เนื่องจากเจ้าของกระทู้ มีปัญหาขนรกรุงรังกวนใจ ตั้งแต่ ขา หน้า หนวด คือจุดไหนที่ขนขึ้นได้ มันก็ขึ้นแทรกผ่านผิวหนังมาทุกรูขุมขน จึงตัดสินใจไปเลเซอร์กำจัดขนให้จบๆไป รวมไปถึงการเลเซอร์กำจัดขนน้องสาว เราทำแบบ Brazilian จนเกลี้ยงเกลา ก็เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์สำหรับคนที่ต้องการหาข้อมูลค่ะ ซอรี่ที่ไม่มีภาพประกอบ Before & After นะคะ
ในระยะเวลา 3 ปี เราใช้บริการจาก 2 คลินิก
ที่แรกคือ คลิกนิกที่ขึ้นต้นด้วย ตัว S สีฟ้า ขึ้นชื่อเรื่องเลเซอร์
- เราซื้อคอร์สแบบ บุฟเฟ่ต์ ในราคา 50,000 บาท ไม่มีวันหมดอายุ และทำได้ทุกส่วนตามที่เราต้องการ แล้วเค้าจะหักเงินไปเรื่อยๆ จนครบวงเงินที่เรา ซื้อ
- การซื้อคอร์สแบบบุฟเฟ่ต์ คือราคาที่เค้าคิด จะถูกกว่าราคาปกติ สมมติว่า ทำรักแร้ ราคาปกติ 1,800 บาท ราคาบุฟเฟ่ต์ ก็จะประมาณ 900 บาท
- ที่คลินิกนี้ เราทำ รักแร้ หน้าแข้ง ขาหลัง และ น้องสาวแบบ Brazilian โดยเป็นเลเซอร์แบบ Gentle Yag
- เมื่อจัดแจงจ่ายเงินเรียบร้อย ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคลุมว่ายน้ำ ถ้าใครจะเลเซอร์ขนน้อง เค้าจะทายาชาให้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที เพื่อให้ยาชาออกฤทธิ์ แต่ถ้าใครเจ็บจนชิน ทำจนชา ไม่ต้องทายาชาก็ได้ จะได้ประหยัดเวลา
- ในส่วนบริเวณอื่นๆ เค้าจะเอาถุงเจลเย็น แบบเย็นจนปวด มาประคบให้ก่อนยิงเลเซอร์ เพื่อให้ผิวชา เวลายิงเลเซอร์จะได้ไม่เจ็บมาก หรา!!!
- ในการทำแต่ละครั้ง จะมีพนักงาน 2 คนคอยดูแล ถ้าเราทำเลเซอร์บิกินี่ สามารถรีเควสขอพนักงานคนเดิมได้ ซึ่งส่วนใหญ่ จนท.เค้าก็พยายามจัดพนักงานคนเดิมให้ เว้นแต่ว่าพนักงานคนนั้นจะไม่ว่างจริงๆ
- โดยในครั้งแรกที่เราจะยิงเลเซอร์ จะมีคุณหมอ มายิงเลเซอร์ให้เราก่อน เพื่อดูว่าผิวของเราควรใช้เลเซอร์ที่ความถี่ประมาณไหน แล้วก็จะแจ้งพนักกงาน
- ด้วยความที่เราขนหนา ดกดำ ยิงจำเป็นต้องใช้คลื่นที่มีความถี่สูงนิดนึง เพื่อผลลัพธ์ที่รวดเร็วและเห็นผล จนท.เค้าว่างั้นนะคะ
- ความรู้สึกครั้งแรกทำเลเซอร์ บอกเลยว่า เจ็บมากก เจ็บเหมือนคนเอาหนังสติ๊กมาดีดเราตลอดเวลา เจ็บจนต้องขอพัก เจ็บจนต้องกัดผ้า น้ำตาไหลพราก คือในตอนนั้นคิดในใจเลยว่า ถ้ากุไม่ได้จ่ายค่าคอร์สไปแล้ว จะไม่ทำต่ออีกแล้ว แต่ก็ทนทำจนเสร็จ
- หลังจากทำเสร็จ บริเวณผิวที่ทำก็จะ เป็นรอยจุดๆ แดงๆ ทิ้งไว้สักระยะ ก็จะหายไป
- แต่หลังจากทำ จะรู้สึกว่าผิวแห้ง ก็หมั่นทาครีม ทาโลชั่นกันไป
- ผลลัพธ์จากความเจ็บในครั้งนี้ บอกเลยว่าคุ้มมากก ทำแค่ครั้งแรกขนก็บางลงอย่างเห็นได้ชัด ผิวที่รักแร้ และขา รู้สึกเรียบเนียนขึ้น เราเลยยอมทนเจ็บไปทำทุกเดือน 5 ครั้งติดต่อกัน ขนที่ขาแทบจะไม่มีเลย ขึ้นมาเป็นหย่อมๆ นิดๆหน่อยๆ ขนที่รักแร้ก็บางลงเรื่อยๆ และขนน้องก็บางลงไปเยอะมากก หลังจากนั้นก็ 2 – 3 เดือนไปที แต่ทำแค่รักแร้พอ
แต่ด้วยความที่คอร์สจากที่แรก เหลือเงินอยู่นิดหน่อย และเราไม่อยากจะทำที่นี่ต่อแล้ว เพราะด้วยความเจ็บ และเวลาที่เงินในคอร์สเหลือน้อยๆ เซลล์ก็จะชอบมายุให้ซื้อ ให้เติมเงินเพิ่มต่อ ด้วยความที่เราพ่ายแพ้เซลล์ทุกที เลยลองไปหาคลินิกที่อื่นบ้างดีกว่า ซึ่งจากการหาข้อมูลในหลายๆที่ เราก็เลยไปที่คลินิกที่ 2
คลินิกที่ 2 ขึ้นต้นด้วยตัว I มีความหมายคล้ายๆ ในจินตนาการ
- หลังจากทิ้งระยะจากที่คลินิกแรกไปได้ 6 เดือน ขนก็เริ่มขึ้นมาเยอะแล้ว โดยเฉพาะ ขนรักแร้
- เราตัดสินใจไปที่ คลินิกนี้ จากความตั้งใจแรกจะไปซื้อแค่คอร์สกำจัดขนรักแร้ สุดท้ายก็แพ้เซลล์ เลยได้คอร์สบุฟเฟ่ต์แบบ VIP Package มาอีกเช่นเคย แต่รอบนี้ซื้อคอร์สมา 30,000 มีแถมทำโน้นนี่นั่นนิดๆหน่อยๆ โดยมีระยะเวลา 1 ปี
- ทีนี้จะมีให้เลือกแบบ Gentle Yag กับ Soprano ด้วยความที่เราบอกกับเซลล์ว่า เราไม่อยากเจ็บจากการทำเลเซอร์อีกแล้ว ทางเซลล์เลยให้เราทำเลเซอร์แบบ Soprano
- การทำเลเซอร์แบบ Soprano เค้าจะเอาเจลเย็นละเลงไปยังบริเวณที่เราจะทำเลเซอร์ จากนั้นก็ยิงเลเซอร์ผ่านเจลเย็น วนไปมา จะมีความรู้สึกอุ่นๆที่ผิว แต่ไม่รู้สึกเจ็บเหมือน Yag เลย คือทำแล้วรู้สึกแฮปปี้มาก
- ตั้งแต่ทำเลเซอร์ที่นี่ ก็ไม่เคยรู้สึกกลัวกับการทำเลเซอร์กำจัดขน ตอนนี้เลยกำจัดมันทุกตรงที่ขนขึ้น
- ความรู้สึกในขณะที่กำจัดขนน้อง ตอนยิงเลเซอร์ไม่เจ็บ แค่รู้สึกอุ่นๆ แต่รู้สึกเจ็บแบบปวดๆชาๆ ตอนโป๊ะเจลเย็น เพราะมันเย็นมากกกกกกกก แต่ถ้าเทียบกับเลเซอร์แบบ Gentle Yag แล้ว ความเจ็บนี้ช่างน้อยนิดนัก
- แต่หลังจากทำ ผิวจะแห้งมาก แห้งจนรู้สึกคันมากก ซึ่งที่นี่จะต้องซื้อครีมน้ำนมอะไรสักอย่าง ใช้ทาหลังจากทำเลเซอร์ เป็นขวดปั๊มเล็กๆ ปริมาณ 20 ml ได้มั้ง ในราคา 600 บาท แพงโคตรร
- ในกรณีที่เรากำจัดขนในจุดซ่อนเร้น อย่างขนน้อง จะมีเจ้าหน้าที่ดูแลเราคนเดียว เพื่อความเป็นส่วนตัว แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ที่ทำไม่อยู่ เค้าก็จะแจ้งล่วงหน้า ถ้าไม่สะดวกทำกับคนอื่นก็แล้วแต่เราได้เลย
สรุปข้อดี – ข้อเสียระหว่างการทำเลเซอร์ Gentle Yag กับ Soprano
Gentle Yag
- ตอนทำเจ็บมาก ฟีลเหมือนโดนหนังสติ๊กดีดรัวๆ แต่ขึ้นอยู่กับสภาพเส้นขนด้วย ยิ่งขนหนาก็ยิ่งเจ็บ เพราะหลังจากที่เราทำไปได้ 3 – 4 ครั้ง ก็รู้สึกเจ็บน้อยลง เพราะขนบางลง
- หลังจากทำเลเซอร์เสร็จแล้ว มีรอยแดงเป็นจุดๆ ชัดกว่าเลเซอร์แบบ Soprano แต่ไม่ได้รู้สึกว่าผิวแห้งมาก
- ผลลัพธ์ที่ได้เห็นผลเร็ว คือทำแค่ครั้งแรกก็รู้สึกว่าขนขึ้นน้อยลงและบางลง
Soprano
- ตอนยิงเลเซอร์ไม่เจ็บ แค่รู้สึกอุ่นๆ มีเจ็บจี๊ดๆ บ้างบางช่วงที่ขนเยอะๆ แต่ไม่ทรมานเท่ากับ Gentle Yag
- หลังจากทำ รู้สึกผิวแห้งมาก รู้สึกคันยุบยิบตามผิวอยู่ประมาณ 2 – 3 วัน ต้องชโลมด้วยโลชั่นเข้มข้นตลอดเวลา
- เห็นผลช้ากว่าแบบ Gentle Yag นิดหน่อย ประมาณว่า ถ้าเราทำ Gentle Yag 5 ครั้ง อาจต้องทำ Soprano ประมาณ 7 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน
สรุปโดยรวมคือ ถ้าใครอยากได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและไม่กลัวเจ็บ ก็ไปทำแบบ Gentle Yag ได้เลย แต่ถ้าใครไม่อยากทรมานกับการกำจัดขน ก็ไปเลือกเลเซอร์แบบ Soprano เพราะ เลเซอร์ทั้ง 2 แบบ ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจเหมือนกัน คือ สามารถกำจัดขนให้หมดไป ใช้ชีวิตสะดวก สบาย ไม่ต้องกังวลว่าขนจะเล็ดลอดออกมาสร้างความน่ารำคาญให้เราอีกต่อไป
ซึ่งข้อสรุปทั้งหมดทั้งมวลนี้ เราสรุปจากความรู้สึกและประสบการณ์ส่วนตัว ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับเลเซอร์ทั้ง 2 แบบอย่างลึกซึ้งอะไรมากมาย หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังหาข้อมูล เกี่ยวกับเลเซอร์กำจัดขนนะคะ
---------- ชีวิตดี ไม่มีขนกันทุกคนค่ะ -------------
กำจัดขนด้วยเลเซอร์ ชีวิตดีเว่อร์จริงๆ
ในระยะเวลา 3 ปี เราใช้บริการจาก 2 คลินิก
ที่แรกคือ คลิกนิกที่ขึ้นต้นด้วย ตัว S สีฟ้า ขึ้นชื่อเรื่องเลเซอร์
- เราซื้อคอร์สแบบ บุฟเฟ่ต์ ในราคา 50,000 บาท ไม่มีวันหมดอายุ และทำได้ทุกส่วนตามที่เราต้องการ แล้วเค้าจะหักเงินไปเรื่อยๆ จนครบวงเงินที่เรา ซื้อ
- การซื้อคอร์สแบบบุฟเฟ่ต์ คือราคาที่เค้าคิด จะถูกกว่าราคาปกติ สมมติว่า ทำรักแร้ ราคาปกติ 1,800 บาท ราคาบุฟเฟ่ต์ ก็จะประมาณ 900 บาท
- ที่คลินิกนี้ เราทำ รักแร้ หน้าแข้ง ขาหลัง และ น้องสาวแบบ Brazilian โดยเป็นเลเซอร์แบบ Gentle Yag
- เมื่อจัดแจงจ่ายเงินเรียบร้อย ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคลุมว่ายน้ำ ถ้าใครจะเลเซอร์ขนน้อง เค้าจะทายาชาให้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที เพื่อให้ยาชาออกฤทธิ์ แต่ถ้าใครเจ็บจนชิน ทำจนชา ไม่ต้องทายาชาก็ได้ จะได้ประหยัดเวลา
- ในส่วนบริเวณอื่นๆ เค้าจะเอาถุงเจลเย็น แบบเย็นจนปวด มาประคบให้ก่อนยิงเลเซอร์ เพื่อให้ผิวชา เวลายิงเลเซอร์จะได้ไม่เจ็บมาก หรา!!!
- ในการทำแต่ละครั้ง จะมีพนักงาน 2 คนคอยดูแล ถ้าเราทำเลเซอร์บิกินี่ สามารถรีเควสขอพนักงานคนเดิมได้ ซึ่งส่วนใหญ่ จนท.เค้าก็พยายามจัดพนักงานคนเดิมให้ เว้นแต่ว่าพนักงานคนนั้นจะไม่ว่างจริงๆ
- โดยในครั้งแรกที่เราจะยิงเลเซอร์ จะมีคุณหมอ มายิงเลเซอร์ให้เราก่อน เพื่อดูว่าผิวของเราควรใช้เลเซอร์ที่ความถี่ประมาณไหน แล้วก็จะแจ้งพนักกงาน
- ด้วยความที่เราขนหนา ดกดำ ยิงจำเป็นต้องใช้คลื่นที่มีความถี่สูงนิดนึง เพื่อผลลัพธ์ที่รวดเร็วและเห็นผล จนท.เค้าว่างั้นนะคะ
- ความรู้สึกครั้งแรกทำเลเซอร์ บอกเลยว่า เจ็บมากก เจ็บเหมือนคนเอาหนังสติ๊กมาดีดเราตลอดเวลา เจ็บจนต้องขอพัก เจ็บจนต้องกัดผ้า น้ำตาไหลพราก คือในตอนนั้นคิดในใจเลยว่า ถ้ากุไม่ได้จ่ายค่าคอร์สไปแล้ว จะไม่ทำต่ออีกแล้ว แต่ก็ทนทำจนเสร็จ
- หลังจากทำเสร็จ บริเวณผิวที่ทำก็จะ เป็นรอยจุดๆ แดงๆ ทิ้งไว้สักระยะ ก็จะหายไป
- แต่หลังจากทำ จะรู้สึกว่าผิวแห้ง ก็หมั่นทาครีม ทาโลชั่นกันไป
- ผลลัพธ์จากความเจ็บในครั้งนี้ บอกเลยว่าคุ้มมากก ทำแค่ครั้งแรกขนก็บางลงอย่างเห็นได้ชัด ผิวที่รักแร้ และขา รู้สึกเรียบเนียนขึ้น เราเลยยอมทนเจ็บไปทำทุกเดือน 5 ครั้งติดต่อกัน ขนที่ขาแทบจะไม่มีเลย ขึ้นมาเป็นหย่อมๆ นิดๆหน่อยๆ ขนที่รักแร้ก็บางลงเรื่อยๆ และขนน้องก็บางลงไปเยอะมากก หลังจากนั้นก็ 2 – 3 เดือนไปที แต่ทำแค่รักแร้พอ
คลินิกที่ 2 ขึ้นต้นด้วยตัว I มีความหมายคล้ายๆ ในจินตนาการ
- หลังจากทิ้งระยะจากที่คลินิกแรกไปได้ 6 เดือน ขนก็เริ่มขึ้นมาเยอะแล้ว โดยเฉพาะ ขนรักแร้
- เราตัดสินใจไปที่ คลินิกนี้ จากความตั้งใจแรกจะไปซื้อแค่คอร์สกำจัดขนรักแร้ สุดท้ายก็แพ้เซลล์ เลยได้คอร์สบุฟเฟ่ต์แบบ VIP Package มาอีกเช่นเคย แต่รอบนี้ซื้อคอร์สมา 30,000 มีแถมทำโน้นนี่นั่นนิดๆหน่อยๆ โดยมีระยะเวลา 1 ปี
- ทีนี้จะมีให้เลือกแบบ Gentle Yag กับ Soprano ด้วยความที่เราบอกกับเซลล์ว่า เราไม่อยากเจ็บจากการทำเลเซอร์อีกแล้ว ทางเซลล์เลยให้เราทำเลเซอร์แบบ Soprano
- การทำเลเซอร์แบบ Soprano เค้าจะเอาเจลเย็นละเลงไปยังบริเวณที่เราจะทำเลเซอร์ จากนั้นก็ยิงเลเซอร์ผ่านเจลเย็น วนไปมา จะมีความรู้สึกอุ่นๆที่ผิว แต่ไม่รู้สึกเจ็บเหมือน Yag เลย คือทำแล้วรู้สึกแฮปปี้มาก
- ตั้งแต่ทำเลเซอร์ที่นี่ ก็ไม่เคยรู้สึกกลัวกับการทำเลเซอร์กำจัดขน ตอนนี้เลยกำจัดมันทุกตรงที่ขนขึ้น
- ความรู้สึกในขณะที่กำจัดขนน้อง ตอนยิงเลเซอร์ไม่เจ็บ แค่รู้สึกอุ่นๆ แต่รู้สึกเจ็บแบบปวดๆชาๆ ตอนโป๊ะเจลเย็น เพราะมันเย็นมากกกกกกกก แต่ถ้าเทียบกับเลเซอร์แบบ Gentle Yag แล้ว ความเจ็บนี้ช่างน้อยนิดนัก
- แต่หลังจากทำ ผิวจะแห้งมาก แห้งจนรู้สึกคันมากก ซึ่งที่นี่จะต้องซื้อครีมน้ำนมอะไรสักอย่าง ใช้ทาหลังจากทำเลเซอร์ เป็นขวดปั๊มเล็กๆ ปริมาณ 20 ml ได้มั้ง ในราคา 600 บาท แพงโคตรร
- ในกรณีที่เรากำจัดขนในจุดซ่อนเร้น อย่างขนน้อง จะมีเจ้าหน้าที่ดูแลเราคนเดียว เพื่อความเป็นส่วนตัว แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ที่ทำไม่อยู่ เค้าก็จะแจ้งล่วงหน้า ถ้าไม่สะดวกทำกับคนอื่นก็แล้วแต่เราได้เลย
สรุปข้อดี – ข้อเสียระหว่างการทำเลเซอร์ Gentle Yag กับ Soprano
Gentle Yag
- ตอนทำเจ็บมาก ฟีลเหมือนโดนหนังสติ๊กดีดรัวๆ แต่ขึ้นอยู่กับสภาพเส้นขนด้วย ยิ่งขนหนาก็ยิ่งเจ็บ เพราะหลังจากที่เราทำไปได้ 3 – 4 ครั้ง ก็รู้สึกเจ็บน้อยลง เพราะขนบางลง
- หลังจากทำเลเซอร์เสร็จแล้ว มีรอยแดงเป็นจุดๆ ชัดกว่าเลเซอร์แบบ Soprano แต่ไม่ได้รู้สึกว่าผิวแห้งมาก
- ผลลัพธ์ที่ได้เห็นผลเร็ว คือทำแค่ครั้งแรกก็รู้สึกว่าขนขึ้นน้อยลงและบางลง
Soprano
- ตอนยิงเลเซอร์ไม่เจ็บ แค่รู้สึกอุ่นๆ มีเจ็บจี๊ดๆ บ้างบางช่วงที่ขนเยอะๆ แต่ไม่ทรมานเท่ากับ Gentle Yag
- หลังจากทำ รู้สึกผิวแห้งมาก รู้สึกคันยุบยิบตามผิวอยู่ประมาณ 2 – 3 วัน ต้องชโลมด้วยโลชั่นเข้มข้นตลอดเวลา
- เห็นผลช้ากว่าแบบ Gentle Yag นิดหน่อย ประมาณว่า ถ้าเราทำ Gentle Yag 5 ครั้ง อาจต้องทำ Soprano ประมาณ 7 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน
สรุปโดยรวมคือ ถ้าใครอยากได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและไม่กลัวเจ็บ ก็ไปทำแบบ Gentle Yag ได้เลย แต่ถ้าใครไม่อยากทรมานกับการกำจัดขน ก็ไปเลือกเลเซอร์แบบ Soprano เพราะ เลเซอร์ทั้ง 2 แบบ ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจเหมือนกัน คือ สามารถกำจัดขนให้หมดไป ใช้ชีวิตสะดวก สบาย ไม่ต้องกังวลว่าขนจะเล็ดลอดออกมาสร้างความน่ารำคาญให้เราอีกต่อไป
ซึ่งข้อสรุปทั้งหมดทั้งมวลนี้ เราสรุปจากความรู้สึกและประสบการณ์ส่วนตัว ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับเลเซอร์ทั้ง 2 แบบอย่างลึกซึ้งอะไรมากมาย หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังหาข้อมูล เกี่ยวกับเลเซอร์กำจัดขนนะคะ