าคิดแทน อย่าทำอะไรแทน เพียงเพราะความคิดที่ว่า "มันน่าจะดีกับเขาที่สุดแล้ว"
เพราะท้ายที่สุดนั้น เราต่างก็ควรที่จะเคารพความคิดซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นในฐานะพี่น้อง พ่อแม่ลูก หรือคนรักกันก็ดี.
#ตั๋วหนังมันแพง