ตอนวัยเด็กเคยดูหนังหลายๆเรื่อง หนึ่งในนั้นคือ The Devil wears Prada ทำให้อยากทำงานในออฟฟิศต่างประเทศ พูดภาษาอังกฤษคล่อง เดินฉับๆๆๆใส่ coat ยาวๆ ในประเทศหนาวๆ ได้เที่ยวไปในตัว เรียนรู้วัฒนธรรมจากเพื่อนต่างชาติ เก็บเงินได้เยอะๆ ตอนนั้นคิดเพียงว่าวันนึงจะทำให้ได้ เราไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกว่าใคร ทุกคนมีความถนัดต่างๆกัน แต่ที่รู้อย่างนึงคือเราเป็นคนถึกมากกก เพื่อนๆที่สนิทๆจะรู้ดี ถ้าพยายามจะทำอะไรคือใส่ความตั้งใจเต็ม ที่สำคัญคือจะมีวินัยกับตัวเองและชอบตั้งเป้าหมาย มองภาพตัวเองในอนาคตว่าอยากทำอะไร อยู่ที่ไหนในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
กวางจบคณะเศรษฐศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เลือกเรียนภาคภาษาอังกฤษก็เพราะชอบภาษาและคิดว่าจะช่วยเวลาไปเรียนต่อต่างประเทศ เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่นิวซีแลนด์ตอนปี 3 พอจบก็ได้เข้าทำงานที่ SCG Packaging เป็นเวลา 5 ปี ผ่านงานมา 2 ด้าน คือ จัดซื้อต่างประเทศ และวางแผน-วิเคราะห์การตลาด หลายๆคนจะทราบดีว่าบริษัทนี้มั่นคงมาก สวัสดิการพนักงานคือที่สุด สังคมดีมาก ซึ่งเป็นจริงแบบนั้นค่ะ เรารักบริษัทนี้มากเพราะทำให้ได้ประสบการณ์หลายๆอย่างติดตัวมาจนถึงวันนี้ รวมถึงเพื่อนรวมงานที่กลายเป็นเพื่อนสนิท เป็นพี่น้องรักกันจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังมีทุนการศึกษาด้าน Specialist และ MBA ที่มหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก นี่คือจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจในการเตรียมตัวไปเรียนต่อ MBA เลยก็ว่าได้ อยากจะขอบคุณ SCG สักล้านครั้ง
เมื่อพูดถึงจุดเริ่มต้นของการขอทุน SCG ไปเรียน MBA ที่อเมริกา คนที่เป็นสายล่าทุนหรือไปด้วยทุนตัวเองก็ตามจะรู้ดีว่าการเตรียมตัวสอบ GMAT & TOEFL เป็นสิ่งที่เหนื่อยมากเนื่องจากเกณฑ์การเข้าเรียนต่อนั้นมันโหดที่สุด คนทั่วโลกแข่งกันเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำซึ่งมีพื้นที่จำกัด ไม่ใช่แค่ได้คะแนนสอบสูงๆแล้วจะได้เข้า การทำ essay และประสบการณ์ทำงาน หรือการนำเสนอตัวเองก็ต้องดูน่าสนใจ เป้าหมายในชีวิตต้องชัดเจนเพราะตอนสัมภาษณ์จะต้องพูดได้อย่างมั่นใจ no script! เพราะการเรียน MBA จะเน้น discussion, group project, presentation ดังนั้นประสบการณ์ทำงานอย่างต่ำ 3-5 ปีถึงสำคัญมาก คนไทยอย่างพวกเราเสียเปรียบที่ติดถ่อมตัวและคิดว่าตัวเองไม่เก่งพอ จึงขาดความมั่นใจและยากที่จะนำเสนอจุดแข็งของตัวเอง จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งงาน/การศึกษาในประเทศและต่างประเทศ เราจะเป็นชาติที่รักความสงบ ประนีประนอม อะไรก็ได้ สบายๆพี่ได้หมด ทำให้จุดยืนในชีวิตไม่ชัดเจน บางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชอบอะไร ต้องการอะไรในชีวิต แต่ข้อดีก็คือในความเป็นมิตรและจริงใจคือสิ่งที่คนชาติอื่นๆมองเห็น ตอนนี้เริ่มออกนอกเรื่อง กลับมาที่การเตรียมสอบ
กวางเตรียมคะแนนสอบอยู่ 3 ปีพร้อมกับทำงานที่ SCG ไปด้วย เป็นจังหวะที่เหนื่อยจริงๆ หลังเลิกงานกลับบ้านทำโจทย์ GMAT เสาร์อาทิตย์ไปเที่ยวน้อยมาก ชีวิตช่วงนึงหายไปเพราะเก็บตัวเนิร์ด เนื่องจากค่าสอบตอนนั้น USD 265 แพงเนอะ สอบทีนึงก็กระเป๋าเบาจ้าาา ในขณะที่ TOEFL ผ่านฉลุย GMAT ต้องเอาเพิ่มอีกๆ กำลังใจก็มีขึ้นลงเป็นไบโพล่า บางทีนั่งร้องไห้ เห็นคะแนนสอบแล้วโอ้วมายก๊อดดด เอาเงินคืนมาเดี๋ยวนี้นะ และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น คุณพ่อหัวใจวายเฉียบพลัน เสียชีวิตทันที จิตใจร่วงโรยมาก หมดกำลังใจและเสียศูนย์ไป 1 ปีเต็ม แต่ก็ไม่หยุดความคิดที่จะไปเรียน เอาล่ะ มาถึงขั้นนี้การนึกถึงทางเลือกที่สองเป็นสิ่งจำเป็น เราควรจะรู้จักลิมิตของตัวเอง ในเมื่อมันไม่ถึงก็คือไม่ถึง และจากเหตุการณ์ของคุณพ่อทำให้ตระหนักได้ว่าชีวิตนี้มันสั้น ทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิตจะรีบคว้าไว้
กลับมาแข็งแรงอีกครั้งแล้ว ลุกขึ้นใหม่ เป้าหมายตอนนั้นยังไม่เปลี่ยน "การขอทุนไปเรียนต่อโดยไม่ขอเงินแม่" ตอนนั้นเริ่มทำ research ดูทุกประเทศที่ให้ทุนรัฐบาล ทุนมหาวิทยาลัย และสถาบันต่างๆ ไปงานศึกษาต่อทุกที่มาจัด ออสเตรเลีย อังกฤษ อเมริกา เนเธอร์แลนด์ โบรชัวร์เต็มบ้านค่ะ คำถามบังคับเวลาไปบูธเหล่านี้ก็คือ มีทุนการศึกษาให้มั้ยคะ ถ้ามีได้กี่ % มี student loan หรือตัวช่วยอะไรบ้าง นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ได้เจอกับ TIAS School of Business and Society (
https://www.tias.edu) ของเนเธอร์แลนด์ซึ่งมาเป็นอันดับ 2 ของประเทศนี้รองจาก RSM ทุกครั้งที่ไปงาน fair จะเตรียม resume และใบคะแนนสอบ เราติดต่อกับ Carrie สาวไต้หวัน ตัวแทนมหาวิทยาลัยที่ดูแลนักเรียนในเอเชีย พอรู้ว่ามีทุนให้นักศึกษาต่างชาติ ก็เริ่มขอคำแนะนำเรื่องการสมัครขอทุน ซึ่งได้รับคำแนะนำและความเอาใจใส่ดีมากๆตลอดระยะเวลาในการทำ application
ชีวิตเดินมาถึงการสมัครเรียนที่เนเธอร์แลนด์แบบงงๆ งงจริงๆเพราะไม่เคยคิดมาก่อน รู้ว่าเป็นประเทศในฝัน เพราะมีความชิคๆอาร์ทๆ ขี่จักรยานได้ทุกที่ ดอกไม้งาม landscape สวยมาก และผู้ชายงานดี สุดๆๆๆๆๆ 5555 ผลก็คือได้ทุน Women in Business ค่ะ จากคะแนนที่มีอยู่สามารถขอทุนได้แล้วค่ะ ฝันไปรึเปล่า นอกจากนั้นยังได้ทำ marketing project ที่ทำในระหว่างเรียนเป็นค่ากินอยู่ และขอ student loan อีกนิดหน่อยค่ะ มาถึงจุดนี้คือความสำเร็จขั้นแรกแล้วนะ เป้าหมายล่าทุนบรรลุแล้ว จึงเลือกที่จะไปประเทศนี้แบบไม่คิดมาก
ทีนี้ก็เรียนไปค่ะ 1 ปี เรียนจริงจัง เที่ยวเยอะสุด แฮปปี้มากค่ะ
โปรดติดตามตอนต่อไปที่จะพูดถึงเรื่องการทำงานนะคะ ;)
Road to become an expat .. เส้นทางสู่การได้ทุนเรียนต่อ MBA และเข้าทำงานในบริษัทที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ep.1
กวางจบคณะเศรษฐศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เลือกเรียนภาคภาษาอังกฤษก็เพราะชอบภาษาและคิดว่าจะช่วยเวลาไปเรียนต่อต่างประเทศ เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่นิวซีแลนด์ตอนปี 3 พอจบก็ได้เข้าทำงานที่ SCG Packaging เป็นเวลา 5 ปี ผ่านงานมา 2 ด้าน คือ จัดซื้อต่างประเทศ และวางแผน-วิเคราะห์การตลาด หลายๆคนจะทราบดีว่าบริษัทนี้มั่นคงมาก สวัสดิการพนักงานคือที่สุด สังคมดีมาก ซึ่งเป็นจริงแบบนั้นค่ะ เรารักบริษัทนี้มากเพราะทำให้ได้ประสบการณ์หลายๆอย่างติดตัวมาจนถึงวันนี้ รวมถึงเพื่อนรวมงานที่กลายเป็นเพื่อนสนิท เป็นพี่น้องรักกันจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังมีทุนการศึกษาด้าน Specialist และ MBA ที่มหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก นี่คือจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจในการเตรียมตัวไปเรียนต่อ MBA เลยก็ว่าได้ อยากจะขอบคุณ SCG สักล้านครั้ง
เมื่อพูดถึงจุดเริ่มต้นของการขอทุน SCG ไปเรียน MBA ที่อเมริกา คนที่เป็นสายล่าทุนหรือไปด้วยทุนตัวเองก็ตามจะรู้ดีว่าการเตรียมตัวสอบ GMAT & TOEFL เป็นสิ่งที่เหนื่อยมากเนื่องจากเกณฑ์การเข้าเรียนต่อนั้นมันโหดที่สุด คนทั่วโลกแข่งกันเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำซึ่งมีพื้นที่จำกัด ไม่ใช่แค่ได้คะแนนสอบสูงๆแล้วจะได้เข้า การทำ essay และประสบการณ์ทำงาน หรือการนำเสนอตัวเองก็ต้องดูน่าสนใจ เป้าหมายในชีวิตต้องชัดเจนเพราะตอนสัมภาษณ์จะต้องพูดได้อย่างมั่นใจ no script! เพราะการเรียน MBA จะเน้น discussion, group project, presentation ดังนั้นประสบการณ์ทำงานอย่างต่ำ 3-5 ปีถึงสำคัญมาก คนไทยอย่างพวกเราเสียเปรียบที่ติดถ่อมตัวและคิดว่าตัวเองไม่เก่งพอ จึงขาดความมั่นใจและยากที่จะนำเสนอจุดแข็งของตัวเอง จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งงาน/การศึกษาในประเทศและต่างประเทศ เราจะเป็นชาติที่รักความสงบ ประนีประนอม อะไรก็ได้ สบายๆพี่ได้หมด ทำให้จุดยืนในชีวิตไม่ชัดเจน บางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชอบอะไร ต้องการอะไรในชีวิต แต่ข้อดีก็คือในความเป็นมิตรและจริงใจคือสิ่งที่คนชาติอื่นๆมองเห็น ตอนนี้เริ่มออกนอกเรื่อง กลับมาที่การเตรียมสอบ
กวางเตรียมคะแนนสอบอยู่ 3 ปีพร้อมกับทำงานที่ SCG ไปด้วย เป็นจังหวะที่เหนื่อยจริงๆ หลังเลิกงานกลับบ้านทำโจทย์ GMAT เสาร์อาทิตย์ไปเที่ยวน้อยมาก ชีวิตช่วงนึงหายไปเพราะเก็บตัวเนิร์ด เนื่องจากค่าสอบตอนนั้น USD 265 แพงเนอะ สอบทีนึงก็กระเป๋าเบาจ้าาา ในขณะที่ TOEFL ผ่านฉลุย GMAT ต้องเอาเพิ่มอีกๆ กำลังใจก็มีขึ้นลงเป็นไบโพล่า บางทีนั่งร้องไห้ เห็นคะแนนสอบแล้วโอ้วมายก๊อดดด เอาเงินคืนมาเดี๋ยวนี้นะ และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น คุณพ่อหัวใจวายเฉียบพลัน เสียชีวิตทันที จิตใจร่วงโรยมาก หมดกำลังใจและเสียศูนย์ไป 1 ปีเต็ม แต่ก็ไม่หยุดความคิดที่จะไปเรียน เอาล่ะ มาถึงขั้นนี้การนึกถึงทางเลือกที่สองเป็นสิ่งจำเป็น เราควรจะรู้จักลิมิตของตัวเอง ในเมื่อมันไม่ถึงก็คือไม่ถึง และจากเหตุการณ์ของคุณพ่อทำให้ตระหนักได้ว่าชีวิตนี้มันสั้น ทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิตจะรีบคว้าไว้
กลับมาแข็งแรงอีกครั้งแล้ว ลุกขึ้นใหม่ เป้าหมายตอนนั้นยังไม่เปลี่ยน "การขอทุนไปเรียนต่อโดยไม่ขอเงินแม่" ตอนนั้นเริ่มทำ research ดูทุกประเทศที่ให้ทุนรัฐบาล ทุนมหาวิทยาลัย และสถาบันต่างๆ ไปงานศึกษาต่อทุกที่มาจัด ออสเตรเลีย อังกฤษ อเมริกา เนเธอร์แลนด์ โบรชัวร์เต็มบ้านค่ะ คำถามบังคับเวลาไปบูธเหล่านี้ก็คือ มีทุนการศึกษาให้มั้ยคะ ถ้ามีได้กี่ % มี student loan หรือตัวช่วยอะไรบ้าง นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ได้เจอกับ TIAS School of Business and Society (https://www.tias.edu) ของเนเธอร์แลนด์ซึ่งมาเป็นอันดับ 2 ของประเทศนี้รองจาก RSM ทุกครั้งที่ไปงาน fair จะเตรียม resume และใบคะแนนสอบ เราติดต่อกับ Carrie สาวไต้หวัน ตัวแทนมหาวิทยาลัยที่ดูแลนักเรียนในเอเชีย พอรู้ว่ามีทุนให้นักศึกษาต่างชาติ ก็เริ่มขอคำแนะนำเรื่องการสมัครขอทุน ซึ่งได้รับคำแนะนำและความเอาใจใส่ดีมากๆตลอดระยะเวลาในการทำ application
ชีวิตเดินมาถึงการสมัครเรียนที่เนเธอร์แลนด์แบบงงๆ งงจริงๆเพราะไม่เคยคิดมาก่อน รู้ว่าเป็นประเทศในฝัน เพราะมีความชิคๆอาร์ทๆ ขี่จักรยานได้ทุกที่ ดอกไม้งาม landscape สวยมาก และผู้ชายงานดี สุดๆๆๆๆๆ 5555 ผลก็คือได้ทุน Women in Business ค่ะ จากคะแนนที่มีอยู่สามารถขอทุนได้แล้วค่ะ ฝันไปรึเปล่า นอกจากนั้นยังได้ทำ marketing project ที่ทำในระหว่างเรียนเป็นค่ากินอยู่ และขอ student loan อีกนิดหน่อยค่ะ มาถึงจุดนี้คือความสำเร็จขั้นแรกแล้วนะ เป้าหมายล่าทุนบรรลุแล้ว จึงเลือกที่จะไปประเทศนี้แบบไม่คิดมาก ทีนี้ก็เรียนไปค่ะ 1 ปี เรียนจริงจัง เที่ยวเยอะสุด แฮปปี้มากค่ะ
โปรดติดตามตอนต่อไปที่จะพูดถึงเรื่องการทำงานนะคะ ;)