ทดลองขับนิสสันโน้ตอีพาวเวอร์ nissan note e power
คราวนี้ผมมาที่ญี่ปุ่นอีกครั้งครับ เดินทางท่องเที่ยวแถบภาคกลาง เส้นทางเต็มไปด้วยภูเขา ขับเดินทางลัดเลาะตามเส้นทางของเทือกเขาอัลไพน์ คราวนี้เลือกรถโน๊ต อีพาวเวอร์ เพราะว่าอยากลองขับระบบใหม่ และมีคนพูดถึงอีพาวเวอร์กันมากทั้งอยากรู้และสงสัยในระบบนี้ เลยเลือกเช่ารุ่นนี้ขับ
เพื่อจะได้แบ่งปันข้อมูลครับ
เหมือนเดิมครับ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างผมออกเอง ทุกอย่าง
ทุกข้อความผมจะเขียนด้วยความจริงได้สบาย
Note e power
รูปลักษณ์ภายนอกสวยงามทันสมัย โดยเฉพาะส่วนหน้า ไฟและกระจังหน้าสวยงามกลมกลืนทันสมัย กันชนส่วนบนและส่วนล่างสวยไร้ที่ติ ส่วนท้าย ผมไม่ค่อยชอบมากนัก ตามรูปประกอบครับ แต่เรื่องความสวยขึ้นกับความชอบแต่ละคน
ภายใน ดูดีในระดับราคารถ ทุกส่วนคงเอกลักษณ์ของนิสสันรุ่นเล็กๆไว้เหมือนเดิม ที่ชอบมากที่สุดคือเบาะ นั่งกระชับตัวมาก เทียบเท่าเบาะราคาแพง ทรงเบาะ วัศดุฟองน้ำดี นั่งดีนั่งแล้วขับรถสนุกตลอดทาง
ภายในส่วนอื่นๆก็เป็บแบบของนิสสัน พอใช้งานได้ แต่ที่ใช้งานไม่ถนัดคือปุ่มรวมกลมๆของระบบปรับอากาศ มองหาปุ่มและกดไม่คล่อง
กระจกส่องหลัง มีภาพแสดงได้หลากหลาย มีทั้งภาพกระจกจริง และถ้ากดปุ่มภาพจากกล้องรอบคันจะแสดงให้เห็นโดยแบ่งออกเป็นสามจอย่อยๆ ดูแล้วก็งงๆบ้าง
เบาะแถวสอง ก็ดูปรกติไม่โดดเด่น ผมไม่ได้นั่งเพราะต้องขับ แต่พื้นที่วางเท้ากว้าง
พื้นที่วางสัมภาระท้ายรถ กว้างขวางพอสมควร
ในช่องวางยางอะไหล่ แผ่นพื้นรถปั๊มเป็นหลุมกลมเพื่อใส่ยางอะไหล่ แต่ปรับเป็นที่เก็บอุปกรณ์ฉุกเฉิน ที่อุดยางรั่วและปั๊มลมแบบขนาดเล็ก รวมทั้งแบตเตอรี่ ขนาดปรกติ
ส่วนพื้นที่ของแบตเตอรี่เพื่อขับมอเตอร์ ผมไม่รู้ว่าวางจุดใหนแต่น่าจะเป็นใต้เบาะคู่หน้า เพราะพื้นที่ใต้เบาะเต็มไปด้วยวัตถุบางอย่างอยู่ใต้พรม จนไม่เหลือช่องว่าง
เรื่องทัศนวิสัยรอบคัน ดีมาก มุมมองชัดเจน ไม่มีมุมอับ
สมรรถนะ การขับขี่
ผมขับทั้งหมดระยะทาง1,000กมเศษ ใช้เวลาหกวัน
สภาพเส้นทางสี่วันแรกขึ้นเขาตลอดแต่ไม่ชันมาก มีโค้ง มีทางด่วน
สภาพเส้นทางสองวันสุดท้าย เดินทางบนถนนไฮเวย์ และถนนซอยตามชนบท
มีปุ่มโหมดการขับสามแบบ คือ
ไม่กดปุ่ม คือ สภาวะปรกติ
กดปุ่มเลือกได้อีกสองสภาวะ คือ eco ,sport
ไอ้ปุ่มนี้ละครับ มันเปลี่ยนสันดานรถไปมากพอควร ผมถึงต้องเล่าถึงจุดนี้ด้วย
ช่วงแรกขับแบบสภาวะปรกติ ไม่ได้กดอะไร
รถวิ่งด้วยอาการ เป็นพลังมอเตอร์ กดคันเร่งรถเดินหน้า จะหยุดรถ ต้องเบรค ก็เหมือนวิธีขับรถที่เราขับๆกันนี่ละครับ
ต่อมาก็ลองใช้สภาวะ eco
รถจะหน่วงอัตราเร่ง คือ จังหวะเริ่มกดคันเร่งรถจะค่อยๆเร่งตัวขึ้นมา แต่ตอนจะหยุดรถ หรือลดความเร็ว เราไม่ต้องใช้เบรคเลยครับ จะใช้เบรคก็น้อยมาก ถ้าเราควบคุมคันเร่งดีๆ เบรคทำงานน้อยมาก ผมเดาว่า คงจะเอาพลังงานเคลื่อนที่ของรถมาขับเคลื่อนไดนาโมเพื่อปั่นไฟให้ได้มากที่สุด
ในสภาวะ sport
เหมือนจะเร่งคำสั่งให้มอเตอร์ทำงานเร็วขึ้น เร่งปุ๊บมาปั๊บ แต่แรงก็เท่าเดิม แถมตอนยกคันเร่งเพื่อชะลอ ก็หน่วงความเร็วด้วยไดนาโมอีก
พยายามอธิบายได้เท่านี้ครับ ลองนึกภาพกัน
สมรรถนะมอเตอร์
ผมพยายามจะหาอะไรมาเปรียบเทียบรถพลังมอเตอร์ ก็นึกถึง รถบังคับวิทยุไฟฟ้า ผมคิดว่า พลังการขับเคลื่อนเหมือนการบังคับรถ คือ อัตราเร่งมันดีมาก มีแรงบิดให้ใช้ตลอด คิดว่าโปรแกรมที่วางไว้ คงหน่วงเวลาให้มอเตอร์ไม่ทำงานเต็มที่ตั้งแต่เริ่มเร่ง มีเวลาให้คนขับพร้อม และยางไม่สลิปมาก พอขยับตัวแล้ว อัตราเร่งก็มาตลอด และควบคุมง่ายกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายใน เพิ่มและลดความเร็วได้แม่นยำกว่า
เส้นทางขึ้นภูเขา มีผู้โดยสารและสัมภาระประมาน250กก รถขึ้นเนินขึ้นภูเขาได้สบายมาก จนบางช่วงยางจะรับแรงไม่ค่อยใหว
ก่อนขับ ผมไม่ได้ดูข้อมูลเครื่องยนต์และแรงของมอเตอร์ ผมก็ขับๆไปตามประสบการณ์ ถ้าจะเดาว่ามอเตอร์ของรถคันนี้ แรงแค่ใหน ผมประมาณว่า เหมือนเครื่องเบนซิน1.6ติดซุปเปอร์ชาร์ท แรงบิดน่าจะพอกันครับ
สิ่งที่พบใหม่ก็คือ ความเร็วสูงสุด มันเร็วแค่ 155ครับ
ใช่ครับ 155กม/ชม พยายามเปลี่ยนโหมดไปมาๆ มันก็เร็วได้แค่นั้นครับ
ต่อกันเรื่องช่วงล่างและเบรค
ช่วงล่างไม่นุ่มครับ มันไม่นุ่มจริงๆเลย พยายามเช็คลมยางแล้ว ก็พบว่า ขับยังไงก็ไม่นุ่ม จังหวะยุบ ค่อนข้างแข็ง แต่รับได้
แต่โดยรวม ช่วงล่างใช้งานได้ดี พอเหลือเฟือกับทุกช่วงความเร็ว เบรคไม่มีปัญหา ใช้งานได้ดีพอควร
เรื่องเบรค ผมก็เสียวๆอยุ่ครับ mode ecoกับ mode sport
ยกคันเร่ง รถถูกหน่วงด้วยไดนาโมจนหยุดเองได้ โดยไม่ต้องเบรค แต่บางที มันไม่หยุดครับ ก็ต้องกดเบรคด้วย
ระวังจุดนี้นะครับ
มาดูอัตราการบริโภคกันครับ
ผมขับไปพันโล ส่วนมากใช้ mode eco เพราะคาดว่าจะประหยัดมากที่สุด และmodeอื่นก็ไม่ได้แรงกว่า เพียงแต่หลอกให้เราคิดว่าแรง
จากการขับและเติมน้ำมันสองครั้ง ได้ค่าอัตราการบริโภคสองครั้ง ก็น่าใกล้เคียงความเป็นจริงมากพอควรนะครับ
ตามนี้ครับ
Test nissan note e power
ระยะทาง643กม ใช้น้ำมัน35.2ลิตร
อัตราบริโภค18.2กม/ลิตร
น้ำมันเบนซินเรกกูล่า
ช่วงนี้ขึ้นภูเขา
และบนทางด่วนวิ่งเร็ว120-140
ระยะทาง 411กม ใช้น้ำมัน20.90ลิตร
อัตราบริโภค19.66กม/ลิตร
น้ำมันเบนซินเรกกูล่า
ช่วงนี้วิ่งในเมือง
และทางด่วนความเร็ว100-120
ได้มาสองค่า เอามารวมแบบหยาบๆคือ 19กม/ลิตร ถ้ารถคันนี้ถูกใช้งานปรกติ เส้นทางในเมืองที่ไม่มีรถติดมากนัก
จะทำได้ที่ 20กม/ลิตร แน่นอนครับ
เพราะอะไร ขอไม่เล่าลึกกว่านี้ละกัน
ตัวเลขนี้คงจะมองภาพชัดเจนขึ้นนะครับ เผื่อว่ามีรถรุ่นนี้ขายในไทย จะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ถ้าผมจะลงทุนเทคโนโลยีนี้ เพื่อความประหยัดค่าน้ำมัน ผมจะไม่ลงทุน เพราะอย่าลืมว่า เทคโนโลยีกับความซับซ้อน ชิ้นส่วนก็มากขึ้น เราต้องบำรุงรักษามากด้วย
อัตราการบริโภคขนาดนี้ มีรถขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ทำได้ครับ
แต่ ถ้าเพื่อเหตุผลอื่น ที่รถคันนี้ก็มีดี ก็ตัดสินใจได้ครับ
ถ้าชอบความแรง แรงบิดดี ควบคุมสั่งการง่าย มันตอบสนองจุดนี้ได้ครับ
แต่ มันวิ่งเร็วได้แค่155นะครับ ข้อมูลทั้งหมดน่าจะเพียงพอที่จะตัดสินใจเลือกรถคันนี้ครับ
สงวนสิทธิ์ภาพและข้อความ
[CR] ทดลองขับ นิสสันโน้ตอีพาวเวอร์ nissan note e power
คราวนี้ผมมาที่ญี่ปุ่นอีกครั้งครับ เดินทางท่องเที่ยวแถบภาคกลาง เส้นทางเต็มไปด้วยภูเขา ขับเดินทางลัดเลาะตามเส้นทางของเทือกเขาอัลไพน์ คราวนี้เลือกรถโน๊ต อีพาวเวอร์ เพราะว่าอยากลองขับระบบใหม่ และมีคนพูดถึงอีพาวเวอร์กันมากทั้งอยากรู้และสงสัยในระบบนี้ เลยเลือกเช่ารุ่นนี้ขับ
เพื่อจะได้แบ่งปันข้อมูลครับ
เหมือนเดิมครับ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างผมออกเอง ทุกอย่าง
ทุกข้อความผมจะเขียนด้วยความจริงได้สบาย
Note e power
รูปลักษณ์ภายนอกสวยงามทันสมัย โดยเฉพาะส่วนหน้า ไฟและกระจังหน้าสวยงามกลมกลืนทันสมัย กันชนส่วนบนและส่วนล่างสวยไร้ที่ติ ส่วนท้าย ผมไม่ค่อยชอบมากนัก ตามรูปประกอบครับ แต่เรื่องความสวยขึ้นกับความชอบแต่ละคน
ภายใน ดูดีในระดับราคารถ ทุกส่วนคงเอกลักษณ์ของนิสสันรุ่นเล็กๆไว้เหมือนเดิม ที่ชอบมากที่สุดคือเบาะ นั่งกระชับตัวมาก เทียบเท่าเบาะราคาแพง ทรงเบาะ วัศดุฟองน้ำดี นั่งดีนั่งแล้วขับรถสนุกตลอดทาง
ภายในส่วนอื่นๆก็เป็บแบบของนิสสัน พอใช้งานได้ แต่ที่ใช้งานไม่ถนัดคือปุ่มรวมกลมๆของระบบปรับอากาศ มองหาปุ่มและกดไม่คล่อง
กระจกส่องหลัง มีภาพแสดงได้หลากหลาย มีทั้งภาพกระจกจริง และถ้ากดปุ่มภาพจากกล้องรอบคันจะแสดงให้เห็นโดยแบ่งออกเป็นสามจอย่อยๆ ดูแล้วก็งงๆบ้าง
เบาะแถวสอง ก็ดูปรกติไม่โดดเด่น ผมไม่ได้นั่งเพราะต้องขับ แต่พื้นที่วางเท้ากว้าง
พื้นที่วางสัมภาระท้ายรถ กว้างขวางพอสมควร
ในช่องวางยางอะไหล่ แผ่นพื้นรถปั๊มเป็นหลุมกลมเพื่อใส่ยางอะไหล่ แต่ปรับเป็นที่เก็บอุปกรณ์ฉุกเฉิน ที่อุดยางรั่วและปั๊มลมแบบขนาดเล็ก รวมทั้งแบตเตอรี่ ขนาดปรกติ
ส่วนพื้นที่ของแบตเตอรี่เพื่อขับมอเตอร์ ผมไม่รู้ว่าวางจุดใหนแต่น่าจะเป็นใต้เบาะคู่หน้า เพราะพื้นที่ใต้เบาะเต็มไปด้วยวัตถุบางอย่างอยู่ใต้พรม จนไม่เหลือช่องว่าง
เรื่องทัศนวิสัยรอบคัน ดีมาก มุมมองชัดเจน ไม่มีมุมอับสมรรถนะ การขับขี่
ผมขับทั้งหมดระยะทาง1,000กมเศษ ใช้เวลาหกวัน
สภาพเส้นทางสี่วันแรกขึ้นเขาตลอดแต่ไม่ชันมาก มีโค้ง มีทางด่วน
สภาพเส้นทางสองวันสุดท้าย เดินทางบนถนนไฮเวย์ และถนนซอยตามชนบท
มีปุ่มโหมดการขับสามแบบ คือ
ไม่กดปุ่ม คือ สภาวะปรกติ
กดปุ่มเลือกได้อีกสองสภาวะ คือ eco ,sport
ไอ้ปุ่มนี้ละครับ มันเปลี่ยนสันดานรถไปมากพอควร ผมถึงต้องเล่าถึงจุดนี้ด้วย
ช่วงแรกขับแบบสภาวะปรกติ ไม่ได้กดอะไร
รถวิ่งด้วยอาการ เป็นพลังมอเตอร์ กดคันเร่งรถเดินหน้า จะหยุดรถ ต้องเบรค ก็เหมือนวิธีขับรถที่เราขับๆกันนี่ละครับ
ต่อมาก็ลองใช้สภาวะ eco
รถจะหน่วงอัตราเร่ง คือ จังหวะเริ่มกดคันเร่งรถจะค่อยๆเร่งตัวขึ้นมา แต่ตอนจะหยุดรถ หรือลดความเร็ว เราไม่ต้องใช้เบรคเลยครับ จะใช้เบรคก็น้อยมาก ถ้าเราควบคุมคันเร่งดีๆ เบรคทำงานน้อยมาก ผมเดาว่า คงจะเอาพลังงานเคลื่อนที่ของรถมาขับเคลื่อนไดนาโมเพื่อปั่นไฟให้ได้มากที่สุด
ในสภาวะ sport
เหมือนจะเร่งคำสั่งให้มอเตอร์ทำงานเร็วขึ้น เร่งปุ๊บมาปั๊บ แต่แรงก็เท่าเดิม แถมตอนยกคันเร่งเพื่อชะลอ ก็หน่วงความเร็วด้วยไดนาโมอีก
พยายามอธิบายได้เท่านี้ครับ ลองนึกภาพกัน
สมรรถนะมอเตอร์
ผมพยายามจะหาอะไรมาเปรียบเทียบรถพลังมอเตอร์ ก็นึกถึง รถบังคับวิทยุไฟฟ้า ผมคิดว่า พลังการขับเคลื่อนเหมือนการบังคับรถ คือ อัตราเร่งมันดีมาก มีแรงบิดให้ใช้ตลอด คิดว่าโปรแกรมที่วางไว้ คงหน่วงเวลาให้มอเตอร์ไม่ทำงานเต็มที่ตั้งแต่เริ่มเร่ง มีเวลาให้คนขับพร้อม และยางไม่สลิปมาก พอขยับตัวแล้ว อัตราเร่งก็มาตลอด และควบคุมง่ายกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายใน เพิ่มและลดความเร็วได้แม่นยำกว่า
เส้นทางขึ้นภูเขา มีผู้โดยสารและสัมภาระประมาน250กก รถขึ้นเนินขึ้นภูเขาได้สบายมาก จนบางช่วงยางจะรับแรงไม่ค่อยใหว
ก่อนขับ ผมไม่ได้ดูข้อมูลเครื่องยนต์และแรงของมอเตอร์ ผมก็ขับๆไปตามประสบการณ์ ถ้าจะเดาว่ามอเตอร์ของรถคันนี้ แรงแค่ใหน ผมประมาณว่า เหมือนเครื่องเบนซิน1.6ติดซุปเปอร์ชาร์ท แรงบิดน่าจะพอกันครับ
สิ่งที่พบใหม่ก็คือ ความเร็วสูงสุด มันเร็วแค่ 155ครับ
ใช่ครับ 155กม/ชม พยายามเปลี่ยนโหมดไปมาๆ มันก็เร็วได้แค่นั้นครับ
ต่อกันเรื่องช่วงล่างและเบรค
ช่วงล่างไม่นุ่มครับ มันไม่นุ่มจริงๆเลย พยายามเช็คลมยางแล้ว ก็พบว่า ขับยังไงก็ไม่นุ่ม จังหวะยุบ ค่อนข้างแข็ง แต่รับได้
แต่โดยรวม ช่วงล่างใช้งานได้ดี พอเหลือเฟือกับทุกช่วงความเร็ว เบรคไม่มีปัญหา ใช้งานได้ดีพอควร
เรื่องเบรค ผมก็เสียวๆอยุ่ครับ mode ecoกับ mode sport
ยกคันเร่ง รถถูกหน่วงด้วยไดนาโมจนหยุดเองได้ โดยไม่ต้องเบรค แต่บางที มันไม่หยุดครับ ก็ต้องกดเบรคด้วย
ระวังจุดนี้นะครับ
มาดูอัตราการบริโภคกันครับ
ผมขับไปพันโล ส่วนมากใช้ mode eco เพราะคาดว่าจะประหยัดมากที่สุด และmodeอื่นก็ไม่ได้แรงกว่า เพียงแต่หลอกให้เราคิดว่าแรง
จากการขับและเติมน้ำมันสองครั้ง ได้ค่าอัตราการบริโภคสองครั้ง ก็น่าใกล้เคียงความเป็นจริงมากพอควรนะครับ
ตามนี้ครับ
Test nissan note e power
ระยะทาง643กม ใช้น้ำมัน35.2ลิตร
อัตราบริโภค18.2กม/ลิตร
น้ำมันเบนซินเรกกูล่า
ช่วงนี้ขึ้นภูเขา
และบนทางด่วนวิ่งเร็ว120-140
ระยะทาง 411กม ใช้น้ำมัน20.90ลิตร
อัตราบริโภค19.66กม/ลิตร
น้ำมันเบนซินเรกกูล่า
ช่วงนี้วิ่งในเมือง
และทางด่วนความเร็ว100-120
ได้มาสองค่า เอามารวมแบบหยาบๆคือ 19กม/ลิตร ถ้ารถคันนี้ถูกใช้งานปรกติ เส้นทางในเมืองที่ไม่มีรถติดมากนัก
จะทำได้ที่ 20กม/ลิตร แน่นอนครับ
เพราะอะไร ขอไม่เล่าลึกกว่านี้ละกัน
ตัวเลขนี้คงจะมองภาพชัดเจนขึ้นนะครับ เผื่อว่ามีรถรุ่นนี้ขายในไทย จะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ถ้าผมจะลงทุนเทคโนโลยีนี้ เพื่อความประหยัดค่าน้ำมัน ผมจะไม่ลงทุน เพราะอย่าลืมว่า เทคโนโลยีกับความซับซ้อน ชิ้นส่วนก็มากขึ้น เราต้องบำรุงรักษามากด้วย
อัตราการบริโภคขนาดนี้ มีรถขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ทำได้ครับ
แต่ ถ้าเพื่อเหตุผลอื่น ที่รถคันนี้ก็มีดี ก็ตัดสินใจได้ครับ
ถ้าชอบความแรง แรงบิดดี ควบคุมสั่งการง่าย มันตอบสนองจุดนี้ได้ครับ
แต่ มันวิ่งเร็วได้แค่155นะครับ ข้อมูลทั้งหมดน่าจะเพียงพอที่จะตัดสินใจเลือกรถคันนี้ครับ
สงวนสิทธิ์ภาพและข้อความ