ขอเกริ่นก่อนน่ะค่ะ ศาสนาพ่อแม่ คือพุทธ ก็เลยพุทธมาตลอด ตั้งแต่โตมา ก็เข้าวัด ปกติเหมือนชาวพุธทั่วไป ตอนเรียนหนังสือ ช่วงมัธยมต้น ก็มีบังคับสอบนักธรรม ตรี โท เอก ช่วงนั้น ก็ได้มีโอกาศเรียนรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา มากขึ้น เรื่องประวัติของพระพุทธเจ้านี่รู้แทบจะละเอียดหมด การประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน คำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงสอนแต่ละอย่างคือมันใช่เลย มันตรงกับชีวิตประจำวันของมนุษย์โลกมากเลย พอเริ่มเรียน ก็
ยิ่งน่าสนใจ จนเราสมารถสอบนักธรรมจนจบชั้นเอกเลย ถ้าจะให้สูงกว่านี้ คือ ต้องบวชแล้วแหละถึงจะได้ลึกซึ้งกว่านี้แต่ไม่ขนาดนั้นไง เพราะเรายังป็นมนุษโลกทั่วไป ที่ยังมีความรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ ประเด็นมันอยู่ตรงนี้แหละ คือรู้มากเกินไปรึเปล่าไม่รู้ เลยรู้สึกว่า สิ่งที่รู้มาจากการศึกษาพระธรรมวินัย กับสิ่งที่เห็นในปัจจุบันมันขัดแย้งกัน คืออย่างเช่น ไปไหว้พระทำบุญตามวัดต่างๆ พระสงฆ์ก็จะชอบมาพูดให้คนที่มาบำบุญบริจาคเงินเยอะๆ บอกทำเยอะได้เยอะ ทำน้อยได้น้อย น่ะโยมน่ะ ทำตามกำลังศรัทธา ซึ้งไอเงินที่เราไปบริจาคตามวัดเยอะๆเป็นล้านๆกันเนี้ยมันสามารถช่วยเหลือ พวกสถานสงเคราะเด็กกำพร้า คนพิการได้มากเลยทีเดียว ซึ้งพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เราเลยว่าบริจาคเยอะได้บุญเยอะ มีแต่จะสอนให้เราตั้งมั่นอยู่ในศีล อีกอย่างพระพุทธเจ้า ก็เคยบอกก่อนจะปรินิพพานว่า ให้ยึดถือคำสอนของพระองค์ อย่ายึดถือที่ตัวของรพะองค์ พิธีกรรมต่างที่ปฎิบัติกันเป้นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น แต่สิ่งที่แท้จริงคือคำสอน
แต่ปัจจุบันคนก็ยังยึดถือพิธีกรรม มากกว่าคำสอน อยู่ดี ตอนเช้าตักบาตรทุกวัน แต่ตกบ่ายมาเข้าบ่อน เล่นไพ่ เย็นนั่งนินทาคนข้างบ้าน ไปวัดนั่งฟังธรรม ยังไม่วายนั่งนินทากัน เห็นแล้วเพลีย......พักหลังมาเนี้ยเราเลยห่างๆจากการเข้าวัด เพราะรู้สสึกว่าเข้าวัดไปก็ไม่ได้บุญเท่าไหร่ สวดมนไปก็เท่านั้นถ้าจิตใจไม่สงบ สู้เราเอาเงินที่ได้ ไปซื้อไก่ย่างให้หมาวัดหรือหมาข้างทางกินดีกว่า เราไม่รู้หรอกว่ามันได้บุญหรือเปล่า รู้แต่ว่า หมามันอิ่ม อ่ะ และทำให้มันรอดตายไปได้ อีก 1 วันอ่ะ ตอนนี้เราเลยเลิกที่จะไปทำบุญตามวัดใหญ่ๆ แล้ว วันพระ อะไรเราก็ไม่ไป งานพิธีอะไรที่จะต้องมีพระมาสวด เราไปร่วมงานน่ะ แต่ว่าไม่ยกมือไหว้ เราจะเดินหนี้มาอยู่ข้างหลัง งาน หรือไม่ก้นั่งเงียบๆเฉยๆ เอา ยิ่งซองกระถินผ้าป่า นี่ไม่รับเลยจร้า บอกเลยว่าไม่ใส่ ใส่ไปก็ไม่ได้หรอกบุญอ่ะจิตผู้ให้ไม่บริสุทธ์ คนส่วนใหญ่ก็หาว่าเราบ้า บาป เอออ เว้ย ทำบุญก็ต้องบังคับกันด้วย แล้วช่วงหลังมาเนี้ย ก็มีคนที่เรานับถือเค้ามากๆ มาชวนไปศึกษาเกี่ยวกับศาสนาคริต เราก็ลองเข้าไปศึกษาดูน่ะ แต่ก็ยังมีคำถามหลายอย่างอยู่ แต่เราจะไม่เปรียบเที่ยบน่ะว่าศาสนาไหนดีกว่าเพราะทุกศาสนา ย่อมสอนให้คนเป็นเป็นดี เราก็ขออยู่เหมือนคนไม่มีศาสนาแบบนี้แหละ สบายใจสุดหล่ะ
ไอที่เล่ามาทั้งหมดเนี้ย ก้แค่อยากจะบอกว่ามันยังมีคนแบบเราอยู่ไหม แค่นั้น
คนไม่มีศาสนา
ยิ่งน่าสนใจ จนเราสมารถสอบนักธรรมจนจบชั้นเอกเลย ถ้าจะให้สูงกว่านี้ คือ ต้องบวชแล้วแหละถึงจะได้ลึกซึ้งกว่านี้แต่ไม่ขนาดนั้นไง เพราะเรายังป็นมนุษโลกทั่วไป ที่ยังมีความรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ ประเด็นมันอยู่ตรงนี้แหละ คือรู้มากเกินไปรึเปล่าไม่รู้ เลยรู้สึกว่า สิ่งที่รู้มาจากการศึกษาพระธรรมวินัย กับสิ่งที่เห็นในปัจจุบันมันขัดแย้งกัน คืออย่างเช่น ไปไหว้พระทำบุญตามวัดต่างๆ พระสงฆ์ก็จะชอบมาพูดให้คนที่มาบำบุญบริจาคเงินเยอะๆ บอกทำเยอะได้เยอะ ทำน้อยได้น้อย น่ะโยมน่ะ ทำตามกำลังศรัทธา ซึ้งไอเงินที่เราไปบริจาคตามวัดเยอะๆเป็นล้านๆกันเนี้ยมันสามารถช่วยเหลือ พวกสถานสงเคราะเด็กกำพร้า คนพิการได้มากเลยทีเดียว ซึ้งพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เราเลยว่าบริจาคเยอะได้บุญเยอะ มีแต่จะสอนให้เราตั้งมั่นอยู่ในศีล อีกอย่างพระพุทธเจ้า ก็เคยบอกก่อนจะปรินิพพานว่า ให้ยึดถือคำสอนของพระองค์ อย่ายึดถือที่ตัวของรพะองค์ พิธีกรรมต่างที่ปฎิบัติกันเป้นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น แต่สิ่งที่แท้จริงคือคำสอน
แต่ปัจจุบันคนก็ยังยึดถือพิธีกรรม มากกว่าคำสอน อยู่ดี ตอนเช้าตักบาตรทุกวัน แต่ตกบ่ายมาเข้าบ่อน เล่นไพ่ เย็นนั่งนินทาคนข้างบ้าน ไปวัดนั่งฟังธรรม ยังไม่วายนั่งนินทากัน เห็นแล้วเพลีย......พักหลังมาเนี้ยเราเลยห่างๆจากการเข้าวัด เพราะรู้สสึกว่าเข้าวัดไปก็ไม่ได้บุญเท่าไหร่ สวดมนไปก็เท่านั้นถ้าจิตใจไม่สงบ สู้เราเอาเงินที่ได้ ไปซื้อไก่ย่างให้หมาวัดหรือหมาข้างทางกินดีกว่า เราไม่รู้หรอกว่ามันได้บุญหรือเปล่า รู้แต่ว่า หมามันอิ่ม อ่ะ และทำให้มันรอดตายไปได้ อีก 1 วันอ่ะ ตอนนี้เราเลยเลิกที่จะไปทำบุญตามวัดใหญ่ๆ แล้ว วันพระ อะไรเราก็ไม่ไป งานพิธีอะไรที่จะต้องมีพระมาสวด เราไปร่วมงานน่ะ แต่ว่าไม่ยกมือไหว้ เราจะเดินหนี้มาอยู่ข้างหลัง งาน หรือไม่ก้นั่งเงียบๆเฉยๆ เอา ยิ่งซองกระถินผ้าป่า นี่ไม่รับเลยจร้า บอกเลยว่าไม่ใส่ ใส่ไปก็ไม่ได้หรอกบุญอ่ะจิตผู้ให้ไม่บริสุทธ์ คนส่วนใหญ่ก็หาว่าเราบ้า บาป เอออ เว้ย ทำบุญก็ต้องบังคับกันด้วย แล้วช่วงหลังมาเนี้ย ก็มีคนที่เรานับถือเค้ามากๆ มาชวนไปศึกษาเกี่ยวกับศาสนาคริต เราก็ลองเข้าไปศึกษาดูน่ะ แต่ก็ยังมีคำถามหลายอย่างอยู่ แต่เราจะไม่เปรียบเที่ยบน่ะว่าศาสนาไหนดีกว่าเพราะทุกศาสนา ย่อมสอนให้คนเป็นเป็นดี เราก็ขออยู่เหมือนคนไม่มีศาสนาแบบนี้แหละ สบายใจสุดหล่ะ
ไอที่เล่ามาทั้งหมดเนี้ย ก้แค่อยากจะบอกว่ามันยังมีคนแบบเราอยู่ไหม แค่นั้น