คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 43
เรียนแบบ homeschool หาเวลาสอนวันละ 2-3 ชั่วโมง เน้นเนื้อหา ไม่เอาน้ำๆแบบในโรงเรียน ถึงเวลาไปสอบวัดมาตรฐานกับพื้นที่เขตการศึกษาที่เราอยู่เพื่อให้ลูกมีวุฒิติดตัว หากว่าวันหนึ่งเขาต้องการใช้มัน เวลาที่เหลือสอนทักษะชีวิต สังคม การพัฒนาทางอารมณ์ พาไปเรียนพิเศษคลาสสั้นๆร่วมกับเด็กคนอื่นๆบ้างเพื่อเพิ่มทักษะการปฏิสัมพันธ์ พอเขาโตขึ้นคิดตัดสินใจเองได้แล้วค่อยให้เขาเลือกก็ได้ค่ะ เพราะอย่างไรก็ตามมนุษย์เราเรียนรู้จากประสบการณ์ด้วยกันทั้งสิ้นไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ พ่อแม่มีหน้าที่คอยช่วยเหลือ แนะนำไม่ให้เขาเจอประสบการณ์ที่เลวร้ายจนเกิดเป็นแผลเป็นในใจเท่านั้นเองค่ะ^^
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 22
เป็นอะไร? ไปเพ้อที่อื่น อย่าเอาเด็กมาเกี่ยวข้อง
เท่าที่อ่าน ตั้งใจมาด่าระบบการศึกษาไทยอย่างเดียวเลย
ไม่ได้ศึกษาหรอก ไอ้ home schoolเนี่ย
การที่คุณพิมพ์มาทั้งหมด ชีวิตคุณล้มเหลวในบางpartไม่ได้หมายความว่า เด็กต้องมาเติมในส่วนนั้นนะ
สรุปที่คุณอ้างถึง มันออกแนวหลักปรัชญาแล้วล่ะ ไปอยู่ในป่านู่น หรือไม่ก็รวยมากๆ ลูกไม่ต้องเรียนก็ได้(แต่ภาวนาว่าให้เด็กใช้ชีวิตจากการคิดเองโดยปราศจากความคิดเสี้ยมๆ)
เท่าที่อ่าน ตั้งใจมาด่าระบบการศึกษาไทยอย่างเดียวเลย
ไม่ได้ศึกษาหรอก ไอ้ home schoolเนี่ย
การที่คุณพิมพ์มาทั้งหมด ชีวิตคุณล้มเหลวในบางpartไม่ได้หมายความว่า เด็กต้องมาเติมในส่วนนั้นนะ
สรุปที่คุณอ้างถึง มันออกแนวหลักปรัชญาแล้วล่ะ ไปอยู่ในป่านู่น หรือไม่ก็รวยมากๆ ลูกไม่ต้องเรียนก็ได้(แต่ภาวนาว่าให้เด็กใช้ชีวิตจากการคิดเองโดยปราศจากความคิดเสี้ยมๆ)
ความคิดเห็นที่ 62
ดูจากการตอบคำถามคนที่อาจพูดจาไม่ถูกใจ จขกท. ในแง่อารมณ์ก็ดูไม่ค่อยจะไหว
แถมค้นหาแบบ ง่ายๆ แบบคนไม่รู้ keywords อะไรเลย มันก็ขึ้น ได้คำที่น่าเอาไปค้นต่อ เช่น โฮมสคูล ของแบบนี้ เรื่องพื้นฐาน เลย การค้นหาสิ่งที่ไม่รู้ด้วยตนเองก่อน จึงค่อยถามผู้อื่นเมื่อตัวเองค้นคว้าไม่ได้จริงๆ แล้วจะไปสอนวิทยาศาสตร์ลูก สอนตรรกะศาสตร์ลูก เป็นไปได้ยังไงคะ ไม่ควรมาอ้างนะคะ ว่าทุกคนไม่ได้รู้ทุกเรื่อง ทั้งที่ในมือ การค้นหาเรื่องที่คุณต้องการด้วยตัวเอง มันง่ายกว่าการมาถามคนอื่นแต่แรกทั้งที่ยังไม่เริ่มอะไรเลย เหมือนมาบ่นระบบการศึกษาไทยมากกว่า ถ้าไปเจออะไรที่มันยากกว่านี้ค่อยถามดีกว่าไหม เช่น การสอบเทียบสำหรับคนเรียนโฮมสคูลได้เครดิตประมาณไหนในสังคม อ่านแล้วอาจจะอารมณ์เสียนะความเห็นนี้ คงไม่ถูกใจเท่าไร
ปล. ไม่ได้มองว่าโรงเรียนดีหรืออะไรนะ เพราะคิดว่าใครๆก็อาจมีปมจากโรงเรียน เหมือนที่จขกท.เจออะไรมา ไม่ขอวิจารณ์โรงเรียนแล้วกัน เพราะก็รู้ๆกันอยู่แล้ว
แถมค้นหาแบบ ง่ายๆ แบบคนไม่รู้ keywords อะไรเลย มันก็ขึ้น ได้คำที่น่าเอาไปค้นต่อ เช่น โฮมสคูล ของแบบนี้ เรื่องพื้นฐาน เลย การค้นหาสิ่งที่ไม่รู้ด้วยตนเองก่อน จึงค่อยถามผู้อื่นเมื่อตัวเองค้นคว้าไม่ได้จริงๆ แล้วจะไปสอนวิทยาศาสตร์ลูก สอนตรรกะศาสตร์ลูก เป็นไปได้ยังไงคะ ไม่ควรมาอ้างนะคะ ว่าทุกคนไม่ได้รู้ทุกเรื่อง ทั้งที่ในมือ การค้นหาเรื่องที่คุณต้องการด้วยตัวเอง มันง่ายกว่าการมาถามคนอื่นแต่แรกทั้งที่ยังไม่เริ่มอะไรเลย เหมือนมาบ่นระบบการศึกษาไทยมากกว่า ถ้าไปเจออะไรที่มันยากกว่านี้ค่อยถามดีกว่าไหม เช่น การสอบเทียบสำหรับคนเรียนโฮมสคูลได้เครดิตประมาณไหนในสังคม อ่านแล้วอาจจะอารมณ์เสียนะความเห็นนี้ คงไม่ถูกใจเท่าไร
ปล. ไม่ได้มองว่าโรงเรียนดีหรืออะไรนะ เพราะคิดว่าใครๆก็อาจมีปมจากโรงเรียน เหมือนที่จขกท.เจออะไรมา ไม่ขอวิจารณ์โรงเรียนแล้วกัน เพราะก็รู้ๆกันอยู่แล้ว
แสดงความคิดเห็น
ไม่ต้องการให้ลูกเรียนหนังสือ มีวิธีการอย่างไรให้ไม่ผิดกฎหมาย
ประเด็นคือ พอทราบมาว่า กฎหมายบังคับให้ศึกษาตามระบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ สิ่งเหล่านั้นใช่ว่าจะมีคุณภาพ และสิ่งเร้าต่างๆ เช่น เพื่อน ครู สภาพแวดล้อม อาจกล่อมเกลาให้ลูกของเราไปพบเจอหรือหลงผิดในทางไม่ดี หรือได้รับอิทธิพลที่เสื่อมทรามกลับมา
ส่วนตัวมีการใช้ชีวิตที่เรียนรู้สิ่งดีๆมาจากพ่อแม่ และเพื่อนในระหว่างเรียน แต่จากประสบการณ์ตนเองและผู้อื่น ก็ทราบมาว่า มีแต่เรื่องแย่ๆเสียส่วนใหญ่ ทั้งนี้อาจอยู่ที่สังคมด้วยเช่นกัน
สิ่งที่ต้องการจริงๆคือ ธรรมชาติที่จะมีเวลา ใช้ชีวิตกับลูก ในวัยที่ควรปลูกฝัง เรียนรู้ อยู่กับพ่อแม่ ครอบครัว ตามพัฒนาการของช่วงวัย ซึ่งตามหลักจิตวิทยาที่ผมได้ศึกษามาบ้าง ก็ทำให้ทราบว่า ช่วงอายุตั้งแต่เด็กจนถึงประมาณ 7 ปี ควรอยู่กับครอบครัว
จากนั้นเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยอื่นต่อไป เราก็จะค่อยๆให้เขาออกไปพบเจอสังคม และเลือกใช้ชีวิต จากพื้นฐานที่เราคิดว่าดีที่สุดสำหรับเขา จากการเลี้ยงดูของครอบครัว และไม่ใช่จำกัดว่าเราต้องเป็นคนสั่งสอนลูกเท่านั้น
ส่วนตัวเป็นคนที่รู้สึกเสียเวลากับช่วงวัยเรียนเป็นอย่างมาก เมื่อทำงานก็ยิ่งรู้ว่า เราเสียเวลาไปกับการเรียนหนังสือตามระบบการศึกษา เกินจำเป็น ในช่วงเวลาที่ควรจะได้อยู่กับญาติ คนรัก กลับต้องออกไปเรียนหนังสือ
เรียกได้ว่ามีปมที่ระหว่างเรียนเจอแต่สังคมเพื่อน ครู ส่วนใหญ่ไม่ดี ชีวิตไม่มีความสุขเท่าอยู่กับครอบครัว ไม่ได้รับความอบอุ่น ห่วงใย หรือยุติธรรม ตามสิ่งที่สมควรจะเป็น
เพื่อนแท้ผมก็มีจากอนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย ซึ่งยากนักที่จะมีแบบนี้ได้ ก็มองว่าเป็นข้อดีจากระบบการศึกษา แต่หากมองอีกมุม อาจเป็นกรรมที่ทำร่วมกันมาเสียมากกว่า จึงได้พบพานกัน
ดังนั้นจึงคิด ไม่ว่าใช้ชีวิตอย่างไร ควรเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์สังคมกำหนดโดยฝืนธรรมชาติและยังส่งผลร้ายกับตัวเองอีกด้วย
ทุกวันนี้ก็เลือกจะทำงานเพื่อตัวเอง คนที่เกี่ยวข้อง เงิน ครอบครัว และ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ตามความสามารถและความเป็นไปได้
แต่สุดท้าย หากเรามีลูก เราก็อยากให้เขามีชีวิตอิสระในธรรมชาติที่ควรจะเป็น
แก้ไขเพิ่มเติม โดยจะไม่ไปแก้เนื้อหาเดิมนะครับ
หลายคนเข้าใจผิดไปว่า ผมไม่ปล่อยลูก กักขัง อันนี้ผมอาจระบุไม่ชัดเจน สิ่งที่อยากจะทำคือ ให้ลูกเรียนรู้สังคมตั้งแต่เล็ก พบเจอผู้คน จากญาติ เพื่อน มิตรสหายของเรา คนรู้จัก หรือเด็กๆที่อื่นตามสังคมปกติ แต่เราสามารถมองเห็น รับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับลูก และสามารถบอกสิ่งที่เขาพบเจอได้ว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งต่างๆเหล่านี้ควรหรือไม่ ไม่ใช่ส่งเขาเข้าไปเรียนอนุบาล แล้วระหว่างที่เราไม่เห็น โดนปลูกฝังความคิดผิดๆจากครู เพื่อน โดนกดดัน ข่มขู่ บังคับ ทำสิ่งที่ไม่ใช่ความต้องการของตัวเอง แล้วเกิดปมในใจแบบผมสมัยเด็ก ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ผมต้องการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น จึงต้องการสอนด้วยตัวเอง และสอนสิ่งที่จำเป็นจริงๆในช่วงวัยแรกเท่านั้น
เรื่องสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม การที่เราพาเขาไปที่ต่างๆ มักจะมีตัวอย่างไม่ดีให้เห็น เราก็จะสอนเขาจากสิ่งที่พบเจอข้างนอก หรือสิ่งไหนไม่เกิดก็จะสอนแนวทาง เล่าให้เขาได้รู้จักและเข้าใจไว้คร่าวๆ เมื่อเราปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเองในเวลาที่เหมาะสม เขาเจอสิ่งเลวร้าย ก็จะรับรู้ ไม่ใช่เราไม่ให้เขารู้จักก่อนออกไปจริง
ขอบคุณที่อ่านจนจบ
ขออภัยหากใช้คำไม่ถูกต้องและชวนงุงงง
และขอบคุณที่กรุณาบอกวิธีและคำแนะนำดีๆให้กับผมได้ทราบและเข้าใจ