วิชาภาษาอังกฤษ เป็นวิชาที่ผมเกลียดมากที่สุด !!
เกลียดมาตั้งแต่ประถม จนถึงมหาวิทยาลัย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะตอนนั้นยังไม่เห็นความสำคัญของมัน
จะเรียนไปทำไม ในเมื่อมันไม่ใช่ภาษาพ่อ ภาษาแม่เรา [ตอนนั้นมันคิดอย่างงั้นจริงๆ] สิ่งแวดล้อมก็ไม่สนับสนุนเรื่องนี้เท่าไรนัก
โรงเรียนบ้านนอก หาคนเก่งภาษานี่แทบจะนับคนได้เลย ผมไม่อยากโทษการศึกษาของโรงเรียน แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
จุดเปลี่ยนของผมคือ ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกา เมืองนิวยอร์ค ตอนปี 3
ตอนนั้นภาษาผมแย่ขนาดไหนหนะหรอ ? ก่อนไปผมเลยไปลองสอบ TOEIC ผลปรากฎว่าได้ 4xx คะแนน
ตอนสอบ O-Net ผมได้คะแนน 22/100 ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ได้เกรด C วิชาภาษาอังกฤษตลอด
ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก ก็ไปนิวยอร์คเลย แมร่งโคตรหว่าเว้ คือพูดได้แต่เป็นคำๆ ไม่สามารถเรียบเรียงเป็นประโยคได้เลย
คำศัพท์ในหัวสมองก็มีอันน้อยนิด ตอนไป Transfer เครื่องที่เกาหลีนี่โคตรกลัว กลัวว่าจะไปไม่ถึงนิวยอร์ค 555+
เดี๋ยวจะยาวไปขอพูดถึงจุดเปลี่ยนของการกลับมาฝึกภาษาอังกฤษอย่างจริงจังเลยละกันครับ
การที่ผมได้ไปเปิดประสบการณ์ที่นิวยอร์ค ทำให้ผมได้รู้ว่าภาษาอังกฤษนั้นสำคัญมากๆ ในโลกนี้ไม่ได้มีประเทศไทยประเทศเดียว
เหมือนกับกบที่ได้ออกไปนอกกะลา ไปพบกับความศิวิไล ไปพบกับเพื่อนหลากหลายชาติ มันจึงทำให้ผมอยากจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษ
ขอเล่าอีกนิด วันแรกที่ผมไปถึงนิวยอร์ค พี่ผมพาผมไปงานวันเกิดเพื่อนแก งานจัดในร้านอาหารไทย มีสาวๆ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี
มาร่วมงานด้วย พี่ผมก็เปิดประเด็นทันทีที่ผมได้เดินเข้าไปในร้าน พร้อมกับแนะนำผมให้รู้จักสาวๆ จากประเทศเพื่อนบ้าน
หลังจากนั้นเราก็พอได้คุยกันบ้างเล็กน้อย ซักพักพี่ผม ขอให้สาวจีนช่วยสอนภาษาจีนให้ผมหน่อย แต่ทันใดนั้นเอง
She said " I think He should learn English first "
ผมนี่สตันไปเลย !! [จดจำประโยคนี้มาจนถึงทุกวันนี้] นี่ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผมต้องฝึกภาษาอังกฤษ 555+
เข้าเรื่องจริงๆละ !!
การสอบ TOEIC ใช้รูปแบบที่เรียกว่า Redesigned TOEIC แบ่งการสอบเป็น 2 ส่วนคือ การฟัง (Listening) และ
การพูด (Reading) จำนวน 200 ข้อ คะแนนเต็มรวม 990 คะแนน เวลาในการทำข้อสอบคือ 2 ชั่วโมง ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. การฟัง (Listening Comprehension) มี 100 ข้อ คะแนนเต็ม 495 คะแนน เวลา 45 นาที ผู้เข้าสอบจะได้ฟังคำถาม
และการสนทนาสั้นๆ เป็นภาษาอังกฤษ แล้วตอบคำถามจากสิ่งที่ได้ยิน โดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วนย่อย ดังนี้
Part 1: Photographs 10 ข้อ
Part 2: Question-Response 30 ข้อ
Part 3: Conversations 30 ข้อ
Part 4: Short Talks 30 ข้อ
2. การอ่าน (Reading Comprehension) มี 100 ข้อ คะแนนเต็ม 495 คะแนน เวลา 75 นาที ผู้เข้าสอบจะต้องตอบคำถามจากสิ่งที่อ่าน
โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนย่อย ดังนี้
Part 5: Incomplete Sentences 40 ข้อ
Part 6: Text Completion 12 ข้อ
Part 7: Reading Comprehension 48 ข้อ
รายละเอียดการสอบ TOEIC แบบเต็มๆ อ่านได้ที่นี่
http://www.2btopic.com/inter/toeic1.html
Part Listening หรือการฟังเป็น Part ที่เก็บคะแนนได้ง่ายกว่า Part Reading [คหสต. นะครับ]
วิธีการฝึก Part นี้สำหรับผมคือ ฝึกฟังเยอะๆ และสม่ำเสมอ ไม่ต้องมาก วันละหลายชั่วโมง แต่ขอให้ฝึกสม่ำเสมอ ...
ปกติเวลาดู ซีรีย์ผมจะชอบดูแบบ Soundtrack เพราะเสียงมันจะสมจริงกว่าภาคไทย
เวลาดูก็จะเปิด Sub ไทย แล้วเราก็อ่านตาม Sub โดยไม่ได้ตั้งใจฟังเสียงภาษาอังกฤษว่าเค้าพูดอะไรกัน
วิธีฝึกฟังจากซีรี่ย์คือ ดูแบบ Soundtrack และเปิด Sub ภาษาอังกฤษ แรกๆเราอาจจะยังฟังไม่รู้เรื่อง ก็พยายามอ่าน Sub อังกฤษ
ว่าเค้าพูดอะไรกัน ถ้าแปลศัพท์คำไหนไม่ได้ เราอาจจะ Pause แล้วแปลศัพท์คำนั้นเลยทันทีก็ได้ แต่ผมค่อนข้างรำคาญกับวิธีนี้
เลยใช้วิธีพยายามเดาคำศัพท์ไปก่อน ว่ามันน่าจะแปลว่าอะไร ถ้าแปลไม่ได้จริงๆค่อยมาเปิด Dic ภายหลัง หรือกดมือถือแปลตอนนั้นเลย
พอฝึกไปนานๆ มันจะคุ้นเคยขึ้น เวลาตัวละครมันพูดประโยคหรือคำที่เราเคยได้ยินมาแล้ว เราจะเข้าใจได้เองโดยอัตโนมัติ
พอเทพขึ้นเราอาจจะปิด Sub และฟัง Soundtrack แบบเพียวๆไปเลย ...
ถ้าให้แนะนำซีรี่ย์เรื่องที่ฟังง่ายๆ ผมแนะนำเรื่อง Stranger Things, Lost In Space ผมว่าหนังที่มีตัวละครเป็นเด็ก เด็กจะพูดชัดและช้า
วิธีการฝึกฟังอีกวิธีหนึ่งของผมคือฟัง BBC 6 Minute English ทุกวันๆ ละ 1 เรื่อง
ตามลิ้งนี้ไปครับ
http://www.bbc.co.uk/learningenglish/english/features/6-minute-english
ผมเป็นคนขี้เกียจ เลยใช้เวลาฝึกในแต่ละวันไม่เยอะ แต่เน้นสม่ำเสมอ บางวันอาจจะไม่ได้ฟัง แต่ถ้านึกได้ก็จะฟัง ตกลงสม่ำเสมอไหม ?
ต่อไปผมจะรีวิววิธีการฝึกฝนของผมไปในแต่ละ Part เลยละกันนะครับ
Part 1: Photographs 10 ข้อ
Part นี้เป็น Part ที่เก็บคะแนนได้ง่ายที่สุด มันจะมีรูปมาให้ 10 ข้อ
อันดับแรกเราต้องดูว่ามันเป็นรูปอะไร มีคน, สัตว์, สิ่งของอะไรบ้างในรูป
ต่อมาเราก็ต้องดูว่า สิ่งนั้นกำลังทำอะไรกัน อยู่ที่ไหน มีคนกี่คน มีสิ่งของอะไรบ้าง พยายามเก็บรายละเอียดให้มากที่สุด
ยกตัวอย่างเช่นรูปนี้
มีผู้หญิง 2 คน และผู้ชาย 1 คน ทุกคนใส่สูท ผู้ชายผูกไทด์ กำลังสนทนากัน
บนโต๊ะมีแฟ้ม 2 เล่ม และเครื่อง Overhead Projector มีเก้าอี้ใต้โต๊ะ ด้านหลังมีกระดานและจอโปรเจคเตอร์แบบแขวน
Part 1: Photographs สามารถฝึกได้ที่ลิ้งนี้ครับ
http://www.english-test.net/toeic/listening/
แต่แบบฝึกพวกนี้จะค่อนข้างง่ายกว่าข้อสอบจริงครับ ไว้ตอนสุดท้ายผมจะแนบไฟล์ข้อสอบจริงๆ ที่ผมใช้ฝึกให้ครับ
มือใหม่ควรจะฝึกจากง่ายๆไปก่อนครับ อย่าพึ่งรีบข้ามไปฟังแบบยากๆ เดี๋ยวจะหมดกำลังใจ
TOEIC มันต้องใช้เวลาในการฝึกครับ
ไว้มาเขียนต่อนะครับ วันนี้ขอไปนอนก่อนครับ
แชร์ประสบการณ์ วิธีการฝึกฝน TOEIC ด้วยตัวเอง [จาก 4xx เป็น 7xx คะแนน]
เกลียดมาตั้งแต่ประถม จนถึงมหาวิทยาลัย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะตอนนั้นยังไม่เห็นความสำคัญของมัน
จะเรียนไปทำไม ในเมื่อมันไม่ใช่ภาษาพ่อ ภาษาแม่เรา [ตอนนั้นมันคิดอย่างงั้นจริงๆ] สิ่งแวดล้อมก็ไม่สนับสนุนเรื่องนี้เท่าไรนัก
โรงเรียนบ้านนอก หาคนเก่งภาษานี่แทบจะนับคนได้เลย ผมไม่อยากโทษการศึกษาของโรงเรียน แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
จุดเปลี่ยนของผมคือ ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกา เมืองนิวยอร์ค ตอนปี 3
ตอนนั้นภาษาผมแย่ขนาดไหนหนะหรอ ? ก่อนไปผมเลยไปลองสอบ TOEIC ผลปรากฎว่าได้ 4xx คะแนน
ตอนสอบ O-Net ผมได้คะแนน 22/100 ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ได้เกรด C วิชาภาษาอังกฤษตลอด
ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก ก็ไปนิวยอร์คเลย แมร่งโคตรหว่าเว้ คือพูดได้แต่เป็นคำๆ ไม่สามารถเรียบเรียงเป็นประโยคได้เลย
คำศัพท์ในหัวสมองก็มีอันน้อยนิด ตอนไป Transfer เครื่องที่เกาหลีนี่โคตรกลัว กลัวว่าจะไปไม่ถึงนิวยอร์ค 555+
เดี๋ยวจะยาวไปขอพูดถึงจุดเปลี่ยนของการกลับมาฝึกภาษาอังกฤษอย่างจริงจังเลยละกันครับ
การที่ผมได้ไปเปิดประสบการณ์ที่นิวยอร์ค ทำให้ผมได้รู้ว่าภาษาอังกฤษนั้นสำคัญมากๆ ในโลกนี้ไม่ได้มีประเทศไทยประเทศเดียว
เหมือนกับกบที่ได้ออกไปนอกกะลา ไปพบกับความศิวิไล ไปพบกับเพื่อนหลากหลายชาติ มันจึงทำให้ผมอยากจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษ
ขอเล่าอีกนิด วันแรกที่ผมไปถึงนิวยอร์ค พี่ผมพาผมไปงานวันเกิดเพื่อนแก งานจัดในร้านอาหารไทย มีสาวๆ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี
มาร่วมงานด้วย พี่ผมก็เปิดประเด็นทันทีที่ผมได้เดินเข้าไปในร้าน พร้อมกับแนะนำผมให้รู้จักสาวๆ จากประเทศเพื่อนบ้าน
หลังจากนั้นเราก็พอได้คุยกันบ้างเล็กน้อย ซักพักพี่ผม ขอให้สาวจีนช่วยสอนภาษาจีนให้ผมหน่อย แต่ทันใดนั้นเอง
She said " I think He should learn English first "
ผมนี่สตันไปเลย !! [จดจำประโยคนี้มาจนถึงทุกวันนี้] นี่ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผมต้องฝึกภาษาอังกฤษ 555+
เข้าเรื่องจริงๆละ !!
การสอบ TOEIC ใช้รูปแบบที่เรียกว่า Redesigned TOEIC แบ่งการสอบเป็น 2 ส่วนคือ การฟัง (Listening) และ
การพูด (Reading) จำนวน 200 ข้อ คะแนนเต็มรวม 990 คะแนน เวลาในการทำข้อสอบคือ 2 ชั่วโมง ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. การฟัง (Listening Comprehension) มี 100 ข้อ คะแนนเต็ม 495 คะแนน เวลา 45 นาที ผู้เข้าสอบจะได้ฟังคำถาม
และการสนทนาสั้นๆ เป็นภาษาอังกฤษ แล้วตอบคำถามจากสิ่งที่ได้ยิน โดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วนย่อย ดังนี้
Part 1: Photographs 10 ข้อ
Part 2: Question-Response 30 ข้อ
Part 3: Conversations 30 ข้อ
Part 4: Short Talks 30 ข้อ
2. การอ่าน (Reading Comprehension) มี 100 ข้อ คะแนนเต็ม 495 คะแนน เวลา 75 นาที ผู้เข้าสอบจะต้องตอบคำถามจากสิ่งที่อ่าน
โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนย่อย ดังนี้
Part 5: Incomplete Sentences 40 ข้อ
Part 6: Text Completion 12 ข้อ
Part 7: Reading Comprehension 48 ข้อ
รายละเอียดการสอบ TOEIC แบบเต็มๆ อ่านได้ที่นี่ http://www.2btopic.com/inter/toeic1.html
Part Listening หรือการฟังเป็น Part ที่เก็บคะแนนได้ง่ายกว่า Part Reading [คหสต. นะครับ]
วิธีการฝึก Part นี้สำหรับผมคือ ฝึกฟังเยอะๆ และสม่ำเสมอ ไม่ต้องมาก วันละหลายชั่วโมง แต่ขอให้ฝึกสม่ำเสมอ ...
ปกติเวลาดู ซีรีย์ผมจะชอบดูแบบ Soundtrack เพราะเสียงมันจะสมจริงกว่าภาคไทย
เวลาดูก็จะเปิด Sub ไทย แล้วเราก็อ่านตาม Sub โดยไม่ได้ตั้งใจฟังเสียงภาษาอังกฤษว่าเค้าพูดอะไรกัน
วิธีฝึกฟังจากซีรี่ย์คือ ดูแบบ Soundtrack และเปิด Sub ภาษาอังกฤษ แรกๆเราอาจจะยังฟังไม่รู้เรื่อง ก็พยายามอ่าน Sub อังกฤษ
ว่าเค้าพูดอะไรกัน ถ้าแปลศัพท์คำไหนไม่ได้ เราอาจจะ Pause แล้วแปลศัพท์คำนั้นเลยทันทีก็ได้ แต่ผมค่อนข้างรำคาญกับวิธีนี้
เลยใช้วิธีพยายามเดาคำศัพท์ไปก่อน ว่ามันน่าจะแปลว่าอะไร ถ้าแปลไม่ได้จริงๆค่อยมาเปิด Dic ภายหลัง หรือกดมือถือแปลตอนนั้นเลย
พอฝึกไปนานๆ มันจะคุ้นเคยขึ้น เวลาตัวละครมันพูดประโยคหรือคำที่เราเคยได้ยินมาแล้ว เราจะเข้าใจได้เองโดยอัตโนมัติ
พอเทพขึ้นเราอาจจะปิด Sub และฟัง Soundtrack แบบเพียวๆไปเลย ...
ถ้าให้แนะนำซีรี่ย์เรื่องที่ฟังง่ายๆ ผมแนะนำเรื่อง Stranger Things, Lost In Space ผมว่าหนังที่มีตัวละครเป็นเด็ก เด็กจะพูดชัดและช้า
วิธีการฝึกฟังอีกวิธีหนึ่งของผมคือฟัง BBC 6 Minute English ทุกวันๆ ละ 1 เรื่อง
ตามลิ้งนี้ไปครับ http://www.bbc.co.uk/learningenglish/english/features/6-minute-english
ผมเป็นคนขี้เกียจ เลยใช้เวลาฝึกในแต่ละวันไม่เยอะ แต่เน้นสม่ำเสมอ บางวันอาจจะไม่ได้ฟัง แต่ถ้านึกได้ก็จะฟัง ตกลงสม่ำเสมอไหม ?
ต่อไปผมจะรีวิววิธีการฝึกฝนของผมไปในแต่ละ Part เลยละกันนะครับ
Part 1: Photographs 10 ข้อ
Part นี้เป็น Part ที่เก็บคะแนนได้ง่ายที่สุด มันจะมีรูปมาให้ 10 ข้อ
อันดับแรกเราต้องดูว่ามันเป็นรูปอะไร มีคน, สัตว์, สิ่งของอะไรบ้างในรูป
ต่อมาเราก็ต้องดูว่า สิ่งนั้นกำลังทำอะไรกัน อยู่ที่ไหน มีคนกี่คน มีสิ่งของอะไรบ้าง พยายามเก็บรายละเอียดให้มากที่สุด
ยกตัวอย่างเช่นรูปนี้
มีผู้หญิง 2 คน และผู้ชาย 1 คน ทุกคนใส่สูท ผู้ชายผูกไทด์ กำลังสนทนากัน
บนโต๊ะมีแฟ้ม 2 เล่ม และเครื่อง Overhead Projector มีเก้าอี้ใต้โต๊ะ ด้านหลังมีกระดานและจอโปรเจคเตอร์แบบแขวน
Part 1: Photographs สามารถฝึกได้ที่ลิ้งนี้ครับ http://www.english-test.net/toeic/listening/
แต่แบบฝึกพวกนี้จะค่อนข้างง่ายกว่าข้อสอบจริงครับ ไว้ตอนสุดท้ายผมจะแนบไฟล์ข้อสอบจริงๆ ที่ผมใช้ฝึกให้ครับ
มือใหม่ควรจะฝึกจากง่ายๆไปก่อนครับ อย่าพึ่งรีบข้ามไปฟังแบบยากๆ เดี๋ยวจะหมดกำลังใจ
TOEIC มันต้องใช้เวลาในการฝึกครับ
ไว้มาเขียนต่อนะครับ วันนี้ขอไปนอนก่อนครับ