สวัสดีค่ะทุกคนนนน วันนี้จะมารีวิวการเที่ยวกรุงเทพฯ โดยเดินทางรังสิต – กรุงเทพฯ ระยะเวลาทั้งสิ้นเพียง 8 ชั่วโมงเท่านั้น!!
ต้องขอสารภาพก่อนเลยนะคะว่ากระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของนักศึกษาที่ทำทริปเล็กๆ ไปเที่ยว 1 วัน โดยมี Concept ของการเที่ยวครั้งนี้คือ “ต้องเดินทางโดยใช้การขนส่งสาธารณะเท่านั้น โดยมีข้อยกเว้นคือห้ามใช้บริการรถแท็กซี่และรถตู้” และ “ทำอย่างไรก็ได้ให้ต้นทุนในการเที่ยวครั้งนี้มันน้อยที่สุด” โดยเราเลือกที่จะไป “ป้อมพระสุเมรุ” และก็สถานที่ใกล้เคียงแถบระแวกนั้นนะคะ การเที่ยวครั้งนี้ เราวางงบไว้ที่ 400 บาท มาดูกันว่าจะได้อะไรมาบ้างนะคะ
-- เราจะเริ่มเดินทางจากสถานีรถไฟรังสิต ไปลงที่สถานีรถไฟหัวลำโพงนะคะ --
ซื้อตั๋วแล้ว ตั๋วราคาใบละ 20 บาท (มีใครให้มากกว่านี้มั้ยย) ราคานี้คือราคาขบวนเร็วนะคะ เสียดายที่ไปไม่ทันรอบธรรมดาเพราะรอบนั้นตั๋วแค่ใบละ 6 บาท ถูกมากกก เพราะเราต้อง Save cost เราเลยต้องเลือกเดินทางโดยรถไฟนะคะ ใครที่ชอบชิวๆ ไม่รีบเท่าไหร่ ก็แนะนำรถไฟเลยค่ะ
---- 1 ชั่วโมงผ่านไป ----
มาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงแล้วววว
เพิ่งเคยมาสถานีรถไฟนี้เป็นครั้งแรก มันก็มีเสน่ห์ในแบบของมันนะ มีความคล้ายโบสถ์คริสต์หน่อยๆ
พอมาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงเราจะนั่งรถเมล์สาย 53 ไปหน้าป้อมพระสุเมรุกัน ไปรอรถเมล์ข้างสถานีรถไฟได้เลย
รอแล้วรอเล่าน้องก็ยังไม่มา
ในที่สุดดด..
ได้ขึ้นรถแล้ววว รถเมล์สายนี้ 6.50 บาทตลอดสาย แต่พาอ้อมโลกแบบสุดเหวี่ยง 5555
-- 50 นาที ผ่านไป --
เราลงป้ายก่อนถึงป้อมพระสุเมรุ เพราะจะได้เดินเล่นแถวๆนั้นไป ดูไปด้วยว่าแถวๆนั้นเป็นยังไงบ้าง แล้วไปสะดุดกับร้านนึงค่ะ เพราะร้านเล็กแต่คนเยอะมากๆ
มองจากฝั่งตรงข้ามร้านคิดว่าน่าจะเป็นร้านขายสเก็ตบอร์ดไม่ก็เสื้อผ้าสตรีท เพราะแถวนั้นมีชาวต่างชาติเยอะ และร้านแต่งสตรีทๆหน่อย เราเลยจะเดินข้ามไปดูว่าร้านนั้นขายอะไรและมีอะไรเป็น Signature ของร้านกันบ้าง
แล้วเราก็ข้ามมาหน้าร้านนี้นะคะ ชื่อร้าน "Escaped" เป็นร้านขายเบอร์เกอร์ เราลองเข้า Google ว่าร้านนี้มีอะไรเด็ด ปรากฏว่าร้านนี้เบอร์เกอร์เนื้อเด็ดดวงสุดๆ แล้วโชคก็ไม่เข้าข้างเพราะเจ้าของกระทู้กับคู่บัดดี้ไม่กินเนื้อค่ะ 55555 แต่ร้านนี้ก็ไม่ได้มีแค่เบอร์เกอร์เนื้อ เบอร์เกอร์หมูหรือว่าไก่นางก็มี เราเลยคิดไว้ว่าจะมากินเบอร์เกอร์กันก่อนกลับบ้านค่ะ
เดินไปเรื่อยๆก็เริ่มเห็นป้อมพระสุเมรุไกลๆค่ะ
เจอของจริงแล้วสวยมากกกกกกกกกก
---- ขอเล่าประวัติของป้อมพระสุเมรุเล็กน้อยนะคะ ----
"ป้อมพระสุเมรุ" เป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ในสมัยนั้นได้มีการสร้างป้อมปราการ 14 แห่งเพื่อป้องกันพระนคร แต่เมื่อเวลาผ่านไป ป้อมปราการหมดความจำเป็น จึงถูกรื้อถอนไป ป้อมพระสุเมรุเป็น 1 ใน 2 ป้อมที่ยังคงเหลืออยู่ อีกป้อมหนึ่งคือ "ป้อมมหากาฬ" ชื่อป้อมพระสุเมรุก็ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อ "ถนนพระสุเมรุ"
ด้วยความที่ป้อมพระสุเมรุซึ่งสร้างมาแต่รัชกาลที่ 1 มีลักษณะสวยงามและเป็นประโยชน์ใช้สอยมากมาย มีเชิงเทิน ช่องยิงปืน ห้องเก็บกระสุนดินดำ และอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ แต่ก็ชำรุดทรุดโทรมเป็นธรรมดา จนถึง พ.ศ. 2524 กรมศิลปากรได้ซ่อมแซมบูรณะตามรูปแบบเดิมจากภาพถ่ายในสมัยรัชกาลที่ 5 จนแลดูสง่างามเหมือนเดิม และยังปรับปรุงบริเวณโดยรอบให้เป็นสวนสาธารณะอีกด้วย โดยให้ชื่อว่า "สวนสันติชัยปราการ" มีพลับพลา ชื่อว่า "พระที่นั่งสันติชัยปราการ" ชุมชนโดยรอบป้อมพระสุเมรุ คือชุมชนถนนพระอาทิตย์ มีความเข้มแข็งด้านการมีส่วนร่วมสูงเช่นเดียวกับชุมชนป้อมมหากาฬ แต่มีความหลากหลายสูงกว่า
บรรยากาศรอบๆ ก็มีลมเย็น เงียบสงบดีมากค่ะ ไม่คิดว่ากรุงเทพฯ จะมีสถานที่ดีๆ แบบนี้
แล้วเราก็ไปสะดุดตากับสถานที่ข้างๆป้อมพระสุเมรุ ก็ไปเจอ "พิพิธบางลำพู" ค่ะ เราเลยเข้าไปดูบรรยากาศข้างในนั้น
เข้ามาในนี้ก็ได้บรรยากาศแบบอารมณ์เหมือนบ้านเก่าในยุคสมัยก่อน "พิพิธบางลำพู" ก็เหมือนเป็นแหล่งให้ความรู้เล็กๆ โดยที่นี่จะเน้นเนื้อหาความรู้เรื่องความหลากหลายของเชื้อชาติย่านการค้าและวิถีชุมชน รวมถึงส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ไม่ทำลายเอกลักษณ์เฉพาะตัวและศิลปะวัฒนธรรมดั้งเดิม
ปล. "พิพิธบางลำพู" เปิดให้บริการทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ เวลา 10.00 - 18.00 น. **ชุดนักศึกษาเข้าฟรีนะคะ**
ต่อไปเราจะไปเดินเล่นรอบๆ ป้อมพระสุเมรุกันนะคะ แถวนี้ก็มีร้านอาหารเยอะนะคะ มีร้านเย็นตาโฟแต่เราไปร้านปิดก่อน อดดดดด55555
เชื่อว่าคนที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ต้องเคยฟังเพลงเจ้าพระยากันบ้างนะคะ เมื่อเราเดินเล่นมาเรื่อยๆ แล้วเห็นชื่อซอยนี้อยู่ก็นึกถึงท่อนนึงของเพลงเจ้าพระยาขึ้นมาทันทีเลยค่ะ "โอ้เจ้าพระยาฝั่งธนบุรี ตอนนั้นสองเราทั้งมีความสุขและเสรี ตอนค่ำเราข้ามมาเที่ยวซอยรามบุตรี โอ้เกิร์ล เลิกแล้วเรียบพระสุเมรข้ามกินข้าวกลับฝั่งธนบุรี"
เราไม่รอช้าที่จะเข้าไปซอยนั้นว่ามันมีอะไร
เข้าไปแล้วดีมากค่ะ มันตรอกซอยเข้าไปอีกทีนึง มีร้านอาหาร มีร้านเสื้อผ้า มีบาร์เล็กๆ ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติเยอะ ใครสนใจซอยนี้แนะนำให้มาตอนกลางคืนนะคะบรรยากาศน่าจะดีมากๆ
เดินได้ประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็ออกจากซอบรามบุตรีแล้วจะเดินกลับไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะ "สันติชัยปราการ" เราไปเจอร้านขายโรตีที่ขึ้นชื่อแถวๆนั้น ก็ไม่รอช้าค่ะที่จะลองเพราะกลิ่นมันหอมมากและมันเป็นของโปรดของเจ้าของกระทู้ด้วย
โรตีใส่ไข่ 20 บาท หอมมากกกก
เดินไปเรื่อยๆ ก็ไปเจออีกร้านนึงที่เป็นร้านขึ้นชื่อของย่านนี้อีกเหมือนกัน ร้านนี้เป็นขายชากับขนมปังสังขยา คุณลุงร้านนี้น่ารักมาก คุยเก่ง พูดจาดีมากๆค่ะแล้วราคาน่าคบสุดๆ คุณลุงตั้งใจทำขนมปังแล้วก็ชามากๆค่ะ ใครผ่านมาแถวๆนี้อย่าลืมไปลองร้านนี้ อร่อยมากจริงๆ
เราสั่งชากับขนมปังสังขยามา จะบอกว่าชาโคตรหอม
เดินไปเรื่อยๆ เวลาเริ่มเย็น อากาศเริ่มมีลมมากขึ้นเรื่อยๆ เรามานั่งเล่นที่สวนสันติชัยปราการค่ะ ที่นี่เวลาตอนเย็นก็มีคนระแวกแถวนั้นมานั่งเล่น ออกกำลังกายกันด้วย
นี่บรรยากาศดีมากกกกกก
หันไปข้างหลังก็เห็นแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยนะ การมาที่นี่ทำให้คิดได้อย่างนึงนะคะว่า "จริงๆแล้วกรุงเทพฯมันไม่ได้แย่อย่างที่เราคิดไว้เลยนะ มันก็มีเสน่ห์ในแบบของมันจริงๆ"
แสงได้ มุมได้ ก็ถ่ายรูปซัก 2-3 รูปค่ะ
คนนี้คือคู่บัดดี้เราเองค่ะ "น้องกุ้งคนดีคนเดิม เพิ่มเติมไม่ขอ I "
ส่วนนี้คือเราเองค่ะ เจ้าของกระทู้นี้ "ปลาเองคนที่เข้าใจอะไรยากๆ"
เวลาเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ก็ได้เวลากลับบ้านกันค่ะ
บรรยากาศตอนเย็นคือดีมาก อยากมีบ้านอยู่แถวนี้จริงๆ
เราจะไปกินเบอร์เกอร์ตามที่บอกไว้ตอนแรกนะคะ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปเบอร์เกอร์มา เพราะคนเยอะมากๆถ่ายไม่ทัน ได้เบอร์เกอร์มาก็รีบกินรีบออกจากร้านมา เบอร์เกอร์ที่นี่อร่อยมากๆ เจ้าของร้านใจดีสุดๆ กันเองมาก ร้านนี้ได้ลง Wongnai ด้วยนะคะ ใครคอเบอร์เกอร์ต้องมาลองกันบ้างแล้วล่ะ ราคาก็ไม่แพงด้วย
เราเดินทางกลับโดยเดินไปรอรถเมล์สาย 58 ที่สนามหลวงไปลงอนุเสาวรีย์ชัยฯ (ความจริงสาย 58 นี้ยิงยาวถึงรังสิตเลยนะคะแต่อ้อมโลกมากๆ เรากลัวจะถึงรังสิตดึกเกินไปเพราะจะหารถกลับไปหอพักยากค่ะ)
เมื่อขึ้นรถเมล์สาย 58 ไปลงที่อนุเสาวรีย์ชัยฯ เรานั่งรถเมล์สาย 29 ไปลงรังสิตต่อค่ะ ใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 1 ชั่วโมงได้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทริปนี้ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงได้ค่ะ (13.40 - 21.00 น.)
เราจะมาสรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ดูนะคะ
1. ค่าตั๋วรถไฟ 40 บาท (20 บาท/คน)
2. ค่ารถเมล์สาย 53 13 บาท (6.50 บาท/คน)
3. โรตี 20 บาท
4. ชา+ขนมปังสังขยา 45 บาท
5. เบอร์เกอร์ 150 บาท
6. ค่ารถเมล์สาย 58 26 บาท (13 บาท/คน)
7. ค่ารถเมล์สาย 29 42 บาท (21 บาท/คน)
รวม 336 บาท เหลือเงินกลับบ้านด้วย555555
ทริป One day แบบนี้ไม่ได้แค่คู่บัดดี้เราทำนะคะ ยังมีเพื่อนๆคนอื่นทำอีกหลายคู่เลย หากใครสนใจก็เข้าไปดูใน Facebook กันได้ โดย Search #LSCDH2018 โดยคู่อื่นก็มี Concept เหมือนกันเลยค่ะ
---------- ถ้าเรายังมีเวลาพอที่จะอยากออกไปเดินทาง ก็ออกไปเถอะค่ะก่อนที่มันจะมีเวลาให้ไป ------------
--- เราขอจบทริปนี้แต่เพียงเท่านี้ค่ะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ มีอะไรเพิ่มเติมแนะนำกันมาได้ ผิดพลาดทางข้อมูลหรืออื่นๆประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ---
[CR] One day trip | 8 hours in Bangkok "ป้อมพระสุเมรุ" [Budget 400 Baht]
สวัสดีค่ะทุกคนนนน วันนี้จะมารีวิวการเที่ยวกรุงเทพฯ โดยเดินทางรังสิต – กรุงเทพฯ ระยะเวลาทั้งสิ้นเพียง 8 ชั่วโมงเท่านั้น!!
ต้องขอสารภาพก่อนเลยนะคะว่ากระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของนักศึกษาที่ทำทริปเล็กๆ ไปเที่ยว 1 วัน โดยมี Concept ของการเที่ยวครั้งนี้คือ “ต้องเดินทางโดยใช้การขนส่งสาธารณะเท่านั้น โดยมีข้อยกเว้นคือห้ามใช้บริการรถแท็กซี่และรถตู้” และ “ทำอย่างไรก็ได้ให้ต้นทุนในการเที่ยวครั้งนี้มันน้อยที่สุด” โดยเราเลือกที่จะไป “ป้อมพระสุเมรุ” และก็สถานที่ใกล้เคียงแถบระแวกนั้นนะคะ การเที่ยวครั้งนี้ เราวางงบไว้ที่ 400 บาท มาดูกันว่าจะได้อะไรมาบ้างนะคะ
-- เราจะเริ่มเดินทางจากสถานีรถไฟรังสิต ไปลงที่สถานีรถไฟหัวลำโพงนะคะ --
ซื้อตั๋วแล้ว ตั๋วราคาใบละ 20 บาท (มีใครให้มากกว่านี้มั้ยย) ราคานี้คือราคาขบวนเร็วนะคะ เสียดายที่ไปไม่ทันรอบธรรมดาเพราะรอบนั้นตั๋วแค่ใบละ 6 บาท ถูกมากกก เพราะเราต้อง Save cost เราเลยต้องเลือกเดินทางโดยรถไฟนะคะ ใครที่ชอบชิวๆ ไม่รีบเท่าไหร่ ก็แนะนำรถไฟเลยค่ะ
---- 1 ชั่วโมงผ่านไป ----
มาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงแล้วววว
เพิ่งเคยมาสถานีรถไฟนี้เป็นครั้งแรก มันก็มีเสน่ห์ในแบบของมันนะ มีความคล้ายโบสถ์คริสต์หน่อยๆ
พอมาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงเราจะนั่งรถเมล์สาย 53 ไปหน้าป้อมพระสุเมรุกัน ไปรอรถเมล์ข้างสถานีรถไฟได้เลย
รอแล้วรอเล่าน้องก็ยังไม่มา
ในที่สุดดด..
ได้ขึ้นรถแล้ววว รถเมล์สายนี้ 6.50 บาทตลอดสาย แต่พาอ้อมโลกแบบสุดเหวี่ยง 5555
-- 50 นาที ผ่านไป --
เราลงป้ายก่อนถึงป้อมพระสุเมรุ เพราะจะได้เดินเล่นแถวๆนั้นไป ดูไปด้วยว่าแถวๆนั้นเป็นยังไงบ้าง แล้วไปสะดุดกับร้านนึงค่ะ เพราะร้านเล็กแต่คนเยอะมากๆ
มองจากฝั่งตรงข้ามร้านคิดว่าน่าจะเป็นร้านขายสเก็ตบอร์ดไม่ก็เสื้อผ้าสตรีท เพราะแถวนั้นมีชาวต่างชาติเยอะ และร้านแต่งสตรีทๆหน่อย เราเลยจะเดินข้ามไปดูว่าร้านนั้นขายอะไรและมีอะไรเป็น Signature ของร้านกันบ้าง
แล้วเราก็ข้ามมาหน้าร้านนี้นะคะ ชื่อร้าน "Escaped" เป็นร้านขายเบอร์เกอร์ เราลองเข้า Google ว่าร้านนี้มีอะไรเด็ด ปรากฏว่าร้านนี้เบอร์เกอร์เนื้อเด็ดดวงสุดๆ แล้วโชคก็ไม่เข้าข้างเพราะเจ้าของกระทู้กับคู่บัดดี้ไม่กินเนื้อค่ะ 55555 แต่ร้านนี้ก็ไม่ได้มีแค่เบอร์เกอร์เนื้อ เบอร์เกอร์หมูหรือว่าไก่นางก็มี เราเลยคิดไว้ว่าจะมากินเบอร์เกอร์กันก่อนกลับบ้านค่ะ
เดินไปเรื่อยๆก็เริ่มเห็นป้อมพระสุเมรุไกลๆค่ะ
เจอของจริงแล้วสวยมากกกกกกกกกก
---- ขอเล่าประวัติของป้อมพระสุเมรุเล็กน้อยนะคะ ----
"ป้อมพระสุเมรุ" เป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ในสมัยนั้นได้มีการสร้างป้อมปราการ 14 แห่งเพื่อป้องกันพระนคร แต่เมื่อเวลาผ่านไป ป้อมปราการหมดความจำเป็น จึงถูกรื้อถอนไป ป้อมพระสุเมรุเป็น 1 ใน 2 ป้อมที่ยังคงเหลืออยู่ อีกป้อมหนึ่งคือ "ป้อมมหากาฬ" ชื่อป้อมพระสุเมรุก็ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อ "ถนนพระสุเมรุ"
ด้วยความที่ป้อมพระสุเมรุซึ่งสร้างมาแต่รัชกาลที่ 1 มีลักษณะสวยงามและเป็นประโยชน์ใช้สอยมากมาย มีเชิงเทิน ช่องยิงปืน ห้องเก็บกระสุนดินดำ และอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ แต่ก็ชำรุดทรุดโทรมเป็นธรรมดา จนถึง พ.ศ. 2524 กรมศิลปากรได้ซ่อมแซมบูรณะตามรูปแบบเดิมจากภาพถ่ายในสมัยรัชกาลที่ 5 จนแลดูสง่างามเหมือนเดิม และยังปรับปรุงบริเวณโดยรอบให้เป็นสวนสาธารณะอีกด้วย โดยให้ชื่อว่า "สวนสันติชัยปราการ" มีพลับพลา ชื่อว่า "พระที่นั่งสันติชัยปราการ" ชุมชนโดยรอบป้อมพระสุเมรุ คือชุมชนถนนพระอาทิตย์ มีความเข้มแข็งด้านการมีส่วนร่วมสูงเช่นเดียวกับชุมชนป้อมมหากาฬ แต่มีความหลากหลายสูงกว่า
บรรยากาศรอบๆ ก็มีลมเย็น เงียบสงบดีมากค่ะ ไม่คิดว่ากรุงเทพฯ จะมีสถานที่ดีๆ แบบนี้
แล้วเราก็ไปสะดุดตากับสถานที่ข้างๆป้อมพระสุเมรุ ก็ไปเจอ "พิพิธบางลำพู" ค่ะ เราเลยเข้าไปดูบรรยากาศข้างในนั้น
เข้ามาในนี้ก็ได้บรรยากาศแบบอารมณ์เหมือนบ้านเก่าในยุคสมัยก่อน "พิพิธบางลำพู" ก็เหมือนเป็นแหล่งให้ความรู้เล็กๆ โดยที่นี่จะเน้นเนื้อหาความรู้เรื่องความหลากหลายของเชื้อชาติย่านการค้าและวิถีชุมชน รวมถึงส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ไม่ทำลายเอกลักษณ์เฉพาะตัวและศิลปะวัฒนธรรมดั้งเดิม
ปล. "พิพิธบางลำพู" เปิดให้บริการทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ เวลา 10.00 - 18.00 น. **ชุดนักศึกษาเข้าฟรีนะคะ**
ต่อไปเราจะไปเดินเล่นรอบๆ ป้อมพระสุเมรุกันนะคะ แถวนี้ก็มีร้านอาหารเยอะนะคะ มีร้านเย็นตาโฟแต่เราไปร้านปิดก่อน อดดดดด55555
เชื่อว่าคนที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ต้องเคยฟังเพลงเจ้าพระยากันบ้างนะคะ เมื่อเราเดินเล่นมาเรื่อยๆ แล้วเห็นชื่อซอยนี้อยู่ก็นึกถึงท่อนนึงของเพลงเจ้าพระยาขึ้นมาทันทีเลยค่ะ "โอ้เจ้าพระยาฝั่งธนบุรี ตอนนั้นสองเราทั้งมีความสุขและเสรี ตอนค่ำเราข้ามมาเที่ยวซอยรามบุตรี โอ้เกิร์ล เลิกแล้วเรียบพระสุเมรข้ามกินข้าวกลับฝั่งธนบุรี"
เราไม่รอช้าที่จะเข้าไปซอยนั้นว่ามันมีอะไร
เข้าไปแล้วดีมากค่ะ มันตรอกซอยเข้าไปอีกทีนึง มีร้านอาหาร มีร้านเสื้อผ้า มีบาร์เล็กๆ ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติเยอะ ใครสนใจซอยนี้แนะนำให้มาตอนกลางคืนนะคะบรรยากาศน่าจะดีมากๆ
เดินได้ประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็ออกจากซอบรามบุตรีแล้วจะเดินกลับไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะ "สันติชัยปราการ" เราไปเจอร้านขายโรตีที่ขึ้นชื่อแถวๆนั้น ก็ไม่รอช้าค่ะที่จะลองเพราะกลิ่นมันหอมมากและมันเป็นของโปรดของเจ้าของกระทู้ด้วย
โรตีใส่ไข่ 20 บาท หอมมากกกก
เดินไปเรื่อยๆ ก็ไปเจออีกร้านนึงที่เป็นร้านขึ้นชื่อของย่านนี้อีกเหมือนกัน ร้านนี้เป็นขายชากับขนมปังสังขยา คุณลุงร้านนี้น่ารักมาก คุยเก่ง พูดจาดีมากๆค่ะแล้วราคาน่าคบสุดๆ คุณลุงตั้งใจทำขนมปังแล้วก็ชามากๆค่ะ ใครผ่านมาแถวๆนี้อย่าลืมไปลองร้านนี้ อร่อยมากจริงๆ
เราสั่งชากับขนมปังสังขยามา จะบอกว่าชาโคตรหอม
เดินไปเรื่อยๆ เวลาเริ่มเย็น อากาศเริ่มมีลมมากขึ้นเรื่อยๆ เรามานั่งเล่นที่สวนสันติชัยปราการค่ะ ที่นี่เวลาตอนเย็นก็มีคนระแวกแถวนั้นมานั่งเล่น ออกกำลังกายกันด้วย
นี่บรรยากาศดีมากกกกกก
หันไปข้างหลังก็เห็นแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยนะ การมาที่นี่ทำให้คิดได้อย่างนึงนะคะว่า "จริงๆแล้วกรุงเทพฯมันไม่ได้แย่อย่างที่เราคิดไว้เลยนะ มันก็มีเสน่ห์ในแบบของมันจริงๆ"
แสงได้ มุมได้ ก็ถ่ายรูปซัก 2-3 รูปค่ะ
คนนี้คือคู่บัดดี้เราเองค่ะ "น้องกุ้งคนดีคนเดิม เพิ่มเติมไม่ขอ I "
ส่วนนี้คือเราเองค่ะ เจ้าของกระทู้นี้ "ปลาเองคนที่เข้าใจอะไรยากๆ"
เวลาเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ก็ได้เวลากลับบ้านกันค่ะ
บรรยากาศตอนเย็นคือดีมาก อยากมีบ้านอยู่แถวนี้จริงๆ
เราจะไปกินเบอร์เกอร์ตามที่บอกไว้ตอนแรกนะคะ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปเบอร์เกอร์มา เพราะคนเยอะมากๆถ่ายไม่ทัน ได้เบอร์เกอร์มาก็รีบกินรีบออกจากร้านมา เบอร์เกอร์ที่นี่อร่อยมากๆ เจ้าของร้านใจดีสุดๆ กันเองมาก ร้านนี้ได้ลง Wongnai ด้วยนะคะ ใครคอเบอร์เกอร์ต้องมาลองกันบ้างแล้วล่ะ ราคาก็ไม่แพงด้วย
เราเดินทางกลับโดยเดินไปรอรถเมล์สาย 58 ที่สนามหลวงไปลงอนุเสาวรีย์ชัยฯ (ความจริงสาย 58 นี้ยิงยาวถึงรังสิตเลยนะคะแต่อ้อมโลกมากๆ เรากลัวจะถึงรังสิตดึกเกินไปเพราะจะหารถกลับไปหอพักยากค่ะ)
เมื่อขึ้นรถเมล์สาย 58 ไปลงที่อนุเสาวรีย์ชัยฯ เรานั่งรถเมล์สาย 29 ไปลงรังสิตต่อค่ะ ใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 1 ชั่วโมงได้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทริปนี้ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงได้ค่ะ (13.40 - 21.00 น.)
เราจะมาสรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ดูนะคะ
1. ค่าตั๋วรถไฟ 40 บาท (20 บาท/คน)
2. ค่ารถเมล์สาย 53 13 บาท (6.50 บาท/คน)
3. โรตี 20 บาท
4. ชา+ขนมปังสังขยา 45 บาท
5. เบอร์เกอร์ 150 บาท
6. ค่ารถเมล์สาย 58 26 บาท (13 บาท/คน)
7. ค่ารถเมล์สาย 29 42 บาท (21 บาท/คน)
รวม 336 บาท เหลือเงินกลับบ้านด้วย555555
ทริป One day แบบนี้ไม่ได้แค่คู่บัดดี้เราทำนะคะ ยังมีเพื่อนๆคนอื่นทำอีกหลายคู่เลย หากใครสนใจก็เข้าไปดูใน Facebook กันได้ โดย Search #LSCDH2018 โดยคู่อื่นก็มี Concept เหมือนกันเลยค่ะ
---------- ถ้าเรายังมีเวลาพอที่จะอยากออกไปเดินทาง ก็ออกไปเถอะค่ะก่อนที่มันจะมีเวลาให้ไป ------------
--- เราขอจบทริปนี้แต่เพียงเท่านี้ค่ะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ มีอะไรเพิ่มเติมแนะนำกันมาได้ ผิดพลาดทางข้อมูลหรืออื่นๆประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ---