. . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
M A L A Y S I A & T H A I L A N D
5 วั น 4 คื น
KUALA LUMPUR - LANGKAWI - HAT YAI
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
จากรายวิชา GEN441 วัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ทำให้เกิดการเดินทางของ 5 ชายฉกรรจ์ ไปยังต่างถิ่น ดินแดนที่พวกเรารู้จักเพียงแค่ชื่อ ว่าเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ทางใต้ของเรานี้เอง นั้นก็คือประเทศ “มาเลเซีย”
พวกเราวางแผนกันไว้ว่าจะไปเที่ยวกัน 5 วัน 4 คืน โดยวันแรก เราจะเที่ยวกันที่เมืองหลวง กัวลาลัมเปอร์ กันพอหอมปากหอมคอ ให้รู้จักบ้านเมืองและความเจริญ เป็นเวลา 1 วัน 1 คืน แล้วในวันที่สอง เราจะเดินทางไปยังเกาะลังกาวี สถานที่ ที่พวกเราคาดหวังจะไปใช้ชีวิตกับธรรมชาติ ทะเล ป่าเขา น้ำตก เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน แล้ววันที่สี่ช่วงบ่าย เราจะนั่งเรือเฟอร์รี่กลับไปยังประเทศไทย แล้วเที่ยวหาดใหญ่ต่ออีก 1 วัน 1 คืน ก่อนกลับกรุงเทพฯ
DAY 1
เริ่มต้นการเดินทางในวันแรก ด้วยการนั่งแท็กซี่ ออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด เพื่อไปสนามบินดอนเมืองให้ทันเวลาขึ้นเครื่องเวลา 07.05 น. ซึ่งเป็นไฟลท์เช้าสุดสำหรับสายการบิน Airasia เดินทางไปยังกัวลาลัมเปอร์
ถึงที่สนามบินแล้ว ทำการลงทะเบียนตั๋วเครื่องบินแอร์เอเชีย ตามที่จองไว้จากเครื่องอัตโนมัติ ด้วยความที่ขาไป เราไม่ได้โหลดกระเป๋า รวมกับความสะดวกสบายจากระบบลงทะเบียนตั๋ว ทำให้เราผ่านขั้นตอนของสนามบินไปได้อย่างรวดเร็ว
มื้อเช้ามื้อแรก อย่างเลี่ยงไม่ได้ของเรา ตอนแรกจะซื้อ Mc Donald แต่โชคไม่เข้าข้าง เหลือเคาน์เตอร์คิดเงินและสั่งอาหารแค่เคาน์เตอร์เดียว คนต่อคิวกันยาวมากกก จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะลองฝากท้องไว้กับร้าน Subway ที่อยู่ข้างๆแทน และนี่เป็นครั้งแรกของพวกเรากับร้านนี้ ถือว่าไม่เลว
เราสั่งแซนวิชหน้าหลักๆที่ต้องการ แล้วสามารถสั่งผักหรือเครื่องเคียงต่างๆเพิ่มเติมได้ ถือว่าเป็นแซนวิชที่ค่อนข้างสดใหม่ รสชาติก็มักจะมาจากวัตถุดิบและซอสที่เราเลือกเลย จะอร่อยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมตัวเองแล้วล่ะ ถ้ากินแล้วอร่อยก็คงต้องชมว่ารสนิยมเราดี เซ้นส์อาหารเราได้
กินข้าวเสร็จก็ถ่ายรูป นอนรอเรียกขึ้นเครื่อง เรื่องเงินตราต่างประเทศ เราได้แลกกันมาก่อนแล้วจากร้าน Superich ด้วยเรท 8 บาท ต่อ 1 มาเลเซียริงกิต ถ้าเตรียมเงินสดมาแลกที่สนามบิน ก็อาจได้เรทราคาที่แพงกว่านิดหน่อย ประมาณ 5-10%
ได้เวลาออกเดินทางสู่กัวลาลัมเปอร์ Let's go !!!
ในที่สุดก็มาถึงสนามบินแห่งชาติมาเลเซียแล้วจ้า ของเราเป็นสายการบิน Air Asia ซึ่งเป็นสายการบินของมาเลเซีย ก็เลยได้ลงจอดที่ KLIA2 (Kuala Lumpur International Airport 2) ซึ่งใหม่กว่า ทันสมัยกว่า
จากการที่เพื่อนในทริปของเราหาข้อมูลมาได้ว่า แท็กซี่ที่มาเลเซียไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สภาพรถเก่า ฯลฯ ประมาณได้ว่าคงมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า ก็เลยใช้แอปพลิเคชั่น Grab เรียกแทน ด้วยความที่เรามากัน 5 คน จึงต้องใช้รถที่มี 6 ที่นั่ง ซึ่งราคาตกอยู่ที่ประมาณ 105 ริงกิต ว่าแล้วก็เดินหาประตูทางออกไปขึ้นรถเข้าเมืองกัน
พี่คนขับแท็กซี่ค่อนข้างเป็นกันเองดีครับ บริการดีตามมาตรฐาน คอยแนะนำสถานที่ต่างๆ แล้วก็ถามเรื่องต่างๆเกี่ยวกับมาเลเซียได้เรื่อยๆเลย สภาพเมืองหลวงนี้ค่อนข้างจะมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ครับ
ถ้ามองจากเครื่องบินลงมาก็จะเห็นได้ว่าป่าไม้สีเขียวเยอะมากๆ ส่วนใหญ่จะเห็นเป็นสวนปาล์ม ซึ่งก็ดูสมเหตุสมเหตุผลดี เพราะเป็นพืชเศรษฐกิจของที่นี่ ตลอดข้างทางก็เต็มไปด้วยต้นไม้ ป่าไม้ และเนินเขาต่างๆ สลับกับหมู่บ้านจัดสรรเล็กๆ ตลอดทาง
มาถึงที่พักของเราซักที อยู่ในเมือง ใกล้ๆย่าน Berjaya Times Square ซึ่งเปรียบเสมือนย่าน ‘สยาม’ ของบ้านเราเลยทีเดียว ที่พักของเราอยู่ที่ชั้น 25 ของตึก สภาพลิฟต์และภายในตึกค่อนข้างดูโทรม เหมือนยังสร้างไม่เสร็จนัก ขนาดพื้นลิฟต์ยังเป็นพื้นไม้ สร้างความประหลาดใจไม่น้อย
พอดูที่ชั้นต่างๆ ตรงปุ่มลิฟต์ จะพบว่าไม่มีชั้นที่ลงท้ายด้วยเลข 4 เลย ก็พอจะคาดเดาได้ว่าผู้สร้างตึกน่าจะเป็นชาวจีน เพราะในภาษาจีนเลข 4 ถือเป็นเลขอัปมงคล ในลิฟต์จึงแทนที่ด้วยชั้น 3a, 13a, 23a แทน
แต่เมื่อมาถึงที่พักของเรา ซึ่งเป็น Hostel ชื่อว่า TWENTY5 by OHANA ที่มีลักษณะเหมือนกับเป็นห้องคอนโดใหญ่ๆ แล้วมีห้องย่อยๆแยกออกไป พบว่ามันต่างจากสภาพภายนอกหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว แอร์เย็นฉ่ำ ตกแต่งภายในสวยงาม สไตล์เหมาะแก่นักผจญภัยและนักเดินทางยุคใหม่ยิ่งนัก ซึ่งสามารถมองเห็นวิวของตึกแฝดได้อย่างไกล ๆ อีกด้วย
แม้แต่ห้องน้ำ ด้านในก็มีแยกห้องอาบน้ำชาย-หญิง ห้องสุขา แยกกัน ถือว่าออกแบบมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว พวกเราพักกัน 5 คน รวมกัน 112.50 ริงกิต และเสียค่าซื้อแม่กุญแจไว้ใส่ล็อคเกอร์อีก 7 ริงกิต
พักผ่อนกันได้ซักพัก เราก็มีข่าวดีจากเพื่อนร่วมทริปของเรา โชคดีที่เพื่อนเรานั้นเคยไปโครงการแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นเมื่อประมาณ 4-5 เดือนก่อน ได้รู้จักกับชาวมาเลย์ ที่มาโครงการนี้ด้วย ซึ่งเพื่อนชาวมาเลย์คนนี้ก็อาสาเป็นไกด์พาเราเที่ยวรอบเมืองกัวลาลัมเปอร์ในวันนี้ และยังใจดีชวนเพื่อนที่หอเดียวกันมาช่วยเป็นไกด์ด้วย(เหมือนเรามาได้จังหวะพอดีกับที่เพื่อนๆชาวมาเลย์กำลังจะเดินทางจากมหาวิทยาลัยเข้าไปเที่ยวในเมือง เป็นเวลาประจวบเหมาะได้เดินเที่ยวด้วยกันเลย)
ไม่นานนักเพื่อนๆชาวมาเลย์ของเราก็มาถึง พร้อมกับซื้อของฝากย่านชุมชนใกล้เคียงมาฝากด้วย ได้แก่
- กะหรี่ปั๊บ(Curry Puff) : รสชาติละม้ายคล้ายที่เมืองไทย แต่ที่นี่จะมีกลิ่นเครื่องเทศที่โดดเด่นขึ้นมาหน่อย
- บะหมี่ขาว, มะพร้าวขูด และน้ำตาลมะพร้าว : เป็นของกินที่แปลกใหม่มาก ไม่คิดว่าจะเอาบะหมี่ขาวมากินในลักษณะของหวานแบบนี้ ถ้าพูดแบบเปิดใจ ไม่เคยกินบะหมี่ขาวมาก่อน มันก็ลงตัว พอเข้ากันได้ในระดับนึง ด้วยความที่ส่วนประกอบอยู่ในหมวดคาร์โบไฮเดรตและส่วนผสมมีความใกล้เคียงกันเลย พอเคี้ยวๆกินไปมันก็จะได้รสหวานทั้งจากน้ำตาล แล้วก็จากที่น้ำลายของเราย่อยสลายโมเลกุลแป้ง พอไปกันได้อยู่ แค่ชาวไทยอย่างเราอาจไม่ค่อยชินนัก
พอกินของว่างแก้หิวไปได้ซักพักแล้ว เราก็เดินเท้าจากที่พักมุ่งหน้าไปยัง Berjaya Times Square เพื่อไปหาอาหารเที่ยงกินกัน มื้อนี้เหล่าไกด์ผู้น่ารักของเราได้พาไปกินอาหารประจำชาติมาเลเซียกันที่ร้าน BananaBro
สำหรับเมนูที่เราสั่งนั้นดูเป็นเซ็ตอาหารเที่ยงชุดใหญ่พอสมควร ชื่อเมนู Nasi Kandar สำหรับไกด์สาวๆเราสั่งกัน 2 คน ต่อ 1 ชุด ส่วน 5 หนุ่มอย่างพวกเราก็จัดคนละชุดไปเลย แล้วค่อยสั่งเครื่องเคียงเป็นไก่แดงและปลาหมึกแดงโรยหน้าด้วยใบกะเพราะกรอบอย่างละจาน ส่วนเครื่องดื่มก็สั่งชาเย็น ชามะนาว กาแฟ ตามที่แต่ละคนชอบ
ทางร้านใช้ใบตองแผ่นใหญ่แทนจาน ตรงมุมของใบตองมีลายประทับตราร้านอยู่ พนักงานเริ่มเสิร์ฟด้วยการตักอาหารแต่ละชนิดมาวางไว้อย่างเป็นระเบียบ สังเกตจากคนอื่นๆที่ได้รับข้าวคนละ 2 ทัพพี ราวกับว่าจะเอาให้อิ่มข้าวไม่ต้องกินกับ และกับข้าวที่ไม่คุ้นเคยเลย ตัวผมเองจึงขอเซฟตัวเองไว้ก่อนด้วยการรับข้าวแค่ 1 ทัพพี
ต่อไปจะขออธิบายอาหารที่อยู่ในจานหลัก Nasi Kandar ของเราแต่ละชนิดดังนี้
- แผ่นข้าวเกรียบ (Papadom) : มีกลิ่นและรสที่เป็นเอกลักษณ์ ชวนระลึกถึงอินเดียหน่อยๆ คือถ้าชอบก็ชอบไปเลย ถ้าไม่ชอบก็อาจจะพอกินได้ นิยมกินกับน้ำจิ้มในถ้วยโลหะ(Razam และ Yogurt) หรือจิ้มกับแกงกะหรี่ต่างๆก็ได้
- น้ำจิ้ม Razam : เป็นน้ำจิ้มที่มีกลิ่นและรสชาติคล้ายกับน้ำจิ้มของข้าวหมกไก่(สีเขียวๆ) ที่ถูกเจือจางรสชาติด้วยน้ำซุป รสเค็มระดับน้ำซุปทั่วไป รวมกับเปรี้ยวนิดๆ และกลิ่นเฉพาะของน้ำจิ้มข้าวหมกไก่
- น้ำจิ้ม Yogurt : เป็นโยเกิร์ตเพียวๆเลย ถ้าใครเคยกินโยเกิร์ตแท้ๆ (ที่ไม่ได้เติมน้ำตาลหรือแต่งกลิ่นรสแบบที่วางขายในเซเว่น) ก็จะพอนึกออก
- แตงกวาชุปแป้งทอด : เป็นของทอดที่น่าจะเป็นมิตรกับทุกคนที่สุดแล้ว ถือซะว่าแทนเนื้อสัตว์เทมปุระก็ยังดี
- แตงกวาน้ำสลัด : จริงๆ จะเรียกว่าทำออกมาในลักษณะคล้ายน้ำจิ้ม ‘อาจาด’ ก็ได้ (น้ำจิ้มแตงกวา ที่มักกินกับหมูสะเต๊ะ) ถ้าไม่เรียกว่าอาจาดน้ำสลัด ก็คงเรียกว่าสลัดแตงกวา คงไม่ผิดนัก
- ผักกาดเหลือง : นี่คือ ‘ข้าวหมกไก่’ ที่เปลี่ยนจาก ‘ข้าว’ เป็น ‘กะหล่ำปลี’ ครับ แบบนั้นเลยหละ
- ข้าวสวย และแกงกะหรี่ : แกงกะหรี่ของที่นี่มี 4 ชนิด คือ แกงกะหรี่ปลา, แกงกะหรี่ไก่ มีสีออกส้มๆ จะมีรสเผ็ดร้อนหน่อย ส่วนแกงกะหรี่ถั่ว กับอีกชนิดที่มีสีค่อนไปทางเขียวจะไม่เผ็ด มักนำมาราดกับข้าวเพื่อกินเป็นกับข้าวไปเลย
ทุกอย่างสามารถเติมได้เรื่อยๆ จนอิ่ม ที่สำคัญที่นี่สามารถใช้ ‘มือเปิบ’ หยิบกินได้เลย สังเกตได้จากลูกค้าที่ลักษณะแนวๆ อินเดีย หรือ ชาวมลายู ที่นี่มักใช้มือเปิบกันอย่างเอร็ดอร่อย และทางร้านก็มีบริการอ่างล้างมือให้พร้อมซะด้วย จบมื้อนี้เฉลี่ยคนละประมาณ 18-20 ริงกิต = 144-160 บาท ถือว่ารับได้ สำหรับร้านอาหารในห้าง แต่ขนาดเป็นถึงระดับร้านในห้างนี้ เพื่อนๆที่มาด้วยกัน ก็กินไม่ค่อยจะหมดซักเท่าไหร่ คิดว่าเพราะเป็นผักล้วนส่วนนึง และรสชาติที่ไม่คุ้นเคยก็ส่วนนึง
[CR] ครั้งแรกในมาเลเซีย จากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ถึงเกาะลังกาวี จบที่หาดใหญ่
M A L A Y S I A & T H A I L A N D
5 วั น 4 คื น
KUALA LUMPUR - LANGKAWI - HAT YAI
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ทำให้เกิดการเดินทางของ 5 ชายฉกรรจ์ ไปยังต่างถิ่น ดินแดนที่พวกเรารู้จักเพียงแค่ชื่อ ว่าเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ทางใต้ของเรานี้เอง นั้นก็คือประเทศ “มาเลเซีย”
พวกเราวางแผนกันไว้ว่าจะไปเที่ยวกัน 5 วัน 4 คืน โดยวันแรก เราจะเที่ยวกันที่เมืองหลวง กัวลาลัมเปอร์ กันพอหอมปากหอมคอ ให้รู้จักบ้านเมืองและความเจริญ เป็นเวลา 1 วัน 1 คืน แล้วในวันที่สอง เราจะเดินทางไปยังเกาะลังกาวี สถานที่ ที่พวกเราคาดหวังจะไปใช้ชีวิตกับธรรมชาติ ทะเล ป่าเขา น้ำตก เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน แล้ววันที่สี่ช่วงบ่าย เราจะนั่งเรือเฟอร์รี่กลับไปยังประเทศไทย แล้วเที่ยวหาดใหญ่ต่ออีก 1 วัน 1 คืน ก่อนกลับกรุงเทพฯ
DAY 1
เริ่มต้นการเดินทางในวันแรก ด้วยการนั่งแท็กซี่ ออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด เพื่อไปสนามบินดอนเมืองให้ทันเวลาขึ้นเครื่องเวลา 07.05 น. ซึ่งเป็นไฟลท์เช้าสุดสำหรับสายการบิน Airasia เดินทางไปยังกัวลาลัมเปอร์
ถึงที่สนามบินแล้ว ทำการลงทะเบียนตั๋วเครื่องบินแอร์เอเชีย ตามที่จองไว้จากเครื่องอัตโนมัติ ด้วยความที่ขาไป เราไม่ได้โหลดกระเป๋า รวมกับความสะดวกสบายจากระบบลงทะเบียนตั๋ว ทำให้เราผ่านขั้นตอนของสนามบินไปได้อย่างรวดเร็ว
มื้อเช้ามื้อแรก อย่างเลี่ยงไม่ได้ของเรา ตอนแรกจะซื้อ Mc Donald แต่โชคไม่เข้าข้าง เหลือเคาน์เตอร์คิดเงินและสั่งอาหารแค่เคาน์เตอร์เดียว คนต่อคิวกันยาวมากกก จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะลองฝากท้องไว้กับร้าน Subway ที่อยู่ข้างๆแทน และนี่เป็นครั้งแรกของพวกเรากับร้านนี้ ถือว่าไม่เลว
เราสั่งแซนวิชหน้าหลักๆที่ต้องการ แล้วสามารถสั่งผักหรือเครื่องเคียงต่างๆเพิ่มเติมได้ ถือว่าเป็นแซนวิชที่ค่อนข้างสดใหม่ รสชาติก็มักจะมาจากวัตถุดิบและซอสที่เราเลือกเลย จะอร่อยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมตัวเองแล้วล่ะ ถ้ากินแล้วอร่อยก็คงต้องชมว่ารสนิยมเราดี เซ้นส์อาหารเราได้
กินข้าวเสร็จก็ถ่ายรูป นอนรอเรียกขึ้นเครื่อง เรื่องเงินตราต่างประเทศ เราได้แลกกันมาก่อนแล้วจากร้าน Superich ด้วยเรท 8 บาท ต่อ 1 มาเลเซียริงกิต ถ้าเตรียมเงินสดมาแลกที่สนามบิน ก็อาจได้เรทราคาที่แพงกว่านิดหน่อย ประมาณ 5-10%
ได้เวลาออกเดินทางสู่กัวลาลัมเปอร์ Let's go !!!
ในที่สุดก็มาถึงสนามบินแห่งชาติมาเลเซียแล้วจ้า ของเราเป็นสายการบิน Air Asia ซึ่งเป็นสายการบินของมาเลเซีย ก็เลยได้ลงจอดที่ KLIA2 (Kuala Lumpur International Airport 2) ซึ่งใหม่กว่า ทันสมัยกว่า
จากการที่เพื่อนในทริปของเราหาข้อมูลมาได้ว่า แท็กซี่ที่มาเลเซียไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สภาพรถเก่า ฯลฯ ประมาณได้ว่าคงมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า ก็เลยใช้แอปพลิเคชั่น Grab เรียกแทน ด้วยความที่เรามากัน 5 คน จึงต้องใช้รถที่มี 6 ที่นั่ง ซึ่งราคาตกอยู่ที่ประมาณ 105 ริงกิต ว่าแล้วก็เดินหาประตูทางออกไปขึ้นรถเข้าเมืองกัน
พี่คนขับแท็กซี่ค่อนข้างเป็นกันเองดีครับ บริการดีตามมาตรฐาน คอยแนะนำสถานที่ต่างๆ แล้วก็ถามเรื่องต่างๆเกี่ยวกับมาเลเซียได้เรื่อยๆเลย สภาพเมืองหลวงนี้ค่อนข้างจะมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ครับ
ถ้ามองจากเครื่องบินลงมาก็จะเห็นได้ว่าป่าไม้สีเขียวเยอะมากๆ ส่วนใหญ่จะเห็นเป็นสวนปาล์ม ซึ่งก็ดูสมเหตุสมเหตุผลดี เพราะเป็นพืชเศรษฐกิจของที่นี่ ตลอดข้างทางก็เต็มไปด้วยต้นไม้ ป่าไม้ และเนินเขาต่างๆ สลับกับหมู่บ้านจัดสรรเล็กๆ ตลอดทาง
มาถึงที่พักของเราซักที อยู่ในเมือง ใกล้ๆย่าน Berjaya Times Square ซึ่งเปรียบเสมือนย่าน ‘สยาม’ ของบ้านเราเลยทีเดียว ที่พักของเราอยู่ที่ชั้น 25 ของตึก สภาพลิฟต์และภายในตึกค่อนข้างดูโทรม เหมือนยังสร้างไม่เสร็จนัก ขนาดพื้นลิฟต์ยังเป็นพื้นไม้ สร้างความประหลาดใจไม่น้อย
พอดูที่ชั้นต่างๆ ตรงปุ่มลิฟต์ จะพบว่าไม่มีชั้นที่ลงท้ายด้วยเลข 4 เลย ก็พอจะคาดเดาได้ว่าผู้สร้างตึกน่าจะเป็นชาวจีน เพราะในภาษาจีนเลข 4 ถือเป็นเลขอัปมงคล ในลิฟต์จึงแทนที่ด้วยชั้น 3a, 13a, 23a แทน
แต่เมื่อมาถึงที่พักของเรา ซึ่งเป็น Hostel ชื่อว่า TWENTY5 by OHANA ที่มีลักษณะเหมือนกับเป็นห้องคอนโดใหญ่ๆ แล้วมีห้องย่อยๆแยกออกไป พบว่ามันต่างจากสภาพภายนอกหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว แอร์เย็นฉ่ำ ตกแต่งภายในสวยงาม สไตล์เหมาะแก่นักผจญภัยและนักเดินทางยุคใหม่ยิ่งนัก ซึ่งสามารถมองเห็นวิวของตึกแฝดได้อย่างไกล ๆ อีกด้วย
แม้แต่ห้องน้ำ ด้านในก็มีแยกห้องอาบน้ำชาย-หญิง ห้องสุขา แยกกัน ถือว่าออกแบบมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว พวกเราพักกัน 5 คน รวมกัน 112.50 ริงกิต และเสียค่าซื้อแม่กุญแจไว้ใส่ล็อคเกอร์อีก 7 ริงกิต
พักผ่อนกันได้ซักพัก เราก็มีข่าวดีจากเพื่อนร่วมทริปของเรา โชคดีที่เพื่อนเรานั้นเคยไปโครงการแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นเมื่อประมาณ 4-5 เดือนก่อน ได้รู้จักกับชาวมาเลย์ ที่มาโครงการนี้ด้วย ซึ่งเพื่อนชาวมาเลย์คนนี้ก็อาสาเป็นไกด์พาเราเที่ยวรอบเมืองกัวลาลัมเปอร์ในวันนี้ และยังใจดีชวนเพื่อนที่หอเดียวกันมาช่วยเป็นไกด์ด้วย(เหมือนเรามาได้จังหวะพอดีกับที่เพื่อนๆชาวมาเลย์กำลังจะเดินทางจากมหาวิทยาลัยเข้าไปเที่ยวในเมือง เป็นเวลาประจวบเหมาะได้เดินเที่ยวด้วยกันเลย)
ไม่นานนักเพื่อนๆชาวมาเลย์ของเราก็มาถึง พร้อมกับซื้อของฝากย่านชุมชนใกล้เคียงมาฝากด้วย ได้แก่
- กะหรี่ปั๊บ(Curry Puff) : รสชาติละม้ายคล้ายที่เมืองไทย แต่ที่นี่จะมีกลิ่นเครื่องเทศที่โดดเด่นขึ้นมาหน่อย
- บะหมี่ขาว, มะพร้าวขูด และน้ำตาลมะพร้าว : เป็นของกินที่แปลกใหม่มาก ไม่คิดว่าจะเอาบะหมี่ขาวมากินในลักษณะของหวานแบบนี้ ถ้าพูดแบบเปิดใจ ไม่เคยกินบะหมี่ขาวมาก่อน มันก็ลงตัว พอเข้ากันได้ในระดับนึง ด้วยความที่ส่วนประกอบอยู่ในหมวดคาร์โบไฮเดรตและส่วนผสมมีความใกล้เคียงกันเลย พอเคี้ยวๆกินไปมันก็จะได้รสหวานทั้งจากน้ำตาล แล้วก็จากที่น้ำลายของเราย่อยสลายโมเลกุลแป้ง พอไปกันได้อยู่ แค่ชาวไทยอย่างเราอาจไม่ค่อยชินนัก
พอกินของว่างแก้หิวไปได้ซักพักแล้ว เราก็เดินเท้าจากที่พักมุ่งหน้าไปยัง Berjaya Times Square เพื่อไปหาอาหารเที่ยงกินกัน มื้อนี้เหล่าไกด์ผู้น่ารักของเราได้พาไปกินอาหารประจำชาติมาเลเซียกันที่ร้าน BananaBro
สำหรับเมนูที่เราสั่งนั้นดูเป็นเซ็ตอาหารเที่ยงชุดใหญ่พอสมควร ชื่อเมนู Nasi Kandar สำหรับไกด์สาวๆเราสั่งกัน 2 คน ต่อ 1 ชุด ส่วน 5 หนุ่มอย่างพวกเราก็จัดคนละชุดไปเลย แล้วค่อยสั่งเครื่องเคียงเป็นไก่แดงและปลาหมึกแดงโรยหน้าด้วยใบกะเพราะกรอบอย่างละจาน ส่วนเครื่องดื่มก็สั่งชาเย็น ชามะนาว กาแฟ ตามที่แต่ละคนชอบ
ทางร้านใช้ใบตองแผ่นใหญ่แทนจาน ตรงมุมของใบตองมีลายประทับตราร้านอยู่ พนักงานเริ่มเสิร์ฟด้วยการตักอาหารแต่ละชนิดมาวางไว้อย่างเป็นระเบียบ สังเกตจากคนอื่นๆที่ได้รับข้าวคนละ 2 ทัพพี ราวกับว่าจะเอาให้อิ่มข้าวไม่ต้องกินกับ และกับข้าวที่ไม่คุ้นเคยเลย ตัวผมเองจึงขอเซฟตัวเองไว้ก่อนด้วยการรับข้าวแค่ 1 ทัพพี
ต่อไปจะขออธิบายอาหารที่อยู่ในจานหลัก Nasi Kandar ของเราแต่ละชนิดดังนี้
- แผ่นข้าวเกรียบ (Papadom) : มีกลิ่นและรสที่เป็นเอกลักษณ์ ชวนระลึกถึงอินเดียหน่อยๆ คือถ้าชอบก็ชอบไปเลย ถ้าไม่ชอบก็อาจจะพอกินได้ นิยมกินกับน้ำจิ้มในถ้วยโลหะ(Razam และ Yogurt) หรือจิ้มกับแกงกะหรี่ต่างๆก็ได้
- น้ำจิ้ม Razam : เป็นน้ำจิ้มที่มีกลิ่นและรสชาติคล้ายกับน้ำจิ้มของข้าวหมกไก่(สีเขียวๆ) ที่ถูกเจือจางรสชาติด้วยน้ำซุป รสเค็มระดับน้ำซุปทั่วไป รวมกับเปรี้ยวนิดๆ และกลิ่นเฉพาะของน้ำจิ้มข้าวหมกไก่
- น้ำจิ้ม Yogurt : เป็นโยเกิร์ตเพียวๆเลย ถ้าใครเคยกินโยเกิร์ตแท้ๆ (ที่ไม่ได้เติมน้ำตาลหรือแต่งกลิ่นรสแบบที่วางขายในเซเว่น) ก็จะพอนึกออก
- แตงกวาชุปแป้งทอด : เป็นของทอดที่น่าจะเป็นมิตรกับทุกคนที่สุดแล้ว ถือซะว่าแทนเนื้อสัตว์เทมปุระก็ยังดี
- แตงกวาน้ำสลัด : จริงๆ จะเรียกว่าทำออกมาในลักษณะคล้ายน้ำจิ้ม ‘อาจาด’ ก็ได้ (น้ำจิ้มแตงกวา ที่มักกินกับหมูสะเต๊ะ) ถ้าไม่เรียกว่าอาจาดน้ำสลัด ก็คงเรียกว่าสลัดแตงกวา คงไม่ผิดนัก
- ผักกาดเหลือง : นี่คือ ‘ข้าวหมกไก่’ ที่เปลี่ยนจาก ‘ข้าว’ เป็น ‘กะหล่ำปลี’ ครับ แบบนั้นเลยหละ
- ข้าวสวย และแกงกะหรี่ : แกงกะหรี่ของที่นี่มี 4 ชนิด คือ แกงกะหรี่ปลา, แกงกะหรี่ไก่ มีสีออกส้มๆ จะมีรสเผ็ดร้อนหน่อย ส่วนแกงกะหรี่ถั่ว กับอีกชนิดที่มีสีค่อนไปทางเขียวจะไม่เผ็ด มักนำมาราดกับข้าวเพื่อกินเป็นกับข้าวไปเลย
ทุกอย่างสามารถเติมได้เรื่อยๆ จนอิ่ม ที่สำคัญที่นี่สามารถใช้ ‘มือเปิบ’ หยิบกินได้เลย สังเกตได้จากลูกค้าที่ลักษณะแนวๆ อินเดีย หรือ ชาวมลายู ที่นี่มักใช้มือเปิบกันอย่างเอร็ดอร่อย และทางร้านก็มีบริการอ่างล้างมือให้พร้อมซะด้วย จบมื้อนี้เฉลี่ยคนละประมาณ 18-20 ริงกิต = 144-160 บาท ถือว่ารับได้ สำหรับร้านอาหารในห้าง แต่ขนาดเป็นถึงระดับร้านในห้างนี้ เพื่อนๆที่มาด้วยกัน ก็กินไม่ค่อยจะหมดซักเท่าไหร่ คิดว่าเพราะเป็นผักล้วนส่วนนึง และรสชาติที่ไม่คุ้นเคยก็ส่วนนึง