ยิ่งใหญ่ยิ่งล้มดัง : 10 เกมแชมเปี้ยนส์ ลีกล็อคถล่มตลอดกาล

โรม่า เพิ่งล้ม บาร์เซโลน่า หนึ่งในทีมเต็งแชมป์พลิกนรกเข้ารอบรองชนะเลิศแบบสุดเหลือเชื่อ และมีโอกาสลุ้นสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์เป็นสมัยแรก


แต่ถ้าพูดถึงเกมที่พลิกถล่มทลายที่สุดเท่าที่รายการนี้เคยมีมาล่ะ? ... นี่คือ 10 เกมแชมเปี้ยนส์ลีกล็อคถล่มตลอดกาลจาก โรเบิร์ต โอคอนเนอร์ คอลัมนิสต์ของเรา

1. นิวคาสเซิ่ล 3-2 บาร์เซโลน่า, 1997/98

ถือเป็นฤดูกาลแรกที่ฟุตบอลสโมสรใบใหญ่ของยุโรปฉีกธรรมเนียมที่มีมากว่า 40 ปี ด้วยการให้สิทธิ์ทีมรองแชมป์จาก 8 ลีกดังยุโรปได้สิทธิ์โม่แข้งในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งหลังจากมีการปรับเปลี่ยนกฎเพียงแค่ปีแรก น้องใหม่รายการนี้อย่าง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ในฐานะรองแชมป์พรีเมียร์ลีกก็สร้างประวัติศาสตร์เก็บ 3 คะแนนนได้ในเดือนกันยายน 1997 โดยเกมนั้น ฟาอุสติโน อัสปริย่า ดาวยิงทีมชาติโคลอมเบีย ระเบิดฟอร์มทำแฮตทริกตั้งแต่ 49 นาทีแรก แม้ช่วงท้าย หลุยส์ เอ็นริเก้ กับ หลุยส์ ฟิโก้ จะมายิงประตูกู้ชื่อให้ บาร์ซ่า แต่ก็ไม่ทันการณ์

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
2 ดินาโม เคียฟ 2-0 เรอัล มาดริด, 1998/99

หากย้อนไปในฤดูกาล 1998/99 ดินาโม เคียฟ แสดงให้เห็นว่าพวกเขาคือยอดทีมของยุโรป โดยเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดแรก พวกเขาบุกไปเสมอ เรอัล มาดริด ที่สเปน 1-1 ก่อนเปิดบ้านที่กรุงเคียฟ ไล่ต้อนราชันชุดขาว 2-0 จากผลงานของ "เชว่า" อังเดร เชฟเชนโก้ ทั้งสองลูก พร้อมเสียงแซ่ซ้องกุนซือ วาเลรี่ โลบานอฟสกี้ ที่วางแท็กติกอันแยบยลและทรงประสิทธิภาพ จนพาทีมผ่านเข้ารอบตัดเชือก แต่น่าเสียดายที่ไปจอดป้าย แพ้ บาเยิร์น มิวนิค ในรอบถัดไป

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
3. เดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า 4-0 มิลาน, 2003/2004

ไม่ว่าจะด้วยเหตุหรือปัจจัยใดก็ตาม แต่นักเตะ เอซี มิลาน ต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ จากการกระเด็นตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2003/04 ด้วยน้ำมือของ "ซูเปอร์ เดปอ" เพราะเกมแรก "ปีศาจแดงดำ" เปิดรังเหย้า ซาน ซิโร่ เอาชนะได้ขาดลอย 4-1 ก่อนเดินทางมาแคว้นกาลิเซียแบบชิลๆ เพราะผลต่างประตูได้เสียห่างถึง 3 ลูก แต่เล่นไปเล่นมา ลา กอรุนญ่า กลับเปิดรังไล่ทุบมิลานไป 4-0 แบบล็อคถล่มเข้ารอบรองชนะเลิศไปอย่างเหลือเชื่อ ฝากรอยแค้น มิลาน แบบสุดเจ็บปวด เพราะฤดูกาลก่อนหน้านั้นพวกเขาก็เพิ่งจะบุกมาแพ้ที่สนามแห่งนี้ด้วยสกอร์เดียวกัน

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
4. มายอร์ก้า 1-0 อาร์เซน่อล, 2001/02

หากย้อนไปในปี 2001 ขุนพล "เดอะ กุนเนอร์ส" เคยเสียท่าให้ เรอัล มายอร์ก้า ในนัดแรกของรอบแบ่งกลุ่มมาแล้ว โดยเหตุการณ์ในวันนั้น แอชลีย์ โคล แบ็กซ้ายตัวเก่งไปทำฟาวล์ อัลเบิร์ต ลูเก้ ทำให้ทีมเสียจุดโทษ และเจ้าตัวโดนใบแดงตั้งแต่ต้นเกม หลังจากนั้น อาร์เซน่อล เป็นรองทั้งสกอร์และผู้เล่น ก่อนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปในที่สุด หลังจากนั้นสถานการณ์ทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ ยังไม่กระเตื้องเมื่อบุกไปแพ้ พานาธิไนกอส ที่กรุงเอเธนส์ อย่างไรก็ตามพวกเขามาแก้ตัวได้สำเร็จเมื่อเปิดบ้านถอนแค้น มายอร์ก้า 3-1 ทำให้ทีมผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มรอบ 2 ทว่าสุดท้ายก็ต้องจอดป้ายตกรอบอยู่ดี

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
5. เชลซี 1-1 โรเซนบอร์ก, 2007/08

ผลการแข่งขันนัดนี้อาจไม่ได้เป็นที่จดจำมากเท่าสถานการณ์ในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ของ เชลซี เพราะหลังจากผลเสมอ โรเซนบอร์ก ทีมรองบ่อนจากนอร์เวย์ ในบ้านของตัวเองก็ทำให้ความตึงเครียดระหว่าง โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือชาวโปรตุกีส กับ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีมชาวรัสเซียเริ่มปะทุขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่แฟนบอลสิงห์บลูส์ส่วนหนึ่งเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง กระทั่ง มูรินโญ่ โดนปลดจากตำแหน่ง ผลงานของเชลซีก็ดีขึ้นตามลำดับ ผ่านรอบแบ่งกลุ่มก่อนเอาชนะ โอลิมเปียกอส, เฟเนบาห์เช่ และ ลิเวอร์พูล ในรอบตัดเชือก ผ่านเข้าชิงพบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กรุงมอสโก แต่ก็ใจสลายเมื่อน้ำฝนทำเหตุให้ จอห์น เทอร์รี่ ลื่นล้มยิงจุดโทษพลาดก่อนสุดท้ายเป็น ปีศาจแดง เข้าป้ายคว้าแชมป์สมัยที่ 3 ไปครอง

6. บาร์เซโลน่า 0-4 ดินาโม เคียฟ, 1997/98

เมื่อยอดทีมอย่าง บาร์เซโลน้า ถูกจับสลากให้อยู่ร่วมสายกับ ดินาโม เคียฟ ในรอบแบ่งกลุ่มปี 1997 สื่อทั่วยุโรปเชื่อว่าทีมจากยูเครนมีสิทธิ์โดนถลุงแน่นอน แต่ชายที่ชื่อ วาเลรี่ โลบานอฟสกี้ ตำนานนักเตะและยอดโค้ชของ ดินาโม เคียฟ บอกว่าต้นสังกัดของเขาคือทีมแกร่งและเป็นเหมือนตัวแทนของสหภาพโซเวียต เพราะในอดีตเคยได้แชมป์ลีกของดินแดนม่านเหล็กถึง 13 สมัย หลังจากการพบกันนัดแรกที่ โอลิมปิก สเตเดี้ยม ซึ่ง ดินาโม เคียฟ เอาชนะไป 3-0 ทำให้การพบกันที่ คัมป์ นู เป็นแมตช์ที่ตึงเครียดมากขึ้นเมื่อเจ้าบ้านหวังคิดบัญชีแบบทบต้นทบดอก แต่ผลที่ออกมากลับกลายเป็นฝันร้ายของแฟนบอลและกุนซือ หลุยส์ ฟาน กัล เมื่อ อังเดร เชฟเชนโก้ ระเบิดฟอร์มทำแฮตทริกได้ตั้งแต่ครึ่งแรก ก่อนที่ ดินาโม เคียฟ จะบุกมาถล่มย้ำแค้น บาร์เซโลน่า เละคารัง 4-0

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
7. ลีลล์ 1-0 แมนฯ ยูไนเต็ด 2005/2006

อีกหนึ่งเกมสุดพลิกล็อกเมื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกไปแพ้ทีมเล็กๆ อย่าง ลีลล์ ที่ สต๊าด เดอ ฟร้องซ์ เมื่อปี 2005 เกมนัดนั้นเหมือนเป็นจุดเริ่มสำหรับฟอร์มที่ย่ำแย่ของ "ปีศาจแดง" เพราะซีซั่นดังกล่าว แมนฯ ยูไนเต็ด จบอันดับสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่มตกรอบฟุตบอลยุโรปแบบเสียฟอร์มสุดๆ ขณะที่ ลีลล์ จบอันดับ 3 ได้แก้ตัวในถ้วยใบรอง ยูฟ่า คัพ

8. บรอนด์บี้ 2-1 บาเยิร์น มิวนิค, 1998/99

ฝันร้ายและความเจ็บปวดยังคงตรึงอยู่ในใจของแฟนบอล บาเยิร์น มิวนิค โดยเฉพาะเกมรอบชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1998/99 เมื่อ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ยิงประตูวินาทีสุดท้ายของช่วงต่อเวลาให้ แมนฯ ยูไนเต็ด สร้างปาฏิหาริย์คว้าโทรฟี่บิ๊กเอียร์ ขณะเดียวกันปีนั้นก็เหมือนมีลางบอกเหตุสำหรับทีมเสือใต้ เพราะรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาบุกไปเยือน บรอนด์บี้ ที่เดนมาร์ก  และเป็น "เดอะ บาวาเรียน" ที่ขึ้นนำก่อนจาก มาร์คุส บับเบิ้ล ในนาทีที่ 75 แต่จากนั้น บรอนด์บี้ ทวงคืน 2 ประตูรวด ในนาทีที่ 88 และ 89 พลิกชนะ 2-1 ไปแบบหน้าตาเฉย...ซึ่งตอนนั้นก็มีการแซวกันเล่นๆ ว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อาจแอบไปนั่งดูเกมนัดนี้และนำมาวางแผนเด็ดใช้น็อก "เสือใต้" ในรอบชิงปีเดียวกันก็เป็นได้

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
9. อินเตอร์ มิลาน 1-5 อาร์เซน่อล, 2003/04

ฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งฟอร์มอันร้อนแรงของ อาร์เซน่อล ในลีกได้ ซึ่งตอนนั้น ปืนใหญ่ ครองสถิติไม่แพ้ใคร 49 นัด แต่ปัญหาการเล่นฟุตบอลยุโรปเป็นสิ่งที่ อาร์แซน เวนเกอร์ แก้ไม่ตกทั้งเกมที่เปิดบ้านแพ้ อินเตอร์ มิลาน 0-3 ทำได้แค่เสมอ โลโคโมทีฟ มอสโก จากรัสเซียแบบไร้สกอร์ ต่อด้วยการพ่าย ดินาโม เคียฟ 1-2 ทำให้ทีมของเวนเกอร์ตกไปอยู่บ๊วยของกลุ่ม อย่างไรก็ตามเกมนัดที่ 4 แอชลี่ย์ โคล ทำประตูชัยให้ทีมชนะ เคียฟ 1- 0 จุดประกายฝันอาร์เซนอลให้กลับมาอยู่ในฟอร์มการเล่นที่ดีอีกครั้ง โดยเฉพาะเกมสำคัญคือการบุกถล่ม  "เนรัซซูรี่" คาถิ่น  5-1 สุดท้าย "เดอะ กูนเนอร์ส" ผ่านรอบแบ่งกลุ่ม ตีตั๋วเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
10. โมนาโก 3-1 เรอัล มาดริด, 2003/04

เหตุการณ์ล็อคถล่มเคยเกิดขึ้นกับ เรอัล มาดริด เช่นกันเมื่อพวกเขาแพ้ โมนาโก 1-3 ก่อนตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ทั้งที่ในความเป็นจริงฤดูกาลนั้น "ราชันชุดขาว" อุดมไปด้วยนักเตะชั้นยอดและมีโอกาสสูงที่จะก้าวไปคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 10 อีกทั้งเกมนัดแรกชนะได้ก่อน 4-2 ส่วนเกมนัดนี้ ราอูล กอนซาเลซ ซัดให้ออกนำ 1-0 แม้ ลูโดวิค ชูลี่ จะยิงตีเสมอช่วงท้ายครึ่งแรกแต่สกอร์รวมก็ยังไกลอยู่ที่ 5-3 ทว่า เรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นในครึ่งหลังเมื่อเจ้าบ้าน โมนาโก ตีตื้นจาก เฟร์นานโด มอริเอนเตส กองหน้าเลือดสเปนที่พวกเขายืมตัวมาจาก เรอัล มาดริด นั่นเอง และอีกประตูจาก ลูโดวิค ชูลี่ ในนาทีที่ 66 รวมผลสองนัดเสมอกัน 5-5 แต่โมนาโกได้สิทธิ์เข้ารอบตามกฎประตูทีมเยือน

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
credit : www.fourfourtwo.com/th
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่