สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์การเป็นไทรอยด์เป็นพิษ ชนิด ไฮเปอร์ (Hyper) ค่ะ เราอายุ 30 ปี ทำงานธนาคาร เราเริ่มมีอาการตอน ต้นปี 2559 ค่ะ เริ่มแรกคือ รู้สึกเหนื่อยง่าย ไม่มีความสุข หงุดหงิดง่าย จนเคยคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นภาวะซึมเศร้ามากกว่า เพราะตอนนั้นยังไม่รู้จักโรคนี้
จนเดือน เมษายน 2559 เราป่วยเป็นโรคลำไส้ใหญ่ค่ะ เลยไปหาหมอ หมอก็ถามอาการ แต่เราตอบคำถาม แบบพูดเร็วมาก จนหมอสังเกต เพราะเริ่มฟังไม่ทันและบอกให้เราพูดช้าลง หมอให้เราลองยกมือทั้งสองข้าง เพื่อดูว่า ปลายนิ้วสั่นหรือไม่ สุดท้ายก็ให้เราลองไปเจาะเลือด และผลก็ออกมาว่า เราเป็น ไทรอยด์เป็นพิษ ชนิด “ไฮเปอร์ไทรอยด์” ค่ะ
สาเหตุของ ไฮเปอร์ไทรอยด์
• สาเหตุของโรค เกิดขึ้นจากการที่ต่อมไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ จนทำให้ร่างกายมีปริมาณของฮอร์โมนไทรอยด์มากกว่าความต้องการของร่างกาย และมีสภาวะเป็นพิษ จนส่งผลต่อร่างกายในด้านต่าง ๆ
• โรคนี้ มาจาก กรรมพันธุ์/พันธุกรรม ค่ะ อาจจะไม่ได้แสดงออกมา แต่เหมือนมันซ่อนอยู่ในเลือด ซึ่งถ่ายทอดทางสายเลือด แต่โรคนี้ ถ้าไม่ได้แสดงอาการหรือกระทบชีวิตมากนัก บางคนก็จะไม่รู้ตัวว่าเป็น (ไม่ได้เป็นแบบรุนแรง)
• ตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิด ไทรอยด์เป็นพิษ อาจจะมาจาก อาหารบางชนิด หรือ ความเครียด หรือ ตัวกระตุ้นอื่นๆ สำหรับเราคือ “ความเครียด” ค่ะ
**มาถึงตรงนี้ นี่เป็นสิ่งที่เราอยากจะบอกทุกคน ค่ะ ตอนนั้น เราทำงานแบบเอาเป็นเอาตาย ในหัวเรา คิดแต่หนทางจะเติบโตในที่ทำงาน ทำอย่างไรให้ได้ promote บลาๆๆ เราไม่ได้ใส่ใจเรื่องสุขภาพเลย บางทีก็ทำงานจนกลับบ้านดึก ทั้งๆที่รู้ว่า พ่อแม่รอทานข้าวทุกวัน แต่ด้วยความคิดว่าอยากทำงานให้มีผลงานเยอะๆ อยากเงินเดือนขึ้นมากๆ ทำให้เราเครียดโดยไม่รู้ตัว (จนน่าจะเป็นตัวกระตุ้นโรคไทรอยด์ขึ้น)
พอเป็นโรค เราถึงได้รู้ว่า นั่นเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตที่เราตัดสินใจผิดพลาดค่ะ เพราะผลที่ได้คือ สิ่งที่เราได้จากที่ทำงานมันไม่คุ้มเลย เราแทบไม่ได้อะไรจากที่ทำงานเลย (นอกจากสวัสดิการเบิกค่ารักษาพยาบาล) แถมเราต้องกินยาแก้ไทรอยด์ไปอย่างน้อย 2 ปี ต้องคอยควบคุมอารมณ์ พยายามไม่หงุดหงิดใส่พ่อแม่และเพื่อน ต้องลดอาหารจำพวก กะหล่ำปลี และอาหารทะเล ต้องกลายเป็นคนที่มีโรคประจำตัวไปอย่างน้อยก็ต้องหลายปี
หลังจากวิเคราะห์ว่าเราเป็น เราก็ได้ยามากินค่ะ เรากินยาแก้ไทรอยด์ชื่อ ทาพาโซล Tapazole 5mg. สามเดือนแรกกิน 3 เม็ด เพราะตอนนั้นค่าไทรอยด์สูงต้องรีบคุม ช่วงนั้น น้ำหนักเราลงไป 7 กก ภายใน 3 อาทิตย์ค่ะ (จริงๆรู้สึกชอบมาก เพราะอยากผอมเหมือนกันแต่ลดไม่เคยได้เลย อิอิ)
อาการ โดยสรุป คือ
• เหนื่อยง่ายมาก >>> หมอบอกว่า ร่างกายคนเป็นไฮเปอร์จะทำงานมากกว่าคนปกติ 2 เท่า เช่น เผาผลาญ 2 เท่า เลยทำให้กินมาก น้ำหนักก็ยังไม่ขึ้น การใช้พลังงานพูด ก็เหมือนคนที่วิ่งเสร็จแล้วมาพูด จะพูดเร็วและคนฟังไม่ค่อยทัน)
• นอนไม่หลับ >>> แรกๆ เราต้องเพิ่งยานอนหลับตลอดค่ะ เพราะร่างกายทำงานไม่หลับนอน
• หัวใจเต้นเร็วตลอดเวลา >>> แรกๆต้องกินยาลดหัวใจให้เต้นช้าลง หัวใจเราเต้น 100+ ตลอด กลัวหัวใจวาย ถ้าเผลอทำอะไรโหมมากๆ
• มือสั่น(ปลายนิ้ว) >>> ความแม่นยำจะต่ำมาก เช่น การปาขยะไม่ลงถัง (แม้มันจะใกล้) การพิมพ์แป้นมือถือ มันจะพิมพ์เป็นตัวข้างๆเสมอ ทำให้คนอ่านไม่รู้เรื่อง (เช่น น ก็จะเป็น ย)
• ตาโปน >>> อันนี้จะมีผลเวลาถ่ายรูปมาก มันจะแปลกๆ ดูไม่เหมือนตาเรา
เราต้องไปเจาะเลือดเรื่อยๆ ทุกๆ 1 เดือน เพื่อเช็คระดับไทรอยด์ (T3, T4, TSH) แล้วก็กินยาเพื่อคุมไปเรื่อยๆ จาก 3 เม็ด มา 2 เม็ด จนปัจจุบัน (เกือบจะ 2 ปี) เราก็ยังต้องกิน 1 เม็ดไปเรื่อยๆ แต่หาหมอ 3 เดือน/ครั้ง แม้อาการจะเริ่มน้อยลง อาการมือสั่นเริ่มหายไป สามารถพิมพ์แป้นมือถือได้ดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีอาการเหนื่อยอยู่เรื่อยๆ มันจะหน่วงๆ เพลียๆ หายใจได้ไม่สุด
โรคนี้ มีทางหายค่ะ แต่โอกาสจะกลับมาเป็นใหม่ก็มี ซึ่งหมอจะตรวจเลือดเพิ่มไป ดูค่าอีกอันหนึ่ง ถ้ามากกว่า 1 แสดงว่า มีโอกาสกลับมาเป็นอีก หากหยุดยาค่ะ (ค่านี้ของเราอยู่ที่ 18 กว่าๆ ซึ่งสูงมาก เราอาจจะต้องคุมด้วยยาไปเรื่อยๆ แต่อาจจะกิน ¼เม็ด หรือเปลี่ยนชนิดยาไป)
***
วันนี้ 29 เมษายน 2561 คุณหมอถามเราว่า เรามีแพลนจะแต่งงานมั้ย?
ความรู้ใหม่ที่ได้วันนี้เราทำให้ค่อนข้างกังวลค่ะ หมอบอกว่า ถ้าระดับไทรอยด์เรายังไม่ปกติ “จะมีผลต่อลูก” ค่ะ เช่น มีผลต่อสมองของเด็ก (หากท้องในช่วงที่ยังไม่ปกติ เพราะใน รก จะมีตัวอะไรสักอย่างที่จะมีผลต่อไทรอยด์และจะมีผลไปที่ลูกค่ะ) หมอเลยอยากให้รักษาค่าไทรอยด์เป็นปกติก่อนที่จะแต่งงานมีลูก (หรือ ถ้าจะท้อง ก็ต้องเปลี่ยนยาเป็นตัวอื่นที่ท้องได้ .... แต่เราก็ยังเสียวๆเรื่องจะมีผลกับลูกอยู่ดี)
***
เราไม่เคยคิดเลยว่า การละเลยสุขภาพ แค่ช่วงเวลาสั้นๆ จะมีผลต่อชีวิตเราขนาดนี้
แม้โรคนี้จะมีสาเหตุจาก กรรมพันธุ์/พันธุกรรม แต่ถ้าเราไม่เริ่มเครียดมากๆ เราก็คงไม่ต้องมานั่งกินยาไปเรื่อยๆแบบนี้ เพราะฉะนั้น อยากให้ทุกคนอย่าละเลยสุขภาพนะคะ พยายามทำในสิ่งที่มีความสุข เมื่อเวลาทำงานจบแล้ว ก็ให้จบไป อย่าเอากลับมาคิด แล้วก็อย่าลืมใส่ใจคนรอบข้าง อย่าทำงานมากเกินไป ทุกวันนี้ คนที่พาเราไปหาหมอ คอยจดค่า ระดับไทรอยด์และถามคำแนะนำของหมอ ก็คือ คุณพ่อคุณแม่ของเรา ค่ะ
)
สุดท้ายนี้ อาจจะมีพิมพ์ผิดบ้าง อ่านไม่รู้เรื่องบ้าง ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ นะคะ
ประสบการณ์ไทรอยด์เป็นพิษ Hyper สองปีก็ยังต้องกินยาอยู่ -- อย่าละเลยดูแลสุขภาพ
จนเดือน เมษายน 2559 เราป่วยเป็นโรคลำไส้ใหญ่ค่ะ เลยไปหาหมอ หมอก็ถามอาการ แต่เราตอบคำถาม แบบพูดเร็วมาก จนหมอสังเกต เพราะเริ่มฟังไม่ทันและบอกให้เราพูดช้าลง หมอให้เราลองยกมือทั้งสองข้าง เพื่อดูว่า ปลายนิ้วสั่นหรือไม่ สุดท้ายก็ให้เราลองไปเจาะเลือด และผลก็ออกมาว่า เราเป็น ไทรอยด์เป็นพิษ ชนิด “ไฮเปอร์ไทรอยด์” ค่ะ
สาเหตุของ ไฮเปอร์ไทรอยด์
• สาเหตุของโรค เกิดขึ้นจากการที่ต่อมไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ จนทำให้ร่างกายมีปริมาณของฮอร์โมนไทรอยด์มากกว่าความต้องการของร่างกาย และมีสภาวะเป็นพิษ จนส่งผลต่อร่างกายในด้านต่าง ๆ
• โรคนี้ มาจาก กรรมพันธุ์/พันธุกรรม ค่ะ อาจจะไม่ได้แสดงออกมา แต่เหมือนมันซ่อนอยู่ในเลือด ซึ่งถ่ายทอดทางสายเลือด แต่โรคนี้ ถ้าไม่ได้แสดงอาการหรือกระทบชีวิตมากนัก บางคนก็จะไม่รู้ตัวว่าเป็น (ไม่ได้เป็นแบบรุนแรง)
• ตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิด ไทรอยด์เป็นพิษ อาจจะมาจาก อาหารบางชนิด หรือ ความเครียด หรือ ตัวกระตุ้นอื่นๆ สำหรับเราคือ “ความเครียด” ค่ะ
**มาถึงตรงนี้ นี่เป็นสิ่งที่เราอยากจะบอกทุกคน ค่ะ ตอนนั้น เราทำงานแบบเอาเป็นเอาตาย ในหัวเรา คิดแต่หนทางจะเติบโตในที่ทำงาน ทำอย่างไรให้ได้ promote บลาๆๆ เราไม่ได้ใส่ใจเรื่องสุขภาพเลย บางทีก็ทำงานจนกลับบ้านดึก ทั้งๆที่รู้ว่า พ่อแม่รอทานข้าวทุกวัน แต่ด้วยความคิดว่าอยากทำงานให้มีผลงานเยอะๆ อยากเงินเดือนขึ้นมากๆ ทำให้เราเครียดโดยไม่รู้ตัว (จนน่าจะเป็นตัวกระตุ้นโรคไทรอยด์ขึ้น)
พอเป็นโรค เราถึงได้รู้ว่า นั่นเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตที่เราตัดสินใจผิดพลาดค่ะ เพราะผลที่ได้คือ สิ่งที่เราได้จากที่ทำงานมันไม่คุ้มเลย เราแทบไม่ได้อะไรจากที่ทำงานเลย (นอกจากสวัสดิการเบิกค่ารักษาพยาบาล) แถมเราต้องกินยาแก้ไทรอยด์ไปอย่างน้อย 2 ปี ต้องคอยควบคุมอารมณ์ พยายามไม่หงุดหงิดใส่พ่อแม่และเพื่อน ต้องลดอาหารจำพวก กะหล่ำปลี และอาหารทะเล ต้องกลายเป็นคนที่มีโรคประจำตัวไปอย่างน้อยก็ต้องหลายปี
หลังจากวิเคราะห์ว่าเราเป็น เราก็ได้ยามากินค่ะ เรากินยาแก้ไทรอยด์ชื่อ ทาพาโซล Tapazole 5mg. สามเดือนแรกกิน 3 เม็ด เพราะตอนนั้นค่าไทรอยด์สูงต้องรีบคุม ช่วงนั้น น้ำหนักเราลงไป 7 กก ภายใน 3 อาทิตย์ค่ะ (จริงๆรู้สึกชอบมาก เพราะอยากผอมเหมือนกันแต่ลดไม่เคยได้เลย อิอิ)
อาการ โดยสรุป คือ
• เหนื่อยง่ายมาก >>> หมอบอกว่า ร่างกายคนเป็นไฮเปอร์จะทำงานมากกว่าคนปกติ 2 เท่า เช่น เผาผลาญ 2 เท่า เลยทำให้กินมาก น้ำหนักก็ยังไม่ขึ้น การใช้พลังงานพูด ก็เหมือนคนที่วิ่งเสร็จแล้วมาพูด จะพูดเร็วและคนฟังไม่ค่อยทัน)
• นอนไม่หลับ >>> แรกๆ เราต้องเพิ่งยานอนหลับตลอดค่ะ เพราะร่างกายทำงานไม่หลับนอน
• หัวใจเต้นเร็วตลอดเวลา >>> แรกๆต้องกินยาลดหัวใจให้เต้นช้าลง หัวใจเราเต้น 100+ ตลอด กลัวหัวใจวาย ถ้าเผลอทำอะไรโหมมากๆ
• มือสั่น(ปลายนิ้ว) >>> ความแม่นยำจะต่ำมาก เช่น การปาขยะไม่ลงถัง (แม้มันจะใกล้) การพิมพ์แป้นมือถือ มันจะพิมพ์เป็นตัวข้างๆเสมอ ทำให้คนอ่านไม่รู้เรื่อง (เช่น น ก็จะเป็น ย)
• ตาโปน >>> อันนี้จะมีผลเวลาถ่ายรูปมาก มันจะแปลกๆ ดูไม่เหมือนตาเรา
เราต้องไปเจาะเลือดเรื่อยๆ ทุกๆ 1 เดือน เพื่อเช็คระดับไทรอยด์ (T3, T4, TSH) แล้วก็กินยาเพื่อคุมไปเรื่อยๆ จาก 3 เม็ด มา 2 เม็ด จนปัจจุบัน (เกือบจะ 2 ปี) เราก็ยังต้องกิน 1 เม็ดไปเรื่อยๆ แต่หาหมอ 3 เดือน/ครั้ง แม้อาการจะเริ่มน้อยลง อาการมือสั่นเริ่มหายไป สามารถพิมพ์แป้นมือถือได้ดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีอาการเหนื่อยอยู่เรื่อยๆ มันจะหน่วงๆ เพลียๆ หายใจได้ไม่สุด
โรคนี้ มีทางหายค่ะ แต่โอกาสจะกลับมาเป็นใหม่ก็มี ซึ่งหมอจะตรวจเลือดเพิ่มไป ดูค่าอีกอันหนึ่ง ถ้ามากกว่า 1 แสดงว่า มีโอกาสกลับมาเป็นอีก หากหยุดยาค่ะ (ค่านี้ของเราอยู่ที่ 18 กว่าๆ ซึ่งสูงมาก เราอาจจะต้องคุมด้วยยาไปเรื่อยๆ แต่อาจจะกิน ¼เม็ด หรือเปลี่ยนชนิดยาไป)
***
วันนี้ 29 เมษายน 2561 คุณหมอถามเราว่า เรามีแพลนจะแต่งงานมั้ย?
ความรู้ใหม่ที่ได้วันนี้เราทำให้ค่อนข้างกังวลค่ะ หมอบอกว่า ถ้าระดับไทรอยด์เรายังไม่ปกติ “จะมีผลต่อลูก” ค่ะ เช่น มีผลต่อสมองของเด็ก (หากท้องในช่วงที่ยังไม่ปกติ เพราะใน รก จะมีตัวอะไรสักอย่างที่จะมีผลต่อไทรอยด์และจะมีผลไปที่ลูกค่ะ) หมอเลยอยากให้รักษาค่าไทรอยด์เป็นปกติก่อนที่จะแต่งงานมีลูก (หรือ ถ้าจะท้อง ก็ต้องเปลี่ยนยาเป็นตัวอื่นที่ท้องได้ .... แต่เราก็ยังเสียวๆเรื่องจะมีผลกับลูกอยู่ดี)
***
เราไม่เคยคิดเลยว่า การละเลยสุขภาพ แค่ช่วงเวลาสั้นๆ จะมีผลต่อชีวิตเราขนาดนี้
แม้โรคนี้จะมีสาเหตุจาก กรรมพันธุ์/พันธุกรรม แต่ถ้าเราไม่เริ่มเครียดมากๆ เราก็คงไม่ต้องมานั่งกินยาไปเรื่อยๆแบบนี้ เพราะฉะนั้น อยากให้ทุกคนอย่าละเลยสุขภาพนะคะ พยายามทำในสิ่งที่มีความสุข เมื่อเวลาทำงานจบแล้ว ก็ให้จบไป อย่าเอากลับมาคิด แล้วก็อย่าลืมใส่ใจคนรอบข้าง อย่าทำงานมากเกินไป ทุกวันนี้ คนที่พาเราไปหาหมอ คอยจดค่า ระดับไทรอยด์และถามคำแนะนำของหมอ ก็คือ คุณพ่อคุณแม่ของเรา ค่ะ )
สุดท้ายนี้ อาจจะมีพิมพ์ผิดบ้าง อ่านไม่รู้เรื่องบ้าง ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ นะคะ