คำเตือนเหมาะสำหรับผู้ที่สนใจจะไปเวียดนามแบบสายประหยัด เน้นเที่ยว เน้นกินครับผม
สนามบินดอนเมือง กรุงเทพมหานคร
ตอนนี้เป็นเวลาตีสามกว่า ได้นอนไปแค่ชั่วโมงเดียว แต่ไม่รู้สึกง่วงเลย อาจเป็นเพราะตื่นเต้นที่จะได้ไปต่างประเทศครั้งแรก เมื่อรวมตัวกันเรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางโดยเรียกแท็กซี่เพื่อออกเดินทางไปสนามบินดอนเมือง เครื่องออกเวลาประมาณ 6 โมงเช้า
วันที่ 1 ฮานอย - ไฮฟอง
เมื่อถึงเวลาเราก็ขึ้นเครื่องไป เราใช้บริการของสายการบิน AirAsia ตอนแรกโคตรดีใจได้นั่งริมหน้าต่าง ถัดจากผมไปก็เป็นเพื่อนผม ถัดจากเพื่อนผมไปก็เป็นแม่ลูกอ่อนคนหนึ่งซึ่งเขานั่งแยกกับลูกของเขาอยู่ จึงขอพวกเราเปลี่ยนที่นั่งได้ไหม เขาอยากนั่งกับลูกเพราะลูกเค้ายังเป็นเด็กเล็กอยู่ แต่คนที่พูดนั้นเป็นชาวเวียดนาม ทำเอาผมงงที่เขาพูดไปพักใหญ่เพราะเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ นั่นจึงเป็นประสบการณ์แรกที่นั่งงงในดงภาษาเวียดนาม แต่ถ้าถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าเค้าพูดแบบนั้น เพราะมีสาวสวยเวียดนามใจดีที่พูดไทยได้แปลให้ฟัง ซึ่งคนๆนั้นเป็นคนที่ผมย้ายไปนั่งด้วย ซึ่งผมก็ได้คุยกับพี่คนนั้น เขาบอกเขาเคยทำงานที่ไทยมาก่อน เขาเลยพูดภาษาไทยได้ แล้วนี่ก็มาเที่ยวกำลังจะกลับบ้าน พี่คนนี้น่ารักมาก แต่น่าเสียดาย มีลูกแล้ว เขามากับลูก แต่ผมก็มีรูปสวยๆมาฝากกันครับ
เดินทางได้ซักพักเราก็มาถึงสนามบินปลายทางที่ฮานอย เราเองก็พึ่งจะตื่นมาทำให้งง ๆ และมึนหัวอยู่ แต่เราก็ต้องรีบไปที่พักให้ได้โดยเร็วเพราะที่พักเราอยู่ไกลมาก หลังจากแลกเงิน ซื้อ sim เราเลือก 7 gb. ในราคา 200,000 ดองเพราะเราอยู่หลายวันเลยเอามาเผื่อๆ และทำธุระอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็เตรียมตัวที่จะไป ไฮฟองทันที
นี่แค่เล็กน้อยนะครับ เพื่อนผมมากกว่านี้เพราะเขารวยกว่าผม
ตอนแรกเราวางแผนว่าจะไปรถเมล์สาย 86 เข้าตัวเมืองเพื่อไปต่อรถ แต่เพื่อความมั่นใจเราเลยไปถามพี่ทหาร (ใช่หรือเปล่าไม่แน่ใจ ชุดเหมือนทหารเลย) ภาษาที่ใช้ยังเป็นภาษาอังกฤษอยู่ยังพอคุยกันรู้เรื่อง แต่เขากลับบอกว่าให้เราไปสาย 7 ไปลงทีมิดดิ้ง ซึ่งเป็นสถานีขนส่งของที่นั่นเพื่อไปต่อรถไฮฟองต่อเราจึงตัดสินใจไปขึ้นรถเมล์สาย 7
และนี่ก็เป็นป้ายรถเมย์ซึ่งเดินถัดจากประตูสนามบินมานิดหน่อย ซึ่งเอาจริงๆแล้วบริเวณสนามบินโดยรอบก็มีบริการเหมือนบ้านเราเลยครับ มีทั้งแท็กซี่ และรถเมย์สายต่างๆค่ารถเมย์ก็ปกติเลยครับ 8,000 ดอง ตีเป็นเงินไทยก็ ประมาณ 10-13 บาท (ปล. ที่นี่ขับซ้ายนะครับ)
ทิวทัศน์ระหว่างทางก็เป็นบ้านเรือนขนาดเล็กแต่สูงหลายๆชั้น ทาสีสันกันหลากหลาย มีการทำอาชีพเกษตรปลูกข้าว ทำไร่ต่างๆ ถนนที่เดินทางกว้างและโล่งมากเพราะการใช้รถยนต์น้อยมาก
และเมื่อนั่งชมวิวมาได้ซักพัก
อภิโถอภิถังกะละมังข้างฝา ตอนนั้นเราหารู้ไม่ว่า รถคันนี้ไปไม่ถึงมิดดิ้งนะ ถ้าพูดกันตรง ๆ เราไม่รู้เลยว่าเรากำลังขึ้นรถที่ไม่สามารถไปส่งเราที่มิดดิ้งได้ เลยต้องลงกลางทางเพื่อต่อรถอีกสาย คือ สาย 46 ครับค่ารถเมย์ก็ 8,000 ดอง เท่ากันครับ
แต่ทำไมเราถึงรู้หละว่าเราต้องต่อรถ นั่นก็เพราะเราเจอคนเวียดนามใจดี ผู้มีพระคุณคนที่ 1 กับเรานั่นก็คือ พี่เก่ง ในขณะที่เรากำลังคุยเล่นกันอยู่(เป็นภาษาไทย) พี่เก่งก็เดินเข้ามาแล้วก็สะกิดผม แล้วถามว่าน้องเป็นคนไทยเหรอ ในตอนแรกผมทั้งตกใจและดีใจมากเพราะคิดว่าเราได้เจอคนไทย เพราะสำเนียงพี่เก่งนี่ไทยจ๋าเลย เหตุที่เขาพูดได้เพราะเขาเข้ามาเรียนมหาลัยที่ไทยอยู่ 4-5 ปีเขาบอกว่าตอนเขามาเรียน คนไทยช่วยเหลือเขาอย่างดีทุกอย่าง เขาเลยอยากช่วยพวกเราที่เป็นคนไทยกลับคืนบ้าง ซึ่งสาย 46 รอรถไม่นานครับ แต่ขอแนะนำนิดนึงคือเวลาขึ้นรถเมย์ที่นี่ต้องก้าวไวครับคล้ายสาย 8 บ้านเรา
ซึ่งบอกแค่นี้เราก็ประทับใจแล้ว แต่ที่ทำให้ประทับใจไปมากกว่านั้นคือเขาลงมาแล้วพาเราไปส่งที่มิดดิ้งด้วย แต่ก็อภิโถอภิถังกะละมังข้างฝาอีกรอบ รถที่ไปไฮฟองที่เคยมี ตอนนี้มันไม่มีแล้วจ้า ในใจได้แต่ตะโกนว่า What!!!!
แต่โชคดีที่พี่เก่งมากับเราเขาพยายามหารถที่จะไปไฮฟองให้กับเราให้ได้ และความประทับใจที่มีต่อพี่เก่งยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เรามารู้ที่หลังว่าที่ ที่พี่เก่งจะไปนั้นมันคนละทางกับเราแต่แรก แถมเขายังมีธุระตอนเที่ยงต้องทำต่อแต่ตอนนั้น 11 โมง 20 นาทีพี่เขายังอยู่กับเราอยู่เลย แต่งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา สุดท้ายเราก็แยกทางกันไปทิ้งไว้แต่ contract ไว้ติดต่อกัน
และตรงนี้ก็คือป้ายรถเมย์ที่ปกติแล้วจะมีรถพาเราไปไฮฟองได้ ซึ่งไม่ไกลจากสถานีรถมิดดิ้งเท่าไหร่ เราใช้เวลานั่งรถแท็กซี่ประมาณ 10นาทีครับ และที่อยากแนะนำการนั่งแท็กซี่ที่นี่คือต้องบอกนะครับว่าต้องกดมิเตอร์ไม่งั้นโดนในราคาหนักแน่ พอเรามาถึงก็รอซักพักครับ ไม่นานมาก เพราะเป็นท่ารถที่มีรถผ่านตลอดทาง เราได้นั่งรถไปในราคา 70,000 ดองต่อคนครับ ตีเงินไทยก็ประมาณ 97-100 บาทไทย
และนี้คือภาพในรถครับ นั่งสบายๆ หลับไปได้เลย เพราะนั่งนานครับ
จากนั้นเราก็ได้นั่งรถบัสเป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จนถึงที่หมายจังหวัดไฮฟอง แต่ก่อนจะกลับที่พัก ไม่ไหวแล้วท้องร้องไม่หยุดเลย รีบลงจากรถและหาอะไรกินก่อนแล้ว ไม่น่าเชื่อหลังจากลงจากรถมาและหันซ้ายในบัดดล โอ้แม่เจ้า เจอร้านอาหาร ในใจคิดทันที มื้อนี้ฉันรอด แต่ปัญหาก็ได้มาเยือนเราอีกรอบ คนที่ไฮฟองไม่มีใครพูดอังกฤษได้เลย
What!!! เอาแล้วจะสั่งอาหารอย่างไรดี เหลือบไปเห็นแม่ครัวกำลังทำอะไรไม่รู้ รู้แค่เป็นเนื้อ เอาหวะตอนนี้เนื้ออะไรชั่งมัน เขากินได้เราก็กินได้ พวกเราเลยเปิดการ์ดไม้ตายออกมาที่หมอบไว้มานาน ชี้ไปที่อาหารอย่างมั่นใจ แล้วกลับมานั่งที่ต่อไปรอเขาเอามาให้ หลังจากรอซักพัก แล้วถ่ายรูปอาหารเสร็จ
หน้าร้านครับ ข้างท่ารถเลยและเรียกได้ว่าเป็นร้านยอดนิยมของคนขับรถกันเลยทีเดียว
และนี่คืออาหารมื้อแรกของเรา พวกเราก็ไม่รอช้ารีบเอาอาหารเข้าปากในทันใด ไม่น่าเชื่อ อร่อยมาก (อร่อยจริง ๆ ไม่ใช่เพราะหิวแน่นอน) รสชาติมันคือหมูย่างปรุงรสแล้วดี ๆ นี่เอง แต่ไม่ได้กินกับข้าว หรือข้าวเหนียวนะ เรากินกับขนมจีน และที่สำคัญคือมีผักจานโตเสริฟพร้อมกับอาหารที่เราสั่ง ซึ่งเมื่อมองไปรอบๆแล้ว ทุกโต๊ะมีผักหมด และทานกันอย่างปกติ จบมื้อแรกในเวียดนามก็ผ่านไป รอดแล้วเราซึ่งเสียหายไปในราคา 200,000 ดองเท่านั้น
จากนั้น ภารกิจต่อไปคือหาโรงแรมให้เจอ ระยะทางจากที่ร้านอาหารถึงที่พักก็ประมาณ 3 กิโลเมตร ตอนแรกว่าจะขึ้นแท็กซี่ไป แต่พอถามราคาแล้วมันแพงเกิน เราเลยเลือกที่จะเดินไป 3 กิโลเมตร ก็เหนื่อยนะ
แต่การเดินไปทำให้ผมรู้วิถีชีวิตของชาวบ้านที่นั่น คุณเคยเห็นร้านตัดผมข้างทางของแท้ไหม จะมีแค่ เก้าอี้ กระจก หวี กรรไกรตัดผม
แบตเตอเลี่ยน ตั้งอยู่บนฟุตบาทเท่านั้น ปั๊มน้ำมันเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยรถมอเตอร์ไซต์ต่อแถวกันเติมน้ำมัน
ร้านถ่ายรูปที่มีแค่ กล้อง ขาตั้งกล้อง ผ้าสีฟ้าติดอยู่กับรั้วและก็ร่มคันใหญ่อีกหนึ่งคันเท่านั้น ร้านนั่งชิมชา กาแฟข้างทาง ที่มีเก้าอี้ตัวเล็กๆ วางอยู่ ซึ่งพวกนี้ไม่ได้อยู่ในร้านแบบประเทศไทยเลย ทั้งนี้เป็นเพราะที่ดินและอาคารบ้านช่องของที่นี่นั้นแพงมาก ดังนั้นในการสร้างบ้านเรือนของเขาจะเป็นทรงแคบแต่สูง อีกทั้งการออกมาขายอาหารทั้งสด แห้ง หรือการตั้งร้านขายของตามทางเดินต่าง ๆ อันนี้ถ้าใครเคยไปตลาดบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี จะได้ความรู้สึกเดียวกันเลย
การขับขี่รถมอเตอร์ไซต์ของที่นี่ ถือว่าสกิลสูงมาก ไม่มีไฟแดง หรือถ้ามีก็ไม่รอครับ หลบเอง เลี้ยวเอง แต่ที่น่าแปลกคือ ไม่มีเสียงรถพยาบาลวิ่งผ่าน มีแต่เสียงแตร บีบกันมันเลยครับ ทั้งนั้นก็เพื่อเตือนคนเดินข้างถนนและคนขับรถว่าฉันอยู่ตรงนี้นะ อย่ามาชน และอีกอย่างที่สำคัญเลย ทุกคนที่ขี่มอเตอร์ไซต์ใส่หมวกกันน็อคครับ ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าหมวกบางๆนั่นจะกันอะไรได้บ้าง แต่อย่างน้อยก็กันตำรวจจับได้
เราก็เดินมาเรื่อย ๆ จนถึงที่พัก ซึ่งเราได้จองโฮเตลไว้ก่อนหน้าจะมาแล้วครับ ใน Agoda และเมื่อเรามาถึงก็เป็นเวลาสี่โมงแล้ว เราเลยตัดสินใจนอนพักซักแป๊บก่อนออกไปสำรวจเมืองไฮฟอง
ปล.ลืมถ่ายที่พักเอาไว้เพราะเหนื่อยมากแต่ห้องดีครั้ง เตียงนุ่ม มีแอร์ มีไวไฟบริการ
พอแค่นี้กันก่อนนะครับไว้มาต่อ เพราะมันแน่นอก ต้องยกออก เราจะพาที่ไหนบ้างในไฮฟอง ก็ต้องติดตามกันตอนต่อไปนะครับ
[CR] เที่ยวไฮฟอง - กั๊กบา - ฮานอย 4 วัน 3 คืน แบบไม่ไกด์ ไม่โกง แค่โก่งราคา
ฮานอย – ไฮฟอง – กั๊กบา – ฮานอย
คำเตือนเหมาะสำหรับผู้ที่สนใจจะไปเวียดนามแบบสายประหยัด เน้นเที่ยว เน้นกินครับผม
สนามบินดอนเมือง กรุงเทพมหานคร
ตอนนี้เป็นเวลาตีสามกว่า ได้นอนไปแค่ชั่วโมงเดียว แต่ไม่รู้สึกง่วงเลย อาจเป็นเพราะตื่นเต้นที่จะได้ไปต่างประเทศครั้งแรก เมื่อรวมตัวกันเรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางโดยเรียกแท็กซี่เพื่อออกเดินทางไปสนามบินดอนเมือง เครื่องออกเวลาประมาณ 6 โมงเช้า
วันที่ 1 ฮานอย - ไฮฟอง
เมื่อถึงเวลาเราก็ขึ้นเครื่องไป เราใช้บริการของสายการบิน AirAsia ตอนแรกโคตรดีใจได้นั่งริมหน้าต่าง ถัดจากผมไปก็เป็นเพื่อนผม ถัดจากเพื่อนผมไปก็เป็นแม่ลูกอ่อนคนหนึ่งซึ่งเขานั่งแยกกับลูกของเขาอยู่ จึงขอพวกเราเปลี่ยนที่นั่งได้ไหม เขาอยากนั่งกับลูกเพราะลูกเค้ายังเป็นเด็กเล็กอยู่ แต่คนที่พูดนั้นเป็นชาวเวียดนาม ทำเอาผมงงที่เขาพูดไปพักใหญ่เพราะเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ นั่นจึงเป็นประสบการณ์แรกที่นั่งงงในดงภาษาเวียดนาม แต่ถ้าถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าเค้าพูดแบบนั้น เพราะมีสาวสวยเวียดนามใจดีที่พูดไทยได้แปลให้ฟัง ซึ่งคนๆนั้นเป็นคนที่ผมย้ายไปนั่งด้วย ซึ่งผมก็ได้คุยกับพี่คนนั้น เขาบอกเขาเคยทำงานที่ไทยมาก่อน เขาเลยพูดภาษาไทยได้ แล้วนี่ก็มาเที่ยวกำลังจะกลับบ้าน พี่คนนี้น่ารักมาก แต่น่าเสียดาย มีลูกแล้ว เขามากับลูก แต่ผมก็มีรูปสวยๆมาฝากกันครับ
เดินทางได้ซักพักเราก็มาถึงสนามบินปลายทางที่ฮานอย เราเองก็พึ่งจะตื่นมาทำให้งง ๆ และมึนหัวอยู่ แต่เราก็ต้องรีบไปที่พักให้ได้โดยเร็วเพราะที่พักเราอยู่ไกลมาก หลังจากแลกเงิน ซื้อ sim เราเลือก 7 gb. ในราคา 200,000 ดองเพราะเราอยู่หลายวันเลยเอามาเผื่อๆ และทำธุระอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็เตรียมตัวที่จะไป ไฮฟองทันที
ตอนแรกเราวางแผนว่าจะไปรถเมล์สาย 86 เข้าตัวเมืองเพื่อไปต่อรถ แต่เพื่อความมั่นใจเราเลยไปถามพี่ทหาร (ใช่หรือเปล่าไม่แน่ใจ ชุดเหมือนทหารเลย) ภาษาที่ใช้ยังเป็นภาษาอังกฤษอยู่ยังพอคุยกันรู้เรื่อง แต่เขากลับบอกว่าให้เราไปสาย 7 ไปลงทีมิดดิ้ง ซึ่งเป็นสถานีขนส่งของที่นั่นเพื่อไปต่อรถไฮฟองต่อเราจึงตัดสินใจไปขึ้นรถเมล์สาย 7
และนี่ก็เป็นป้ายรถเมย์ซึ่งเดินถัดจากประตูสนามบินมานิดหน่อย ซึ่งเอาจริงๆแล้วบริเวณสนามบินโดยรอบก็มีบริการเหมือนบ้านเราเลยครับ มีทั้งแท็กซี่ และรถเมย์สายต่างๆค่ารถเมย์ก็ปกติเลยครับ 8,000 ดอง ตีเป็นเงินไทยก็ ประมาณ 10-13 บาท (ปล. ที่นี่ขับซ้ายนะครับ)
ทิวทัศน์ระหว่างทางก็เป็นบ้านเรือนขนาดเล็กแต่สูงหลายๆชั้น ทาสีสันกันหลากหลาย มีการทำอาชีพเกษตรปลูกข้าว ทำไร่ต่างๆ ถนนที่เดินทางกว้างและโล่งมากเพราะการใช้รถยนต์น้อยมาก
และเมื่อนั่งชมวิวมาได้ซักพัก อภิโถอภิถังกะละมังข้างฝา ตอนนั้นเราหารู้ไม่ว่า รถคันนี้ไปไม่ถึงมิดดิ้งนะ ถ้าพูดกันตรง ๆ เราไม่รู้เลยว่าเรากำลังขึ้นรถที่ไม่สามารถไปส่งเราที่มิดดิ้งได้ เลยต้องลงกลางทางเพื่อต่อรถอีกสาย คือ สาย 46 ครับค่ารถเมย์ก็ 8,000 ดอง เท่ากันครับ
แต่ทำไมเราถึงรู้หละว่าเราต้องต่อรถ นั่นก็เพราะเราเจอคนเวียดนามใจดี ผู้มีพระคุณคนที่ 1 กับเรานั่นก็คือ พี่เก่ง ในขณะที่เรากำลังคุยเล่นกันอยู่(เป็นภาษาไทย) พี่เก่งก็เดินเข้ามาแล้วก็สะกิดผม แล้วถามว่าน้องเป็นคนไทยเหรอ ในตอนแรกผมทั้งตกใจและดีใจมากเพราะคิดว่าเราได้เจอคนไทย เพราะสำเนียงพี่เก่งนี่ไทยจ๋าเลย เหตุที่เขาพูดได้เพราะเขาเข้ามาเรียนมหาลัยที่ไทยอยู่ 4-5 ปีเขาบอกว่าตอนเขามาเรียน คนไทยช่วยเหลือเขาอย่างดีทุกอย่าง เขาเลยอยากช่วยพวกเราที่เป็นคนไทยกลับคืนบ้าง ซึ่งสาย 46 รอรถไม่นานครับ แต่ขอแนะนำนิดนึงคือเวลาขึ้นรถเมย์ที่นี่ต้องก้าวไวครับคล้ายสาย 8 บ้านเรา
ซึ่งบอกแค่นี้เราก็ประทับใจแล้ว แต่ที่ทำให้ประทับใจไปมากกว่านั้นคือเขาลงมาแล้วพาเราไปส่งที่มิดดิ้งด้วย แต่ก็อภิโถอภิถังกะละมังข้างฝาอีกรอบ รถที่ไปไฮฟองที่เคยมี ตอนนี้มันไม่มีแล้วจ้า ในใจได้แต่ตะโกนว่า What!!!! แต่โชคดีที่พี่เก่งมากับเราเขาพยายามหารถที่จะไปไฮฟองให้กับเราให้ได้ และความประทับใจที่มีต่อพี่เก่งยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เรามารู้ที่หลังว่าที่ ที่พี่เก่งจะไปนั้นมันคนละทางกับเราแต่แรก แถมเขายังมีธุระตอนเที่ยงต้องทำต่อแต่ตอนนั้น 11 โมง 20 นาทีพี่เขายังอยู่กับเราอยู่เลย แต่งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา สุดท้ายเราก็แยกทางกันไปทิ้งไว้แต่ contract ไว้ติดต่อกัน
และตรงนี้ก็คือป้ายรถเมย์ที่ปกติแล้วจะมีรถพาเราไปไฮฟองได้ ซึ่งไม่ไกลจากสถานีรถมิดดิ้งเท่าไหร่ เราใช้เวลานั่งรถแท็กซี่ประมาณ 10นาทีครับ และที่อยากแนะนำการนั่งแท็กซี่ที่นี่คือต้องบอกนะครับว่าต้องกดมิเตอร์ไม่งั้นโดนในราคาหนักแน่ พอเรามาถึงก็รอซักพักครับ ไม่นานมาก เพราะเป็นท่ารถที่มีรถผ่านตลอดทาง เราได้นั่งรถไปในราคา 70,000 ดองต่อคนครับ ตีเงินไทยก็ประมาณ 97-100 บาทไทย
จากนั้นเราก็ได้นั่งรถบัสเป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จนถึงที่หมายจังหวัดไฮฟอง แต่ก่อนจะกลับที่พัก ไม่ไหวแล้วท้องร้องไม่หยุดเลย รีบลงจากรถและหาอะไรกินก่อนแล้ว ไม่น่าเชื่อหลังจากลงจากรถมาและหันซ้ายในบัดดล โอ้แม่เจ้า เจอร้านอาหาร ในใจคิดทันที มื้อนี้ฉันรอด แต่ปัญหาก็ได้มาเยือนเราอีกรอบ คนที่ไฮฟองไม่มีใครพูดอังกฤษได้เลย What!!! เอาแล้วจะสั่งอาหารอย่างไรดี เหลือบไปเห็นแม่ครัวกำลังทำอะไรไม่รู้ รู้แค่เป็นเนื้อ เอาหวะตอนนี้เนื้ออะไรชั่งมัน เขากินได้เราก็กินได้ พวกเราเลยเปิดการ์ดไม้ตายออกมาที่หมอบไว้มานาน ชี้ไปที่อาหารอย่างมั่นใจ แล้วกลับมานั่งที่ต่อไปรอเขาเอามาให้ หลังจากรอซักพัก แล้วถ่ายรูปอาหารเสร็จ
และนี่คืออาหารมื้อแรกของเรา พวกเราก็ไม่รอช้ารีบเอาอาหารเข้าปากในทันใด ไม่น่าเชื่อ อร่อยมาก (อร่อยจริง ๆ ไม่ใช่เพราะหิวแน่นอน) รสชาติมันคือหมูย่างปรุงรสแล้วดี ๆ นี่เอง แต่ไม่ได้กินกับข้าว หรือข้าวเหนียวนะ เรากินกับขนมจีน และที่สำคัญคือมีผักจานโตเสริฟพร้อมกับอาหารที่เราสั่ง ซึ่งเมื่อมองไปรอบๆแล้ว ทุกโต๊ะมีผักหมด และทานกันอย่างปกติ จบมื้อแรกในเวียดนามก็ผ่านไป รอดแล้วเราซึ่งเสียหายไปในราคา 200,000 ดองเท่านั้น
จากนั้น ภารกิจต่อไปคือหาโรงแรมให้เจอ ระยะทางจากที่ร้านอาหารถึงที่พักก็ประมาณ 3 กิโลเมตร ตอนแรกว่าจะขึ้นแท็กซี่ไป แต่พอถามราคาแล้วมันแพงเกิน เราเลยเลือกที่จะเดินไป 3 กิโลเมตร ก็เหนื่อยนะ
แต่การเดินไปทำให้ผมรู้วิถีชีวิตของชาวบ้านที่นั่น คุณเคยเห็นร้านตัดผมข้างทางของแท้ไหม จะมีแค่ เก้าอี้ กระจก หวี กรรไกรตัดผม
แบตเตอเลี่ยน ตั้งอยู่บนฟุตบาทเท่านั้น ปั๊มน้ำมันเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยรถมอเตอร์ไซต์ต่อแถวกันเติมน้ำมัน
ร้านถ่ายรูปที่มีแค่ กล้อง ขาตั้งกล้อง ผ้าสีฟ้าติดอยู่กับรั้วและก็ร่มคันใหญ่อีกหนึ่งคันเท่านั้น ร้านนั่งชิมชา กาแฟข้างทาง ที่มีเก้าอี้ตัวเล็กๆ วางอยู่ ซึ่งพวกนี้ไม่ได้อยู่ในร้านแบบประเทศไทยเลย ทั้งนี้เป็นเพราะที่ดินและอาคารบ้านช่องของที่นี่นั้นแพงมาก ดังนั้นในการสร้างบ้านเรือนของเขาจะเป็นทรงแคบแต่สูง อีกทั้งการออกมาขายอาหารทั้งสด แห้ง หรือการตั้งร้านขายของตามทางเดินต่าง ๆ อันนี้ถ้าใครเคยไปตลาดบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี จะได้ความรู้สึกเดียวกันเลย
การขับขี่รถมอเตอร์ไซต์ของที่นี่ ถือว่าสกิลสูงมาก ไม่มีไฟแดง หรือถ้ามีก็ไม่รอครับ หลบเอง เลี้ยวเอง แต่ที่น่าแปลกคือ ไม่มีเสียงรถพยาบาลวิ่งผ่าน มีแต่เสียงแตร บีบกันมันเลยครับ ทั้งนั้นก็เพื่อเตือนคนเดินข้างถนนและคนขับรถว่าฉันอยู่ตรงนี้นะ อย่ามาชน และอีกอย่างที่สำคัญเลย ทุกคนที่ขี่มอเตอร์ไซต์ใส่หมวกกันน็อคครับ ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าหมวกบางๆนั่นจะกันอะไรได้บ้าง แต่อย่างน้อยก็กันตำรวจจับได้
เราก็เดินมาเรื่อย ๆ จนถึงที่พัก ซึ่งเราได้จองโฮเตลไว้ก่อนหน้าจะมาแล้วครับ ใน Agoda และเมื่อเรามาถึงก็เป็นเวลาสี่โมงแล้ว เราเลยตัดสินใจนอนพักซักแป๊บก่อนออกไปสำรวจเมืองไฮฟอง
พอแค่นี้กันก่อนนะครับไว้มาต่อ เพราะมันแน่นอก ต้องยกออก เราจะพาที่ไหนบ้างในไฮฟอง ก็ต้องติดตามกันตอนต่อไปนะครับ