รีวิวเรื่องที่ 8/100
เนื่องด้วยพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ ฉากและภาพที่ออกแบบสร้างสรรค์มาได้สวยดังภาพเขียน และเหนือกว่าสิ่งอื่นใดคือนางเอกที่ชื่อว่าKirsten Dunst เหตุผลข้างต้นดังกล่าวทำให้หลังจากที่ได้ดูtrailerตัวเต็มของหนังUpside Down ผมจึงบอกกับตัวเองว่าเรื่องนี้ต้องไปดูในโรงให้ได้ครับ สำหรับผมKirsten Dunstถือว่าเป็นนางเอกอันดับต้นๆในดวงใจครับ หลังจากเห็นเธอตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กน้อยในเรื่อง Interview with the vampireและตอนเป็นวัยรุ่นใน Bring it on จนกระทั่งได้เป็นหวานใจของไอ้แมงมุมSpiderman ผมคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์และแรงดึงดูดสูงครับและด้วยความที่ชอบสาวมีเขี้ยวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย(นอกเรื่องไปไกล) กลับมาเข้าเรื่องครับUpside Downเป็นหนังรักของหนุ่มสาวธรรมดาคู่หนึ่งที่อยู่ในโลกที่ไม่ธรรมดาครับ ซึ่งโลกของพวกเขาช่างแหวกกฎฟิสิกส์ทั้งปวงในโลกความเป็นจริง แต่ด้วยความที่เป็นหนังFantasy Romantic Sci-fi ที่ไม่ได้เน้นเรื่องความสมจริงของหลักเหตุและผลสักเท่าไหร่นัก เลยเป็นเรื่องยอมรับได้ถ้าหนังจะสร้างโลกอีกโลกที่ไม่มีทางมีอยู่จริงขึ้นมาครับ
เรื่องมีอยู่ว่าAdamชายหนุ่มผู้มีความรักสมัยเด็กกับEdenสาวน้อยจากโลกคู่ขนาน(เรื่องนี้โลกสองโลกขนานกันของจริงนะครับไม่ใช่มิติคู่ขนาน ซึ่งโลกสองดวงนี้ชิดกันมากจนสามารถมองเห็นกันได้ด้วยตาเปล่าครับ) โดยในเรื่องนี้ว่าด้วยกฎสามข้อ หนึ่งสิ่งมีชีวิตและวัตถุของโลกสองโลกนั้นจะโดนดึงดูดด้วยแรงโน้มถ่วงบนโลกของตนเท่านั้น สองวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตจะไร้น้ำหนักเมื่ออยู่ในโลกที่ไม่ใช่ของตน สามถ้ามีการสัมผัสวัตถุต่างโลกเป็นระยะเวลาหนึ่งจะทำให้วัตถุนั้นๆเกิดการเผาใหม่ พูดง่ายๆคือAdamไม่สามารถอยู่บนโลกของอีฟและอีฟไม่สามารถอยู่บนโลกของAdamได้เช่นกันการติดต่อกับโลกอีกโลกที่ไม่ใช่โลกของตนจึงเป็นเรื่องต้องห้าม ซึ่งตอนเด็กๆพวกเขาพบกันที่ยอดเขาสูงแห่งหนึ่งที่ซึ่งเป็นเขตหวงห้ามเพราะเป็นจุดที่ทำให้โลกของเขาทั้งสองใกล้กันโดยชนิดที่ว่าสามารถสัมผัสกันได้ เมื่อคนของรัฐบาลพบว่าทั้งสองเข้ามาในเขตหวงห้ามจึงโดนตามจับกุมEdenได้เกิดอุบัติเหตุตกจากยอดเขา ส่วนAdamก็โดนพลากจากป้าBecky ผู้เลี้ยงดูเขา เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปประมาณ10ปี วันหนึ่งAdamได้รู้ว่าEdenยังไม่ตายและทำงานอยู่ในบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ชื่อว่าTransworld โดยTransworldนั้นเป็นบริษัทที่มีอาคารสำนักงานที่เชื่อมต่อทั้งสองโลกคือบริษัทนี้มีการจัดจ้างทั้งคนจากโลกDown Below(โลกของAdam)และโลกUp Top(โลกของEden) โดยไม่รอช้าAdamตัดสินใจสมัครงานที่นั้นเพื่อหวังว่าจะได้เจอEdenอีกครั้ง โดยAdamสมัครงานในฐานะนักวิจัยเนื่องด้วยAdamมีสูตรครีมต้านแรงโน้มถ่วงซึ่งเป็นสูตรของป้าBeckyนั้นเอง Adamได้มีโอกาสเจอEdenอีกครั้งหลังจากใช้ความพยายามอย่างหนัก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แต่Edenดันสูญเสียความทรงจำเพราะการกระแทกในเหตุการณ์ตกเขานั้นเอง จริงๆผมค่อนข้างเบื่อมุขความจำหายของหนังรักนะครับ แค่พระเอกเจอนางเอกก็ลำบากพออยู่แล้วนี่ดันซวยซ้ำซ้อนเข้าไปอีก Adamจะทำอย่างไรเพื่อความรักของพวกเขาและทำอย่างไรเพื่อให้ใช้ชีวิตกับEdenผู้ซึ่งมาจากอีกโลกได้ พวกเขาจะสามารถใช้ความรักที่มีเอาชนะกฎแรงโน้มถ่วงของทั้งสองโลกได้หรือไม่ อันนี้ต้องไปลองดูกันเองครับ
รีวิวตัวละคร
Adam (Jim Sturgess) ผมค่อนข้างลำคาญกับทรงผมของAdamอย่างบอกไม่ถูกครับ เพราะพระเอกคนนี้จริงถ้าทำผมทรงอื่นจะหล่อดูดีกว่านี้มากแต่คงเป็นความตั้งใจที่ต้องการให้ตัวละครนี้ดูเป็นคนง่ายๆติดดินไม่แต่งตัวมากจนเกินไปมั้งครับ Jim Sturgess แสดงออกมาได้โอเคนะครับในซีนปกติที่ไม่มี Eden แต่พอเป็นซีนที่มีEdenผมกลับคิดว่าบทพูดของเขาในหนังกลับไม่มีimpactและไม่ทำให้เราอินไปกับAdamมากสักเท่าไหร่นัก
Eden (Kirsten Dunst) ยังคงแสดงออกมาได้มีเสน่ห์ยิ้มโลกละลายเหมือนเดิมครับ (ความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆอย่าถือสานะครับ) เสียดายที่บทพูดค่อนข้างน้อยและไม่ส่งให้เธอได้เฉิดฉายมากเท่าที่ควรเพราะหนังไปโฟกัสที่Adamซะมากกว่า จึงไม่ได้เห็นการแสดงเป็นชิ้นเป็นอันมากเท่าไหร่ควรจะเป็นครับ
Bob Boruchowitz (Timothy Spall) เป็นบทที่แย่งซีนของเรื่องครับ เนื่องจากเป็นเพื่อนคนเดียวของพระเอกที่ Transworld และเป็นคนที่คอยเปิดช่องช่วยเหลือเพื่อให้รักของเขาและเธอสมหวัง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนท้ายเรื่องเป็นKeyหลักของเรื่องเลยทีเดียวครับ
Albert (Blu Mankuma) อดีตเจ้านายและเป็นคนที่คอยดูแลAdamเหมือนเป็นลูกคนหนึ่งหลังจากที่โดนพรากจากป้าBeckyตั้งแต่เด็กครับ เป็นตัวละครที่แสดงออกมาได้ดีและทำให้เราเห็นถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่มีต่อAdamครับ กลัวว่าAdamจะมีอันตรายและขณะที่Adamคิดถึงแต่Edenโดยไม่ได้ห่วงถึงความปลอดภัยของตัวเอง
ช่วงต้นเรื่องหนังสามารถทำให้คนดูตื่นตาตื่นใจกับโลกสองโลกนี้ได้ดีครับ เนื่องด้วยCGIที่ทำออกมาได้ดีโทนสีที่ใช้ในหนังที่สวยเหมือนดังภาพวาดชวนฝันและการเปรียบเทียบสองโลกเสมือนสองชนชั้นคือโลกDown Belowเป็นโลกคนจน ส่วนโลกUp Top เป็นโลกของคนมั่งมีครับซึ่งประเด็นตรงนี้หนังเกริ่นมาตอนช่วงแรกแต่ดันหายไปและไม่ได้เน้นอีกเลยครับ พูดง่ายๆคือเป็นประเด็นที่ไปไม่สุดครับ ช่วงกลางเรื่องหนังยังทำได้ดีได้ลุ้นกับความพยายามของAdamในการฝ่าฟันกฏแรงโน้มถ่วงและลุ้นว่าเจอกับนางเอกแล้วจะเป็นอย่างไหร่ ต้องยอมรับครับว่าหนังทำได้สนุกพอตัวเลยแต่ความสนุกนั้นกลับ Dropลงไปอย่างชัดเจนในช่วงค่อนท้ายของเรื่องและในตอนจบที่ผมต้องบอกว่าไม่รู้ว่างบหมดหรือว่าอะไรนะครับ เล่นเร่งตอนจบมากจนเกินไปทำให้จังหวะของหนังรวนเหมือนต้องการบอกบทสรุปเอาดื้อๆ โดยส่วนตัวค่อนข้างผิดหวังกับช่วงท้ายพอสมควรครับแต่ยังถือว่าเป็นหนังให้ความบันเทิงได้ดีในระดับหนึ่งในแง่ของความเป็น Sci Fi, Fantasy แต่ในแง่ของความเป็นหนัง Romanticกลับทำได้ไม่ดีพอครับขาดบทพูดที่ซึ้งกินใจเพราะในหนังซีนที่พระนางอยู่ด้วยกันนั้นมีน้อยมากแทบจะนับครั้งได้ ดังนั้นควรจะทำบทพูดที่สร้างmomentที่น่าจดจำหรือเน้นให้ความสำคัญกับช่วงเวลาของAdamกับEdenที่มีอยู่น้อยนิดนั้นให้มากกว่านี้ครับ เพราะจริงๆแก่นควรเป็นหนังรักที่มีSci-fi, Fantasyเป็นส่วนประกอบไม่ใช่หนัง Sci-fi ที่มีเรื่องรักเป็นสีสันเท่านั้นครับ ถ้าหนังเพิ่มความยาวอาจจะใส่รายละเอียดลงไปได้อีกและอาจกลายเป็นหนังที่ดีมากเรื่องหนึ่งเลยครับ
หนังไม่ใช่ไม่คู่ควรแก่การดูนะครับสำหรับ Upside Down คุณสามารถใช้เวลาไปกับมันและสนุกกับมันได้ประมาณหนึ่งโดยไม่ต้องคาดหวังอะไรมากครับ ดูเพื่อความบันเทิงและตื่นเต้นไปกับโลกใบใหม่ที่ผู้สร้างรังสรรค์มาให้คุณได้เป็นอย่างดีครับ
บทภาพยนต์: 6/10
ความสนุก: 7.5/10
การตัดต่อภาพและเสียง:7.5/10
[CR] รีวิว " Upside Down " (รีวิวหนัง100เรื่อง/100วัน)
เนื่องด้วยพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ ฉากและภาพที่ออกแบบสร้างสรรค์มาได้สวยดังภาพเขียน และเหนือกว่าสิ่งอื่นใดคือนางเอกที่ชื่อว่าKirsten Dunst เหตุผลข้างต้นดังกล่าวทำให้หลังจากที่ได้ดูtrailerตัวเต็มของหนังUpside Down ผมจึงบอกกับตัวเองว่าเรื่องนี้ต้องไปดูในโรงให้ได้ครับ สำหรับผมKirsten Dunstถือว่าเป็นนางเอกอันดับต้นๆในดวงใจครับ หลังจากเห็นเธอตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กน้อยในเรื่อง Interview with the vampireและตอนเป็นวัยรุ่นใน Bring it on จนกระทั่งได้เป็นหวานใจของไอ้แมงมุมSpiderman ผมคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์และแรงดึงดูดสูงครับและด้วยความที่ชอบสาวมีเขี้ยวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย(นอกเรื่องไปไกล) กลับมาเข้าเรื่องครับUpside Downเป็นหนังรักของหนุ่มสาวธรรมดาคู่หนึ่งที่อยู่ในโลกที่ไม่ธรรมดาครับ ซึ่งโลกของพวกเขาช่างแหวกกฎฟิสิกส์ทั้งปวงในโลกความเป็นจริง แต่ด้วยความที่เป็นหนังFantasy Romantic Sci-fi ที่ไม่ได้เน้นเรื่องความสมจริงของหลักเหตุและผลสักเท่าไหร่นัก เลยเป็นเรื่องยอมรับได้ถ้าหนังจะสร้างโลกอีกโลกที่ไม่มีทางมีอยู่จริงขึ้นมาครับ
เรื่องมีอยู่ว่าAdamชายหนุ่มผู้มีความรักสมัยเด็กกับEdenสาวน้อยจากโลกคู่ขนาน(เรื่องนี้โลกสองโลกขนานกันของจริงนะครับไม่ใช่มิติคู่ขนาน ซึ่งโลกสองดวงนี้ชิดกันมากจนสามารถมองเห็นกันได้ด้วยตาเปล่าครับ) โดยในเรื่องนี้ว่าด้วยกฎสามข้อ หนึ่งสิ่งมีชีวิตและวัตถุของโลกสองโลกนั้นจะโดนดึงดูดด้วยแรงโน้มถ่วงบนโลกของตนเท่านั้น สองวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตจะไร้น้ำหนักเมื่ออยู่ในโลกที่ไม่ใช่ของตน สามถ้ามีการสัมผัสวัตถุต่างโลกเป็นระยะเวลาหนึ่งจะทำให้วัตถุนั้นๆเกิดการเผาใหม่ พูดง่ายๆคือAdamไม่สามารถอยู่บนโลกของอีฟและอีฟไม่สามารถอยู่บนโลกของAdamได้เช่นกันการติดต่อกับโลกอีกโลกที่ไม่ใช่โลกของตนจึงเป็นเรื่องต้องห้าม ซึ่งตอนเด็กๆพวกเขาพบกันที่ยอดเขาสูงแห่งหนึ่งที่ซึ่งเป็นเขตหวงห้ามเพราะเป็นจุดที่ทำให้โลกของเขาทั้งสองใกล้กันโดยชนิดที่ว่าสามารถสัมผัสกันได้ เมื่อคนของรัฐบาลพบว่าทั้งสองเข้ามาในเขตหวงห้ามจึงโดนตามจับกุมEdenได้เกิดอุบัติเหตุตกจากยอดเขา ส่วนAdamก็โดนพลากจากป้าBecky ผู้เลี้ยงดูเขา เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปประมาณ10ปี วันหนึ่งAdamได้รู้ว่าEdenยังไม่ตายและทำงานอยู่ในบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ชื่อว่าTransworld โดยTransworldนั้นเป็นบริษัทที่มีอาคารสำนักงานที่เชื่อมต่อทั้งสองโลกคือบริษัทนี้มีการจัดจ้างทั้งคนจากโลกDown Below(โลกของAdam)และโลกUp Top(โลกของEden) โดยไม่รอช้าAdamตัดสินใจสมัครงานที่นั้นเพื่อหวังว่าจะได้เจอEdenอีกครั้ง โดยAdamสมัครงานในฐานะนักวิจัยเนื่องด้วยAdamมีสูตรครีมต้านแรงโน้มถ่วงซึ่งเป็นสูตรของป้าBeckyนั้นเอง Adamได้มีโอกาสเจอEdenอีกครั้งหลังจากใช้ความพยายามอย่างหนัก[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ Adamจะทำอย่างไรเพื่อความรักของพวกเขาและทำอย่างไรเพื่อให้ใช้ชีวิตกับEdenผู้ซึ่งมาจากอีกโลกได้ พวกเขาจะสามารถใช้ความรักที่มีเอาชนะกฎแรงโน้มถ่วงของทั้งสองโลกได้หรือไม่ อันนี้ต้องไปลองดูกันเองครับ
รีวิวตัวละคร
Adam (Jim Sturgess) ผมค่อนข้างลำคาญกับทรงผมของAdamอย่างบอกไม่ถูกครับ เพราะพระเอกคนนี้จริงถ้าทำผมทรงอื่นจะหล่อดูดีกว่านี้มากแต่คงเป็นความตั้งใจที่ต้องการให้ตัวละครนี้ดูเป็นคนง่ายๆติดดินไม่แต่งตัวมากจนเกินไปมั้งครับ Jim Sturgess แสดงออกมาได้โอเคนะครับในซีนปกติที่ไม่มี Eden แต่พอเป็นซีนที่มีEdenผมกลับคิดว่าบทพูดของเขาในหนังกลับไม่มีimpactและไม่ทำให้เราอินไปกับAdamมากสักเท่าไหร่นัก
Eden (Kirsten Dunst) ยังคงแสดงออกมาได้มีเสน่ห์ยิ้มโลกละลายเหมือนเดิมครับ (ความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆอย่าถือสานะครับ) เสียดายที่บทพูดค่อนข้างน้อยและไม่ส่งให้เธอได้เฉิดฉายมากเท่าที่ควรเพราะหนังไปโฟกัสที่Adamซะมากกว่า จึงไม่ได้เห็นการแสดงเป็นชิ้นเป็นอันมากเท่าไหร่ควรจะเป็นครับ
Bob Boruchowitz (Timothy Spall) เป็นบทที่แย่งซีนของเรื่องครับ เนื่องจากเป็นเพื่อนคนเดียวของพระเอกที่ Transworld และเป็นคนที่คอยเปิดช่องช่วยเหลือเพื่อให้รักของเขาและเธอสมหวัง[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Albert (Blu Mankuma) อดีตเจ้านายและเป็นคนที่คอยดูแลAdamเหมือนเป็นลูกคนหนึ่งหลังจากที่โดนพรากจากป้าBeckyตั้งแต่เด็กครับ เป็นตัวละครที่แสดงออกมาได้ดีและทำให้เราเห็นถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่มีต่อAdamครับ กลัวว่าAdamจะมีอันตรายและขณะที่Adamคิดถึงแต่Edenโดยไม่ได้ห่วงถึงความปลอดภัยของตัวเอง
ช่วงต้นเรื่องหนังสามารถทำให้คนดูตื่นตาตื่นใจกับโลกสองโลกนี้ได้ดีครับ เนื่องด้วยCGIที่ทำออกมาได้ดีโทนสีที่ใช้ในหนังที่สวยเหมือนดังภาพวาดชวนฝันและการเปรียบเทียบสองโลกเสมือนสองชนชั้นคือโลกDown Belowเป็นโลกคนจน ส่วนโลกUp Top เป็นโลกของคนมั่งมีครับซึ่งประเด็นตรงนี้หนังเกริ่นมาตอนช่วงแรกแต่ดันหายไปและไม่ได้เน้นอีกเลยครับ พูดง่ายๆคือเป็นประเด็นที่ไปไม่สุดครับ ช่วงกลางเรื่องหนังยังทำได้ดีได้ลุ้นกับความพยายามของAdamในการฝ่าฟันกฏแรงโน้มถ่วงและลุ้นว่าเจอกับนางเอกแล้วจะเป็นอย่างไหร่ ต้องยอมรับครับว่าหนังทำได้สนุกพอตัวเลยแต่ความสนุกนั้นกลับ Dropลงไปอย่างชัดเจนในช่วงค่อนท้ายของเรื่องและในตอนจบที่ผมต้องบอกว่าไม่รู้ว่างบหมดหรือว่าอะไรนะครับ เล่นเร่งตอนจบมากจนเกินไปทำให้จังหวะของหนังรวนเหมือนต้องการบอกบทสรุปเอาดื้อๆ โดยส่วนตัวค่อนข้างผิดหวังกับช่วงท้ายพอสมควรครับแต่ยังถือว่าเป็นหนังให้ความบันเทิงได้ดีในระดับหนึ่งในแง่ของความเป็น Sci Fi, Fantasy แต่ในแง่ของความเป็นหนัง Romanticกลับทำได้ไม่ดีพอครับขาดบทพูดที่ซึ้งกินใจเพราะในหนังซีนที่พระนางอยู่ด้วยกันนั้นมีน้อยมากแทบจะนับครั้งได้ ดังนั้นควรจะทำบทพูดที่สร้างmomentที่น่าจดจำหรือเน้นให้ความสำคัญกับช่วงเวลาของAdamกับEdenที่มีอยู่น้อยนิดนั้นให้มากกว่านี้ครับ เพราะจริงๆแก่นควรเป็นหนังรักที่มีSci-fi, Fantasyเป็นส่วนประกอบไม่ใช่หนัง Sci-fi ที่มีเรื่องรักเป็นสีสันเท่านั้นครับ ถ้าหนังเพิ่มความยาวอาจจะใส่รายละเอียดลงไปได้อีกและอาจกลายเป็นหนังที่ดีมากเรื่องหนึ่งเลยครับ
บทภาพยนต์: 6/10
ความสนุก: 7.5/10
การตัดต่อภาพและเสียง:7.5/10