สวัสดีค่า วันนี้จะขอมาแชร์ประสบการณ์สอบ TOEFL IBT ครั้งแรก โดยที่ทำงานไปเตรียมตัวไป ไม่ได้เรียนพิเศษ และราคาประหยัด ผ่านเว็บไซต์ Notefull (ไม่ได้เป็นนายหน้าขายคอร์สแต่อย่างใด แต่รู้สึกว่าราคาที่จ่ายไป กับผลที่ได้ตอบรับ คุ้มค่ามากจริงๆ และคิดว่าเหมาะสมกับคนทำงานประจำที่ไม่มีเวลาว่างตายตัว)
บอกพื้นฐานของตัวเราก่อน เราเคยมีประสบการณ์ไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกา 1 ปี เป็นคนพื้นฐานภาษากลางๆ ค่อนไปทางดี แต่ 3-4 ปีให้หลังมานี้เราทำงานบริษัทไทย ไม่ได้แตะอังกฤษเลย เสียทักษะภาษาอังกฤษไปค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะการพูดนี่แทบไม่กระดิก แถมไม่มีความมั่นใจอีกต่างหาก
อันนี้ต้องบอกว่าเราอาจจะได้เปรียบกว่าคนอื่นนิดหน่อยตรงที่เคยผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษอื่นๆ มาแล้ว เช่น CU-TEP, TOEIC ซึ่งคะแนนออกมากลางๆ จึงมีความมั่นใจในส่วนของ reading และ listening เพราะเคยผ่านมาแล้ว speaking กับ writing ฝึกใหม่ล้วนๆ
บอกก่อนว่าแต่ละคนมีวิธีเตรียมตัวไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นหาแนวของตัวเองให้เจอ เราทำงานประจำเหนื่อย อยากกลับมานอน ดูซีรี่ย์ แต่ต้องมานั่งอ่านหนังสือ ไม่ควรทุ่มให้กับการอ่านหนังสือจนเสียการเสียงาน แต่ก็ไม่ควรปล่อยตัวไปกับงานจนเป้าหมายการสอบของเราถูกเลื่อนออกไปเรื่อยๆ
งั้นเรามาเริ่มกันเลยนะค้า
Materials ทั้งหมดที่ใช้ในการเตรียมตัวสอบ
1. หนังสือ The official guide to the TOEFL test (ETS) 700 บาท
ตัวนี้เป็นหนังสือของ ETS ผู้ออกข้อสอบ TOEFL เลย เป็น textbook เล่มหนา มีอธิบายทั้ง 4 part ของข้อสอบอย่างละเอียด (Reading, Listening, Speaking และ Writing) และมีข้อสอบให้ 3 ชุด รวมถึง audio ที่เหมือนการสอบจริง
ข้อดี
- อันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี อธิบายแต่ละ section อย่างละเอียด โดยในแต่ละ section ก็จะแยกย่อยไปอีก เช่น Reading มีคำถามประเภทไหนบ้าง, Writing 2 บทความแตกต่างกันอย่างไร เป็นการเตรียมตัวเราก่อนเข้าสู่การเตรียมตัวจริงจัง ซึ่งเราว่าสำคัญมากเพราะถือว่าเป็นการปูพื้นฐานเลยทีเดียว
- ความยาก ค่อนข้างตรงกับข้อสอบจริง
- ข้อสอบให้ลองทำ 3 ชุด เราว่าคุ้มมากกับราคานี้ มีเฉลย + ตารางแปลงคะแนนให้รู้ว่าเราอยู่เกณฑ์ไหน
ข้อเสีย
- ข้อสอบทำบน text เป็นกระดาษ ไม่สมจริง
- Part speaking ซึ่งเป็นส่วนที่หินที่สุดสำหรับเอเชียแบบเราๆ ไม่มีคนตรวจให้ แต่มี audio เฉลยว่าควรตอบแบบไหน
ข้อแนะนำ
- เป็นเหมือนคัมภีร์ TOEFL ควรซื้อ
- ไม่ต้องฝึกให้เป๊ะมาก ไปฝึกจริงๆ บนคอมพ์ดีกว่า เอาพื้นฐานให้แน่น รู้ว่าเรากำลังเจอกับโจทย์อะไรแบบไหน โจทย์ไหนต้องการอะไร
- ทำเสร็จแล้ว อย่าลืมดูเฉลย!!! สำคัญมากๆๆ ดูว่าแต่ละ section เราผิดตรงไหน เช่น Reading เราผิดตรง vocab ตลอด อันที่ไม่รู้จริงๆ ก็เดาผิด อันที่ว่ารู้ ก็ยังเลือกผิด 5555 จากประสบการณ์ส่วนตัว จุดที่เราอ่อน มันก็จะเป็นจุดที่เราอ่อนวันยังค่ำ เวลาทำข้อสอบจะได้ระวังคำถามแนวๆ นี้ไว้ หรือไปเน้นอ่านด้านนี้
- Section ไหนที่ว่าโอเคแล้ว ไม่อยากเสียเวลา ไม่ต้องอ่านก็ได้ เช่น Listening เราค่อนข้างดี เราขี้เกียจอ่านก็ทำแบบฝึกหัดเลย
- ควรทำครบทั้งเล่ม !!! เพราะซื้อมาแล้ว ทำไปเถอะ
- จากแบบฝึกหัด 3 ชุด ควรมีอย่างน้อย 1 ชุด ที่ทำแบบจับเวลา ไม่ต้องต่อเนื่อง 4 ชม. รวดเดียวก็ได้ จับเวลาแบบแยก Section แต่ก็ต้องจับ เราต้องทำงานร่วมกับเวลา ไม่ใช่แข่งกับมัน !!!
- ทำแบบฝึกหัดครบ 3 ชุด เราจะพอทราบแล้วว่า section ไหนเราอ่อนที่สุด หรือจุดไหนเราต้องปรับปรุง อันนี้แหละคือสิ่งที่เราต้องการจากเจ้าเล่มนี้
- เล่มนี้ให้เวลาอ่านชิวๆ 1-2 เดือน (ถ้าไม่รีบมาก) เสาร์อาทิตย์ยังออกไปเที่ยวเล่นได้ปกติ
หมดเล่มนี้ ยังขาดอีก 1 ส่วน ที่เรายังไม่ได้ฝึกจริงจัง นั่นคือ “Speaking” เราเลยแวะไปตามช่อง Youtube อ่านรีวิวต่างๆ จบลงตรง Notefull เราเข้าไปฟังเค้าสอนเรื่อง Speaking อ่านแนวทาง Speaking + ฝึกพอเข้าใจโครงสร้างคำตอบ และตรัสรู้ในตอนนั้นเองว่าเราห่วยจุดนี้มาก คือแค่ให้ตอบเป็นภาษาไทยยังตอบไม่ได้เลย 5555 Notefull จะมีขั้นตอนการตอบ Speaking แบบให้จำเข้าไปเลย (อารมณ์กวดวิชาไทยนี่แหละ) เราว่าเหมาะกับเด็กไทยมากๆ ลองนั่งฟังเค้าสอนทั้งหมดครบ 4 section ก็โอเคมั่นใจมากขึ้น
พอเริ่มจับทางตัวเองได้ เราแนะนำว่าให้ “กดจองที่นั่งสอบเลย !!!”
ที่แนะนำแบบนี้เพราะว่ามนุษย์เงินเดือนแบบเราๆ ถ้าปล่อยเวลาให้เลยไป มันจะไม่ได้กดจองซักที เพราะคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อม แต่เราจะไม่มีวันพร้อมจนกว่าเงิน 6,000 จะหลุดลอยไปค่ะ กะๆ ให้เหลือเวลาเตรียมตัวประมาณ 1-1.5 เดือน กำลังดี ไม่เครียดมาก แต่ก็จะเที่ยวเล่นแบบปกติไม่ได้แล้ว
(ตอนเรากดจอง ความมั่นใจในการสอบเราอยู่ที่ 50-60% เท่านั้นจริงๆ ไม่รู้เทคนิค ไม่เคยสอบกับเครื่องคอมพ์มาก่อน ส่วนที่เราไม่เก่งก็ไม่รู้จะแก้ยังไง แต่กลั้นใจกด เพราะคิดว่าความงกน่าจะบังคับเราได้ดี ฮ่าๆ)
2. TOEFL Practice Online USD 29 = ประมาณ 930 บาท
Mock test อันนี้กดมาพร้อมกับตอนกดจองที่นั่งสอบ มันเขียนว่าราคาพิเศษสำหรับคนที่ซื้อที่นั่งสอบแล้ว อย่างที่บอกว่าตอนนั้นประสาทกินนิดนึง เพราะรู้ตัวว่ายังไม่พร้อมแน่ๆ เห็นว่าเป็น Mock test และใช้คอมพ์ตรวจ speaking และ writing ของเราด้วย (ข้อสอบจริงในส่วนของ speaking/ writing จะใช้ทั้งคน และคอมพ์ตรวจ แต่ใน mock test อันนี้ใช้แค่คอมพ์ จากที่อ่านรีวิวมา และการสอบจริง เราว่าให้คะแนนค่อนข้างตรงเลย เชื่อถือได้) และหน้าจอทุกอย่างคือจะเหมือนสอบจริง เราจะเห็นพี่หนวดใส่หูฟังนั่งทำหน้ามึนหน้าจอคอมพ์เหมือนของจริง ตอนไปเจอเค้าอีกทีที่ห้องสอบนี่ใจชื้น แบบพี่คะเราเจอกันอีกแล้ว 55555 ใครไปสอบมาแล้วจะจำหน้าพี่คนนี้ได้แน่อนนนน
ข้อดี
- เหมือนข้อสอบจริงแทบ 100%
- เป็นตัวช่วยที่ดีมากในการหาจุดอ่อนของเรา (ยังไม่พออีกรึ???) อย่างเราคิดว่าทำ Listening ได้แน่ๆ แต่พอมาทำของจริง มีพลาดหลายจุด แถมทำไม่ทัน เพราะมันมีตัวแปรสำคัญเข้ามาคือเวลา และการทำข้อสอบบนคอมพิวเตอร์
- เรื่องเวลาสำคัญมาก ตรงนี้เราจะเห็นชัดเลยว่าเราคุมเวลาได้ดีมากน้อยแค่ไหน เพราะตอนสอบจริง เวลาคือตัวแปรสำคัญมากๆ
- Speaking/ Writing มีคอมพ์ตรวจให้ โดยคอมพ์ที่ตรวจคืออันเดียวกับที่ตรวจข้อสอบจริงให้เรา เพราะงั้นเชื่อได้ แถมตรวจเร็วมาก ทำเสร็จไม่เกิน 10 นาทีรู้ผลเลย จะมีอีเมลล์ส่งมาบอกว่า score available แล้ว
- ได้ฝึก Speaking ด้วยการพูดผ่านไมค์หูฟังแบบจับเวลา ฝึก writing แบบพิมพ์ลงไปเลย ไม่มีขีดแดงๆ ใต้ศัพท์ที่เราสะกดผิดแบบเวลาที่เราฝึกใน Word เราต้องใช้ตาตรวจเอง ตอนแรกเรามองข้ามข้อนี้คิดว่าไม่สำคัญอะไร แต่พอทำจริง เขียนผิดเพียบจ้า คิดดูตอนไปสอบ ถ้าเราพิมพ์ผิดๆ ถูกๆ ต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่มานั่งแก้ ฝึกไปก่อนดีกว่าจริงๆ
ข้อเสีย
- หัวเสียกับการติดตั้งนางมากกกกกกกกก เหมือนเราต้องลงโปรแกรมของมันก่อน ติดตั้งไม่ยาก แต่บางทีเปิดติดบ้างไม่ติดบ้าง (หรืออาจจะเป็นเพราะคอมพ์เรากากเอง อันนี้ไม่แน่ใจ)
- ถ้าทำข้อสอบด้วย Windows ต้องทำด้วย Windows ตลอดจนจบ สลับมา Mac ไม่ได้ เช่นเดียวกันกับ Mac
- ทำได้ครั้งเดียว
ข้อแนะนำ
- มันจะมีให้เลือกว่าจะจับเวลาหรือไม่จับ (ประมาณนี้) เราแนะนำว่าให้กดจับเวลาค่ะ
- Speaking จะแอบโกงได้นิดหน่อย คือมันจะอนุญาตให้เรากดอัดกี่รอบก็ได้ก่อนส่งเสียงเราไปให้ตรวจ ซึ่งเราเหมาไปข้อละ 5 รอบได้ 5555 ก็ตอนนั้นมันยังทำไม่ได้จริงๆ Writing ก็เช่นกัน ทำจนหมดเวลา จะมีเด้งมาว่าพอใจหรือยัง ถ้ายังให้กลับไปแก้ได้
- ฝึกกับคอมพ์ตั้งโต๊ะ เพราะสอบจริงเป็นคอมพ์ตั้งโต๊ะ เราฝึกกับโน้ตบุ้ค พอไปสอบจริงต้องปรับระดับมือนิดนึง
- ทำสถานการณ์ให้เหมือนสอบจริงทุกอย่าง เตรียมกระดาษทด 3 แผ่น ดินสอไม้เหลาแหลม ไว้ตรงหน้า เตรียมจด ดูว่าจดทันไหม เราจะบอกว่าตอนฝึกทำก็โน้ตปกติ แต่ตอนสอบจริง เมื่อย มือ มาก!!!!! Speaking เอ๋อกลางอากาศไป 10 วิยาวๆ เพราะเมื่อยมือ แบบจับดินสอไม่ได้อีกต่อไป อ่านที่ตัวเองเขียนไม่ออก อันนี้ฮา แต่ตอนนั้นฮาไม่ออก
- ข้อสอบนี้ทำเลยไม่ต้องเสียดาย ไม่ต้องรอให้พร้อมก่อนค่อยทำ อยากทำอีกไปฝึก Notefull ได้ฟีลเหมือนกัน
- จุดประสงค์คือหาจุดอ่อนเราเมื่อมีตัวแปร เวลา กับ คอมพ์ เข้ามาเกี่ยวข้อง และทำให้เราคุ้นชินกับหน้าตาโปรแกรมก่อนสอบจริง
3. Notefull Free resources + Complete TOEFL Mastery USD 47 = 1,510 บาท
บอกก่อนว่าตอนแรกเราก็คิดจะหาที่เรียนพิเศษแหละ อ่านเองไม่น่ารอด แต่พอได้มาดูคลิป Notefull แล้ว เออมันดีแฮะ โดยเฉพาะในส่วน speaking ที่เราไม่ต้องมานั่งแต่งประโยคเอง มันมีมาให้ทั้งดุ้น เหมือนเราเติมคำตอบลงในช่องว่างเฉยๆ ซึ่ง pattern ที่เค้าให้มา เค้ายืนยันว่าใช้ในการสอบได้จริง ออกแบบมาให้พูดเหมือนรู้คำตอบ (แต่จริงๆ คำตอบเราอาจจะไม่ดีเท่าไหร่) และทันเวลาแน่นอน
จากการฟังคอร์สสอนฟรี เราโอเคกับสไตล์การสอนของเค้า เลยลองส่งเมลล์ไปถามว่าควรซื้อคอร์สไหนต่อดี บอกนางว่าพื้นฐานเราโอเคนะ เข้าใจรูปแบบการสอบแล้ว แต่ยังไม่มั่นใจ speaking ยังห่วยอยู่ ส่งไปปุ้บ วันถัดมานางตอบเลย !! รวดเร็วทันใจมาก ยิ่งประทับใจไปอีก
เค้าแนะนำคอร์ส Complete TOEFL Mastery มา บอกว่าถ้าอยากเพิ่มความมั่นใจให้ซื้ออันนี้ แล้วก็ไม่ผิดหวังเลย คือมี practice test เยอะมากๆๆๆ เราเผื่อเวลาเดือนกว่ายังทำไม่หมดเลย ความยากค่อนข้างตรงกับที่สอบจริง และมีเฉลยทุกข้อ อันนี้ใช้ได้ไม่มีวันหมดอายุ
นอกจาก practice test แล้ว ยังมีคลิปสอนแบบเจาะลึกในส่วนต่างๆ ของข้อสอบ รวมไปถึง study plan แนะนำการจัดตารางเวลาการอ่านสอบ เยอะมากๆ จนตอนนี้เราก็ยังฟังไม่หมด
ระหว่างเราอ่าน เราก็ส่งเมลล์ถามเค้าตลอด รวมๆ แล้ว 10 กว่าฉบับได้ ส่วนมากเป็นขอคำแนะนำว่าเราติดตรงนี้ทำยังไงดี ตอบเร็วมากกกก
ข้อดี
- Practice test เยอะมากๆ ใช้ฝึกได้จริง
- มีเฉลยทุกข้อ มี note ด้วยว่ากว่าจะออกมาแบบนี้จดโน้ตยังไง
- สอนลึก ไปจนถึงวิธีการจดโน้ต ที่ตอนแรกเรามองข้าม แต่มันสำคัญจริงๆ สอนการบริหารเวลา ถึงขนาดว่าวินาทีไหน เราควรอยู่ตรงไหนแล้ว (ตรงนี้เราว่าไม่ต้องเป๊ะมากก็ได้ แค่เรารู้เวลาของเราก็พอแล้ว)
- ชอบมากตรงมันจะบอก trick เรา ซึ่งสถาบันเค้าเปิดมาหลายสิบปี เค้าเคลมว่าเค้าศึกษามาหมดแล้ว วิธีที่เค้าสอนเราใช้ได้ผลจริงๆ เช่น reading อย่าอ่านรวดเดียวจบ ให้อ่านคำถามแล้วค่อยไล่อ่าน paragraph ไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เราสับสน เพราะข้อสอบมีช้อยส์จาก paragraph อื่นด้วย หรือ speaking ที่เป็น pattern ให้จำ เช่น เค้าบอกว่า Q1 Q2 เราต้องเลือกคำตอบของข้อนั้นให้ได้ก่อนจบเสียงคำถาม แล้วใช้ 15 วิ ในการคิดเหตุผล ประมาณนี้
“In my opinion, _________ for 2 reasons. First, ________. For example, ___ใส่เหตุผล support ของเรา_____. Second, _______. For instance, ______”
สำหรับเรา เราว่ามันดีมาก เพราะเราไม่ต้องเสียเวลาปั้นคำ ไม่ลน
- อย่างที่อวยมาหลายครั้ง นางตอบเมลล์เราเร็วมาก ถามอะไรต๊องๆ ไปก็ตอบ
- ราคาไม่แรงถ้าเทียบกับคอร์สเรียนสด
- ในวิดิโอการสอนต่างๆ สำเนียงฟังง่าย ฟังออกแทบ 100%
- ฟังๆ ไปนางจะใส่ motivation ให้เราตล๊อด แบบ you can do it! You can reach your TOEFL dream score 5555
ข้อเสีย
- ตามแบบฝรั่งเนอะ บางทีพูดเจื้อยแจ้วไปหน่อย ไอเราก็อยากรู้อยากฟังไวๆ พูดขยายความอยู่นั่นแหละ 555
- เว็บ Log out ให้เองบ่อยมาก ต้องกด log in ใหม่ซ้ำๆ
- เว็บใช้งานง่าย แต่มีบางฟังก์ชั่นทำให้หงุดหงิดเหมือนกัน ไม่เป็นผลต่อการศึกษา
- เลือกอ่านให้ดี อย่างที่บอกเว็บนางมี resources เยอะมาก คัดอันหลักๆ ที่เราอยากเรียนพอจะได้ไม่เสียเวลา บางอันก็ text เพียบเลยแต่อ่านแล้วไม่มีอะไร
>>> รวมค่าเสียหายทางการศึกษาไป 3,140 บาท !!! คุ้มมากใช่ไหมล่ะกับการสอบราคา 6,000
คะแนนที่ออกมาน่าพอใจ ไม่ต้องสอบใหม่ เย้
จบแล้วค่า ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกันมาจนถึงตอนนี้ จริงๆ ตั้งใจไว้นานแล้วว่าอยากรีวิว Notefull แบบเสียตังซื้อคอร์ส เพราะหารีวิวคนไทยไม่เจอเลย
หวังว่าบทความนี้คงจะเป็นประโยชน์กับหลายๆ คนที่จะสอบ TOEFL นะคะ ไม่ว่าพื้นฐานเราเป็นยังไง แต่ถ้าเราตั้งใจ มุ่งมั่น มีวินัย รับรองว่าทำได้แน่นอน สู้ๆ นะคะ ขอให้ทุกท่านโชคดี ^_^
แชร์ประสบการณ์สอบ TOEFL IBT ทำงานไปเตรียมตัวไป เรียนหลักสูตรประหยัดผ่าน Notefull
บอกพื้นฐานของตัวเราก่อน เราเคยมีประสบการณ์ไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกา 1 ปี เป็นคนพื้นฐานภาษากลางๆ ค่อนไปทางดี แต่ 3-4 ปีให้หลังมานี้เราทำงานบริษัทไทย ไม่ได้แตะอังกฤษเลย เสียทักษะภาษาอังกฤษไปค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะการพูดนี่แทบไม่กระดิก แถมไม่มีความมั่นใจอีกต่างหาก
อันนี้ต้องบอกว่าเราอาจจะได้เปรียบกว่าคนอื่นนิดหน่อยตรงที่เคยผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษอื่นๆ มาแล้ว เช่น CU-TEP, TOEIC ซึ่งคะแนนออกมากลางๆ จึงมีความมั่นใจในส่วนของ reading และ listening เพราะเคยผ่านมาแล้ว speaking กับ writing ฝึกใหม่ล้วนๆ
บอกก่อนว่าแต่ละคนมีวิธีเตรียมตัวไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นหาแนวของตัวเองให้เจอ เราทำงานประจำเหนื่อย อยากกลับมานอน ดูซีรี่ย์ แต่ต้องมานั่งอ่านหนังสือ ไม่ควรทุ่มให้กับการอ่านหนังสือจนเสียการเสียงาน แต่ก็ไม่ควรปล่อยตัวไปกับงานจนเป้าหมายการสอบของเราถูกเลื่อนออกไปเรื่อยๆ
งั้นเรามาเริ่มกันเลยนะค้า
Materials ทั้งหมดที่ใช้ในการเตรียมตัวสอบ
1. หนังสือ The official guide to the TOEFL test (ETS) 700 บาท
ตัวนี้เป็นหนังสือของ ETS ผู้ออกข้อสอบ TOEFL เลย เป็น textbook เล่มหนา มีอธิบายทั้ง 4 part ของข้อสอบอย่างละเอียด (Reading, Listening, Speaking และ Writing) และมีข้อสอบให้ 3 ชุด รวมถึง audio ที่เหมือนการสอบจริง
ข้อดี
- อันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี อธิบายแต่ละ section อย่างละเอียด โดยในแต่ละ section ก็จะแยกย่อยไปอีก เช่น Reading มีคำถามประเภทไหนบ้าง, Writing 2 บทความแตกต่างกันอย่างไร เป็นการเตรียมตัวเราก่อนเข้าสู่การเตรียมตัวจริงจัง ซึ่งเราว่าสำคัญมากเพราะถือว่าเป็นการปูพื้นฐานเลยทีเดียว
- ความยาก ค่อนข้างตรงกับข้อสอบจริง
- ข้อสอบให้ลองทำ 3 ชุด เราว่าคุ้มมากกับราคานี้ มีเฉลย + ตารางแปลงคะแนนให้รู้ว่าเราอยู่เกณฑ์ไหน
ข้อเสีย
- ข้อสอบทำบน text เป็นกระดาษ ไม่สมจริง
- Part speaking ซึ่งเป็นส่วนที่หินที่สุดสำหรับเอเชียแบบเราๆ ไม่มีคนตรวจให้ แต่มี audio เฉลยว่าควรตอบแบบไหน
ข้อแนะนำ
- เป็นเหมือนคัมภีร์ TOEFL ควรซื้อ
- ไม่ต้องฝึกให้เป๊ะมาก ไปฝึกจริงๆ บนคอมพ์ดีกว่า เอาพื้นฐานให้แน่น รู้ว่าเรากำลังเจอกับโจทย์อะไรแบบไหน โจทย์ไหนต้องการอะไร
- ทำเสร็จแล้ว อย่าลืมดูเฉลย!!! สำคัญมากๆๆ ดูว่าแต่ละ section เราผิดตรงไหน เช่น Reading เราผิดตรง vocab ตลอด อันที่ไม่รู้จริงๆ ก็เดาผิด อันที่ว่ารู้ ก็ยังเลือกผิด 5555 จากประสบการณ์ส่วนตัว จุดที่เราอ่อน มันก็จะเป็นจุดที่เราอ่อนวันยังค่ำ เวลาทำข้อสอบจะได้ระวังคำถามแนวๆ นี้ไว้ หรือไปเน้นอ่านด้านนี้
- Section ไหนที่ว่าโอเคแล้ว ไม่อยากเสียเวลา ไม่ต้องอ่านก็ได้ เช่น Listening เราค่อนข้างดี เราขี้เกียจอ่านก็ทำแบบฝึกหัดเลย
- ควรทำครบทั้งเล่ม !!! เพราะซื้อมาแล้ว ทำไปเถอะ
- จากแบบฝึกหัด 3 ชุด ควรมีอย่างน้อย 1 ชุด ที่ทำแบบจับเวลา ไม่ต้องต่อเนื่อง 4 ชม. รวดเดียวก็ได้ จับเวลาแบบแยก Section แต่ก็ต้องจับ เราต้องทำงานร่วมกับเวลา ไม่ใช่แข่งกับมัน !!!
- ทำแบบฝึกหัดครบ 3 ชุด เราจะพอทราบแล้วว่า section ไหนเราอ่อนที่สุด หรือจุดไหนเราต้องปรับปรุง อันนี้แหละคือสิ่งที่เราต้องการจากเจ้าเล่มนี้
- เล่มนี้ให้เวลาอ่านชิวๆ 1-2 เดือน (ถ้าไม่รีบมาก) เสาร์อาทิตย์ยังออกไปเที่ยวเล่นได้ปกติ
หมดเล่มนี้ ยังขาดอีก 1 ส่วน ที่เรายังไม่ได้ฝึกจริงจัง นั่นคือ “Speaking” เราเลยแวะไปตามช่อง Youtube อ่านรีวิวต่างๆ จบลงตรง Notefull เราเข้าไปฟังเค้าสอนเรื่อง Speaking อ่านแนวทาง Speaking + ฝึกพอเข้าใจโครงสร้างคำตอบ และตรัสรู้ในตอนนั้นเองว่าเราห่วยจุดนี้มาก คือแค่ให้ตอบเป็นภาษาไทยยังตอบไม่ได้เลย 5555 Notefull จะมีขั้นตอนการตอบ Speaking แบบให้จำเข้าไปเลย (อารมณ์กวดวิชาไทยนี่แหละ) เราว่าเหมาะกับเด็กไทยมากๆ ลองนั่งฟังเค้าสอนทั้งหมดครบ 4 section ก็โอเคมั่นใจมากขึ้น
พอเริ่มจับทางตัวเองได้ เราแนะนำว่าให้ “กดจองที่นั่งสอบเลย !!!”
ที่แนะนำแบบนี้เพราะว่ามนุษย์เงินเดือนแบบเราๆ ถ้าปล่อยเวลาให้เลยไป มันจะไม่ได้กดจองซักที เพราะคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อม แต่เราจะไม่มีวันพร้อมจนกว่าเงิน 6,000 จะหลุดลอยไปค่ะ กะๆ ให้เหลือเวลาเตรียมตัวประมาณ 1-1.5 เดือน กำลังดี ไม่เครียดมาก แต่ก็จะเที่ยวเล่นแบบปกติไม่ได้แล้ว
(ตอนเรากดจอง ความมั่นใจในการสอบเราอยู่ที่ 50-60% เท่านั้นจริงๆ ไม่รู้เทคนิค ไม่เคยสอบกับเครื่องคอมพ์มาก่อน ส่วนที่เราไม่เก่งก็ไม่รู้จะแก้ยังไง แต่กลั้นใจกด เพราะคิดว่าความงกน่าจะบังคับเราได้ดี ฮ่าๆ)
2. TOEFL Practice Online USD 29 = ประมาณ 930 บาท
Mock test อันนี้กดมาพร้อมกับตอนกดจองที่นั่งสอบ มันเขียนว่าราคาพิเศษสำหรับคนที่ซื้อที่นั่งสอบแล้ว อย่างที่บอกว่าตอนนั้นประสาทกินนิดนึง เพราะรู้ตัวว่ายังไม่พร้อมแน่ๆ เห็นว่าเป็น Mock test และใช้คอมพ์ตรวจ speaking และ writing ของเราด้วย (ข้อสอบจริงในส่วนของ speaking/ writing จะใช้ทั้งคน และคอมพ์ตรวจ แต่ใน mock test อันนี้ใช้แค่คอมพ์ จากที่อ่านรีวิวมา และการสอบจริง เราว่าให้คะแนนค่อนข้างตรงเลย เชื่อถือได้) และหน้าจอทุกอย่างคือจะเหมือนสอบจริง เราจะเห็นพี่หนวดใส่หูฟังนั่งทำหน้ามึนหน้าจอคอมพ์เหมือนของจริง ตอนไปเจอเค้าอีกทีที่ห้องสอบนี่ใจชื้น แบบพี่คะเราเจอกันอีกแล้ว 55555 ใครไปสอบมาแล้วจะจำหน้าพี่คนนี้ได้แน่อนนนน
ข้อดี
- เหมือนข้อสอบจริงแทบ 100%
- เป็นตัวช่วยที่ดีมากในการหาจุดอ่อนของเรา (ยังไม่พออีกรึ???) อย่างเราคิดว่าทำ Listening ได้แน่ๆ แต่พอมาทำของจริง มีพลาดหลายจุด แถมทำไม่ทัน เพราะมันมีตัวแปรสำคัญเข้ามาคือเวลา และการทำข้อสอบบนคอมพิวเตอร์
- เรื่องเวลาสำคัญมาก ตรงนี้เราจะเห็นชัดเลยว่าเราคุมเวลาได้ดีมากน้อยแค่ไหน เพราะตอนสอบจริง เวลาคือตัวแปรสำคัญมากๆ
- Speaking/ Writing มีคอมพ์ตรวจให้ โดยคอมพ์ที่ตรวจคืออันเดียวกับที่ตรวจข้อสอบจริงให้เรา เพราะงั้นเชื่อได้ แถมตรวจเร็วมาก ทำเสร็จไม่เกิน 10 นาทีรู้ผลเลย จะมีอีเมลล์ส่งมาบอกว่า score available แล้ว
- ได้ฝึก Speaking ด้วยการพูดผ่านไมค์หูฟังแบบจับเวลา ฝึก writing แบบพิมพ์ลงไปเลย ไม่มีขีดแดงๆ ใต้ศัพท์ที่เราสะกดผิดแบบเวลาที่เราฝึกใน Word เราต้องใช้ตาตรวจเอง ตอนแรกเรามองข้ามข้อนี้คิดว่าไม่สำคัญอะไร แต่พอทำจริง เขียนผิดเพียบจ้า คิดดูตอนไปสอบ ถ้าเราพิมพ์ผิดๆ ถูกๆ ต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่มานั่งแก้ ฝึกไปก่อนดีกว่าจริงๆ
ข้อเสีย
- หัวเสียกับการติดตั้งนางมากกกกกกกกก เหมือนเราต้องลงโปรแกรมของมันก่อน ติดตั้งไม่ยาก แต่บางทีเปิดติดบ้างไม่ติดบ้าง (หรืออาจจะเป็นเพราะคอมพ์เรากากเอง อันนี้ไม่แน่ใจ)
- ถ้าทำข้อสอบด้วย Windows ต้องทำด้วย Windows ตลอดจนจบ สลับมา Mac ไม่ได้ เช่นเดียวกันกับ Mac
- ทำได้ครั้งเดียว
ข้อแนะนำ
- มันจะมีให้เลือกว่าจะจับเวลาหรือไม่จับ (ประมาณนี้) เราแนะนำว่าให้กดจับเวลาค่ะ
- Speaking จะแอบโกงได้นิดหน่อย คือมันจะอนุญาตให้เรากดอัดกี่รอบก็ได้ก่อนส่งเสียงเราไปให้ตรวจ ซึ่งเราเหมาไปข้อละ 5 รอบได้ 5555 ก็ตอนนั้นมันยังทำไม่ได้จริงๆ Writing ก็เช่นกัน ทำจนหมดเวลา จะมีเด้งมาว่าพอใจหรือยัง ถ้ายังให้กลับไปแก้ได้
- ฝึกกับคอมพ์ตั้งโต๊ะ เพราะสอบจริงเป็นคอมพ์ตั้งโต๊ะ เราฝึกกับโน้ตบุ้ค พอไปสอบจริงต้องปรับระดับมือนิดนึง
- ทำสถานการณ์ให้เหมือนสอบจริงทุกอย่าง เตรียมกระดาษทด 3 แผ่น ดินสอไม้เหลาแหลม ไว้ตรงหน้า เตรียมจด ดูว่าจดทันไหม เราจะบอกว่าตอนฝึกทำก็โน้ตปกติ แต่ตอนสอบจริง เมื่อย มือ มาก!!!!! Speaking เอ๋อกลางอากาศไป 10 วิยาวๆ เพราะเมื่อยมือ แบบจับดินสอไม่ได้อีกต่อไป อ่านที่ตัวเองเขียนไม่ออก อันนี้ฮา แต่ตอนนั้นฮาไม่ออก
- ข้อสอบนี้ทำเลยไม่ต้องเสียดาย ไม่ต้องรอให้พร้อมก่อนค่อยทำ อยากทำอีกไปฝึก Notefull ได้ฟีลเหมือนกัน
- จุดประสงค์คือหาจุดอ่อนเราเมื่อมีตัวแปร เวลา กับ คอมพ์ เข้ามาเกี่ยวข้อง และทำให้เราคุ้นชินกับหน้าตาโปรแกรมก่อนสอบจริง
3. Notefull Free resources + Complete TOEFL Mastery USD 47 = 1,510 บาท
บอกก่อนว่าตอนแรกเราก็คิดจะหาที่เรียนพิเศษแหละ อ่านเองไม่น่ารอด แต่พอได้มาดูคลิป Notefull แล้ว เออมันดีแฮะ โดยเฉพาะในส่วน speaking ที่เราไม่ต้องมานั่งแต่งประโยคเอง มันมีมาให้ทั้งดุ้น เหมือนเราเติมคำตอบลงในช่องว่างเฉยๆ ซึ่ง pattern ที่เค้าให้มา เค้ายืนยันว่าใช้ในการสอบได้จริง ออกแบบมาให้พูดเหมือนรู้คำตอบ (แต่จริงๆ คำตอบเราอาจจะไม่ดีเท่าไหร่) และทันเวลาแน่นอน
จากการฟังคอร์สสอนฟรี เราโอเคกับสไตล์การสอนของเค้า เลยลองส่งเมลล์ไปถามว่าควรซื้อคอร์สไหนต่อดี บอกนางว่าพื้นฐานเราโอเคนะ เข้าใจรูปแบบการสอบแล้ว แต่ยังไม่มั่นใจ speaking ยังห่วยอยู่ ส่งไปปุ้บ วันถัดมานางตอบเลย !! รวดเร็วทันใจมาก ยิ่งประทับใจไปอีก
เค้าแนะนำคอร์ส Complete TOEFL Mastery มา บอกว่าถ้าอยากเพิ่มความมั่นใจให้ซื้ออันนี้ แล้วก็ไม่ผิดหวังเลย คือมี practice test เยอะมากๆๆๆ เราเผื่อเวลาเดือนกว่ายังทำไม่หมดเลย ความยากค่อนข้างตรงกับที่สอบจริง และมีเฉลยทุกข้อ อันนี้ใช้ได้ไม่มีวันหมดอายุ
นอกจาก practice test แล้ว ยังมีคลิปสอนแบบเจาะลึกในส่วนต่างๆ ของข้อสอบ รวมไปถึง study plan แนะนำการจัดตารางเวลาการอ่านสอบ เยอะมากๆ จนตอนนี้เราก็ยังฟังไม่หมด
ระหว่างเราอ่าน เราก็ส่งเมลล์ถามเค้าตลอด รวมๆ แล้ว 10 กว่าฉบับได้ ส่วนมากเป็นขอคำแนะนำว่าเราติดตรงนี้ทำยังไงดี ตอบเร็วมากกกก
ข้อดี
- Practice test เยอะมากๆ ใช้ฝึกได้จริง
- มีเฉลยทุกข้อ มี note ด้วยว่ากว่าจะออกมาแบบนี้จดโน้ตยังไง
- สอนลึก ไปจนถึงวิธีการจดโน้ต ที่ตอนแรกเรามองข้าม แต่มันสำคัญจริงๆ สอนการบริหารเวลา ถึงขนาดว่าวินาทีไหน เราควรอยู่ตรงไหนแล้ว (ตรงนี้เราว่าไม่ต้องเป๊ะมากก็ได้ แค่เรารู้เวลาของเราก็พอแล้ว)
- ชอบมากตรงมันจะบอก trick เรา ซึ่งสถาบันเค้าเปิดมาหลายสิบปี เค้าเคลมว่าเค้าศึกษามาหมดแล้ว วิธีที่เค้าสอนเราใช้ได้ผลจริงๆ เช่น reading อย่าอ่านรวดเดียวจบ ให้อ่านคำถามแล้วค่อยไล่อ่าน paragraph ไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เราสับสน เพราะข้อสอบมีช้อยส์จาก paragraph อื่นด้วย หรือ speaking ที่เป็น pattern ให้จำ เช่น เค้าบอกว่า Q1 Q2 เราต้องเลือกคำตอบของข้อนั้นให้ได้ก่อนจบเสียงคำถาม แล้วใช้ 15 วิ ในการคิดเหตุผล ประมาณนี้
“In my opinion, _________ for 2 reasons. First, ________. For example, ___ใส่เหตุผล support ของเรา_____. Second, _______. For instance, ______”
สำหรับเรา เราว่ามันดีมาก เพราะเราไม่ต้องเสียเวลาปั้นคำ ไม่ลน
- อย่างที่อวยมาหลายครั้ง นางตอบเมลล์เราเร็วมาก ถามอะไรต๊องๆ ไปก็ตอบ
- ราคาไม่แรงถ้าเทียบกับคอร์สเรียนสด
- ในวิดิโอการสอนต่างๆ สำเนียงฟังง่าย ฟังออกแทบ 100%
- ฟังๆ ไปนางจะใส่ motivation ให้เราตล๊อด แบบ you can do it! You can reach your TOEFL dream score 5555
ข้อเสีย
- ตามแบบฝรั่งเนอะ บางทีพูดเจื้อยแจ้วไปหน่อย ไอเราก็อยากรู้อยากฟังไวๆ พูดขยายความอยู่นั่นแหละ 555
- เว็บ Log out ให้เองบ่อยมาก ต้องกด log in ใหม่ซ้ำๆ
- เว็บใช้งานง่าย แต่มีบางฟังก์ชั่นทำให้หงุดหงิดเหมือนกัน ไม่เป็นผลต่อการศึกษา
- เลือกอ่านให้ดี อย่างที่บอกเว็บนางมี resources เยอะมาก คัดอันหลักๆ ที่เราอยากเรียนพอจะได้ไม่เสียเวลา บางอันก็ text เพียบเลยแต่อ่านแล้วไม่มีอะไร
>>> รวมค่าเสียหายทางการศึกษาไป 3,140 บาท !!! คุ้มมากใช่ไหมล่ะกับการสอบราคา 6,000
คะแนนที่ออกมาน่าพอใจ ไม่ต้องสอบใหม่ เย้
จบแล้วค่า ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกันมาจนถึงตอนนี้ จริงๆ ตั้งใจไว้นานแล้วว่าอยากรีวิว Notefull แบบเสียตังซื้อคอร์ส เพราะหารีวิวคนไทยไม่เจอเลย
หวังว่าบทความนี้คงจะเป็นประโยชน์กับหลายๆ คนที่จะสอบ TOEFL นะคะ ไม่ว่าพื้นฐานเราเป็นยังไง แต่ถ้าเราตั้งใจ มุ่งมั่น มีวินัย รับรองว่าทำได้แน่นอน สู้ๆ นะคะ ขอให้ทุกท่านโชคดี ^_^