พวกคุณเคยสงสัยไม้ว่า
ทำไมก่อนเราเข้าฌานที่ 1 จิตจึงวูบหน้ามืด เหมือนหลับไป
ทำไมเวลาจิตเราก่อนตัวตนตนหาย แสงสว่างจึงดับไป มีความมืดมาแทน
ทำไมเวลาจิตเราก่อนเมื่อเข้าเนวสัญญานาสัญญานตนะจึงมีอาการวืบเหมือนก่อนเราเข้าฌานที่ 1 เป็นสภาวะที่ไม่มีสัญญาเลยทีเดียวแต่ก็รู้สึกตัวบ้างเป็นบางคราว
มโน วิญญาน ภวังคจิต และดวงจิตนั้น
มันจะถูกกั้นเป็นห้อง ๆ และภายในห้องนั้นจะเป็น sector ย่อย ๆ แบ่งประเภทว่าอะไรจะอยู่ตรงไหน
กามภพนั้น จะมีความคิดเกี่ยวกับกาม จากนั้นก็จะมีกามตัณหามาคั่นไว้ เวลาเราทำจิตทวนใน แล้วจิตเราวืบดำมืด ความดำมืดนั่นแหละคือกามตัณหา พอจิตเราเข้าสู่ภวังค์แล้วจิตเราจะอยู่ในรูปภพ เป็นความคิดที่ไม่เกี่ยวกับกาม แต่คิดเกี่ยวเรื่องสิ่งของ วัตถุ รูปแบบต่างๆ
ถอยลงไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอราคะ จากนั้นก็จะเจอปฏิฆะทับถมกันเป็นชั้น ๆ อยู่ ถัดไป คือรอยต่อระหว่างรูปภพแลพอรูปภพ โดยมีภวตัณหาคั่นอยู่ รอยต่อของภวังค์จะมีลักษณะเป็นรูโค้ง คุณเอาหัวมุดเข้าฌานแบบไหน รอยต่อมันก็จะเป็นแบบนั้น แต่อสัญญีรอยต่อจะยาวหน่อย บางท่านจึงจัดเป็นฌาน
ไม่มีสติ สัญญา เวทนา เพราะวิญญานไม่สามารถตั้งอยู่ตรงนี่ได้ นอกจากจะละภวตัณหาออกไป
ถอยหลังไป จะไม่มีความคิดเลย เป็นห้องที่เก็บภพและอารมณ์ความรู้สึกเพียว ๆ พระพุทธเจ้าเรียกว่าธาตุ ภาษาพ่อแม่ครูจารย์เรียกว่า ภพ ถอยไปเรื่อย ๆ มีแค่นามรูป และสุดท้ายก็ไม่มีอะไรที่เราเรียกว่า อากิญจัญญายตนะ ไม่มีนามรูป ณ จุด ๆ นี้
ถัดไปคือ วิภวตัณหา แปลง่าย ๆ ว่าความกลัว วิภวตัณหาจะอยู่ตรงที่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ตรงนี้จะเป็นตะกอนของสัญญาเวทนาที่ละเอียดที่สุด ราคะ โทสะ โมหะอย่างละเอียดก็ตั้งอยู่ที่นี้ เป็นความความรู้สึกสำคัญหมายมั่นเพียว ๆ ภวังค์สุดท้ายที่กั้น ดวงจิตอยู่
ภวังคจิต
ทำไมก่อนเราเข้าฌานที่ 1 จิตจึงวูบหน้ามืด เหมือนหลับไป
ทำไมเวลาจิตเราก่อนตัวตนตนหาย แสงสว่างจึงดับไป มีความมืดมาแทน
ทำไมเวลาจิตเราก่อนเมื่อเข้าเนวสัญญานาสัญญานตนะจึงมีอาการวืบเหมือนก่อนเราเข้าฌานที่ 1 เป็นสภาวะที่ไม่มีสัญญาเลยทีเดียวแต่ก็รู้สึกตัวบ้างเป็นบางคราว
มโน วิญญาน ภวังคจิต และดวงจิตนั้น
มันจะถูกกั้นเป็นห้อง ๆ และภายในห้องนั้นจะเป็น sector ย่อย ๆ แบ่งประเภทว่าอะไรจะอยู่ตรงไหน
กามภพนั้น จะมีความคิดเกี่ยวกับกาม จากนั้นก็จะมีกามตัณหามาคั่นไว้ เวลาเราทำจิตทวนใน แล้วจิตเราวืบดำมืด ความดำมืดนั่นแหละคือกามตัณหา พอจิตเราเข้าสู่ภวังค์แล้วจิตเราจะอยู่ในรูปภพ เป็นความคิดที่ไม่เกี่ยวกับกาม แต่คิดเกี่ยวเรื่องสิ่งของ วัตถุ รูปแบบต่างๆ
ถอยลงไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอราคะ จากนั้นก็จะเจอปฏิฆะทับถมกันเป็นชั้น ๆ อยู่ ถัดไป คือรอยต่อระหว่างรูปภพแลพอรูปภพ โดยมีภวตัณหาคั่นอยู่ รอยต่อของภวังค์จะมีลักษณะเป็นรูโค้ง คุณเอาหัวมุดเข้าฌานแบบไหน รอยต่อมันก็จะเป็นแบบนั้น แต่อสัญญีรอยต่อจะยาวหน่อย บางท่านจึงจัดเป็นฌาน
ไม่มีสติ สัญญา เวทนา เพราะวิญญานไม่สามารถตั้งอยู่ตรงนี่ได้ นอกจากจะละภวตัณหาออกไป
ถอยหลังไป จะไม่มีความคิดเลย เป็นห้องที่เก็บภพและอารมณ์ความรู้สึกเพียว ๆ พระพุทธเจ้าเรียกว่าธาตุ ภาษาพ่อแม่ครูจารย์เรียกว่า ภพ ถอยไปเรื่อย ๆ มีแค่นามรูป และสุดท้ายก็ไม่มีอะไรที่เราเรียกว่า อากิญจัญญายตนะ ไม่มีนามรูป ณ จุด ๆ นี้
ถัดไปคือ วิภวตัณหา แปลง่าย ๆ ว่าความกลัว วิภวตัณหาจะอยู่ตรงที่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ตรงนี้จะเป็นตะกอนของสัญญาเวทนาที่ละเอียดที่สุด ราคะ โทสะ โมหะอย่างละเอียดก็ตั้งอยู่ที่นี้ เป็นความความรู้สึกสำคัญหมายมั่นเพียว ๆ ภวังค์สุดท้ายที่กั้น ดวงจิตอยู่