ตอนนี้ต่างประเทศเริ่มเข้าสู่หน้ามาราธอน ที่จบไปแล้วก็ทั้ง บอสตันมาราธอน และ ลอนดอนมาราธอน
แต่ก็ยังเหลือรายการวิ่งอีกจำนวนมากที่จะเริ่มในเดือน กันยายน เป็นต้นไป
รองเท้ายอดฮิตในปีนี้คงหนีไม่พ้น ไนกี้ ครับ เพราะเนื่องมาจาก โปรเจค ซับ 2 ตัว Nike Vaporfly 4% ก็ sold out ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
ทั้งๆ ที่ราคานั้นโคตรแพง (ในอังกฤษ ราคาขายปลีกอยู่ที่ 199 ปอนด์ หรือ 9000 บาท)
ต้องบอกก่อนว่า ปกติ ผมมักจะมองข้ามไนกี้ไปเลย ด้วยเหตุผลหลักๆคือ 1. มันแพง 2. ถ้าเทียบกับยี่ห้ออื่นในรุ่นเดียวกัน ไนกี้ใส่ไม่ทน
แต่จากที่ผมสัมผัสโดยตรง ไนกี้เองทำรองเท้าที่ให้ความรู้สึกนุ่มได้ดี
ผมเลยเริ่มสนใจ Nike Zoom Fly ไปพลางๆก่อน เพราะตัวนี้ราคาถูกกว่า (ผมซื้อมา 90 ปอนด์ หรือ ประมาณ 4000 บาทครับ)
ตัวรองเท้าให้น้ำหนักเบาครับ เป็นไปตามสไตล์รองเท้าวิ่งแข่งมาราธอนที่ต้องเบา ความรู้สึกเมื่อใส่คือ มันสูงครับ แต่ไม่ได้ทำให้ทรงตัวยากแต่อย่างใด
พื้นรองเท้าไม่ได้เรียบ แบบ Adidas Boost แต่จะให้ความเทไปด้านหน้า ตรงนี้ผมจึงคิดว่าถ้าใครเอามาวิ่งช้าๆน่าจะไม่เหมาะ เพราะเหมือนว่ารองเท้าออกแบบมาให้เรา พุ่งไปข้างหน้า ดูจากพื้นรองเท้าที่แผ่นยางสีดำๆ มีหุ้มแค่ด้านหน้าเท่านั้น ใครที่ลงส้นเท้า จึงไม่น่าเหมาะเพราะรองเท้าอาจจะพังไวครับ
พอใส่วิ่งเเล้ว รู้สึกว่ามันนุ่มดีครับ ตัว upper เป็นผ้าซึ่งไม่หนามาก เพราะฉะนั้นระบายอากาศ หรือ ความร้อนจากเท้าได้ค่อนข้างดีที่เดียว ผมใส่วิ่งไป 16 กิโล ไม่ค่อยมีปัญหาด้านความร้อนของเท้านะครับ
ให้สังเกต ดูรูระบายอากาศที่ไนกี้เขาใส่เข้ามาครับ เยอะพอสมควร
ด้านหลังหรือตรงส่วนส้นของรองเท้ามี เลข 00 00 00 ตรงนี้คงไว้ใส่เวลาเป้าหมายมั้งครับ แต่สำหรับ Zoom fly ตรงส่วนด้านหลังจะเป็นแผ่นแข็งๆครับ แต่มันก็มีฟองน้ำมาหุ้มไว้ ไม่รู้สึกเสียดสีเลยครับ
สรุปคือ ผมประทับใจมากครับ เอาไว้วิ่ง Tempo, HM pace, M pace สนุกมากๆ แต่ผมแนะนำให้ อัพครึ่งไซส์ นะครับ เช่น ปกติผมใส่ เบอร์ 9 UK ผมต้องสั่งเบอร์ 9.5 UK ถึงจะพอดีครับ
==================================================================================
ตัดมาที่ตัวท็อป ซึ่งก็คือ Nike Vaporfly 4% ซึ่งแพงกว่า Zoom Fly 2 เท่า (บ้าไปแล้ว) มันต้องมีอะไรดีกว่าสิแบบนี้.......
เริ่มที่ตัว upper ก่อนครับ มันบางกว่า ซูมไฟล์ มากๆ ทุกจุดมันเหมือนเป็นผ้าไปหมด ไม่มีฟองน้ำเลยนะ........ ทำให้มันดูบอบบางมาก เหมือนจะขาดให้ได้
แต่สิ่งที่แลกเปลี่ยนมาคือ Vaporfly 4% นั้นเบามากๆครับ
ฟองน้ำที่นำมาทำนั้นก็ต่างกันนะ.....ตัวนี้จะใช้โฟมอีกชนิดนึง ซึ่งพอใส่เเล้วให้ อารมณ์คล้าย Zoom fly แต่เด้งกว่ามากๆ และนุ่มกว่ามากๆ คือ แม้ว่าอารมณ์จะคล้าย แต่มันก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง (งงละสิ ผมก็งง....)
ดูสิตัวโฟม มันนุ่มเด้งจนมันเกิดรอยยับไปเลย........
ส่วนพื้นรองเท้า ดีไซน์มาคล้ายๆกันคือมีแผ่นดำๆ ติดเฉพาะส่วนหน้าเท้า เพราะฉะนั้น มันเอาไว้ใส่วิ่งแบบพุ่งๆเท่านั้นเลยแหละ...
ด้านหลังของตัวนี้ อย่างที่บอกคือ ไม่มีฟองน้ำใดๆ เป็นผ้าทั้งสิ้น
เดี๋ยวผมมาแก้เพิ่มถ้าใส่วิ่งไปแล้วว่าเป็นอย่างไร.....
แต่ที่ผมกังวลคือ ความทนทานของรองเท้ามากกว่าครับ สรุปคิอถ้าใครมีเงินเหลือ แล้วอย่างลองของ ผมว่าน่าลอง และอาจจะติดใจเลยด้วยครับ
ใครลองแล้วช่วยแชร์ๆ กันได้ครับ
รีวิวทั้ง Zoom Fly และ Vapor Fly 4% ในกระทู้เดียวกัน
แต่ก็ยังเหลือรายการวิ่งอีกจำนวนมากที่จะเริ่มในเดือน กันยายน เป็นต้นไป
รองเท้ายอดฮิตในปีนี้คงหนีไม่พ้น ไนกี้ ครับ เพราะเนื่องมาจาก โปรเจค ซับ 2 ตัว Nike Vaporfly 4% ก็ sold out ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
ทั้งๆ ที่ราคานั้นโคตรแพง (ในอังกฤษ ราคาขายปลีกอยู่ที่ 199 ปอนด์ หรือ 9000 บาท)
ต้องบอกก่อนว่า ปกติ ผมมักจะมองข้ามไนกี้ไปเลย ด้วยเหตุผลหลักๆคือ 1. มันแพง 2. ถ้าเทียบกับยี่ห้ออื่นในรุ่นเดียวกัน ไนกี้ใส่ไม่ทน
แต่จากที่ผมสัมผัสโดยตรง ไนกี้เองทำรองเท้าที่ให้ความรู้สึกนุ่มได้ดี
ผมเลยเริ่มสนใจ Nike Zoom Fly ไปพลางๆก่อน เพราะตัวนี้ราคาถูกกว่า (ผมซื้อมา 90 ปอนด์ หรือ ประมาณ 4000 บาทครับ)
ตัวรองเท้าให้น้ำหนักเบาครับ เป็นไปตามสไตล์รองเท้าวิ่งแข่งมาราธอนที่ต้องเบา ความรู้สึกเมื่อใส่คือ มันสูงครับ แต่ไม่ได้ทำให้ทรงตัวยากแต่อย่างใด
พื้นรองเท้าไม่ได้เรียบ แบบ Adidas Boost แต่จะให้ความเทไปด้านหน้า ตรงนี้ผมจึงคิดว่าถ้าใครเอามาวิ่งช้าๆน่าจะไม่เหมาะ เพราะเหมือนว่ารองเท้าออกแบบมาให้เรา พุ่งไปข้างหน้า ดูจากพื้นรองเท้าที่แผ่นยางสีดำๆ มีหุ้มแค่ด้านหน้าเท่านั้น ใครที่ลงส้นเท้า จึงไม่น่าเหมาะเพราะรองเท้าอาจจะพังไวครับ
พอใส่วิ่งเเล้ว รู้สึกว่ามันนุ่มดีครับ ตัว upper เป็นผ้าซึ่งไม่หนามาก เพราะฉะนั้นระบายอากาศ หรือ ความร้อนจากเท้าได้ค่อนข้างดีที่เดียว ผมใส่วิ่งไป 16 กิโล ไม่ค่อยมีปัญหาด้านความร้อนของเท้านะครับ
ให้สังเกต ดูรูระบายอากาศที่ไนกี้เขาใส่เข้ามาครับ เยอะพอสมควร
ด้านหลังหรือตรงส่วนส้นของรองเท้ามี เลข 00 00 00 ตรงนี้คงไว้ใส่เวลาเป้าหมายมั้งครับ แต่สำหรับ Zoom fly ตรงส่วนด้านหลังจะเป็นแผ่นแข็งๆครับ แต่มันก็มีฟองน้ำมาหุ้มไว้ ไม่รู้สึกเสียดสีเลยครับ
สรุปคือ ผมประทับใจมากครับ เอาไว้วิ่ง Tempo, HM pace, M pace สนุกมากๆ แต่ผมแนะนำให้ อัพครึ่งไซส์ นะครับ เช่น ปกติผมใส่ เบอร์ 9 UK ผมต้องสั่งเบอร์ 9.5 UK ถึงจะพอดีครับ
==================================================================================
ตัดมาที่ตัวท็อป ซึ่งก็คือ Nike Vaporfly 4% ซึ่งแพงกว่า Zoom Fly 2 เท่า (บ้าไปแล้ว) มันต้องมีอะไรดีกว่าสิแบบนี้.......
เริ่มที่ตัว upper ก่อนครับ มันบางกว่า ซูมไฟล์ มากๆ ทุกจุดมันเหมือนเป็นผ้าไปหมด ไม่มีฟองน้ำเลยนะ........ ทำให้มันดูบอบบางมาก เหมือนจะขาดให้ได้
แต่สิ่งที่แลกเปลี่ยนมาคือ Vaporfly 4% นั้นเบามากๆครับ
ฟองน้ำที่นำมาทำนั้นก็ต่างกันนะ.....ตัวนี้จะใช้โฟมอีกชนิดนึง ซึ่งพอใส่เเล้วให้ อารมณ์คล้าย Zoom fly แต่เด้งกว่ามากๆ และนุ่มกว่ามากๆ คือ แม้ว่าอารมณ์จะคล้าย แต่มันก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง (งงละสิ ผมก็งง....)
ดูสิตัวโฟม มันนุ่มเด้งจนมันเกิดรอยยับไปเลย........
ส่วนพื้นรองเท้า ดีไซน์มาคล้ายๆกันคือมีแผ่นดำๆ ติดเฉพาะส่วนหน้าเท้า เพราะฉะนั้น มันเอาไว้ใส่วิ่งแบบพุ่งๆเท่านั้นเลยแหละ...
ด้านหลังของตัวนี้ อย่างที่บอกคือ ไม่มีฟองน้ำใดๆ เป็นผ้าทั้งสิ้น
เดี๋ยวผมมาแก้เพิ่มถ้าใส่วิ่งไปแล้วว่าเป็นอย่างไร.....
แต่ที่ผมกังวลคือ ความทนทานของรองเท้ามากกว่าครับ สรุปคิอถ้าใครมีเงินเหลือ แล้วอย่างลองของ ผมว่าน่าลอง และอาจจะติดใจเลยด้วยครับ
ใครลองแล้วช่วยแชร์ๆ กันได้ครับ