เมื่อพูดถึง ฟุตบอล ทุกคนต่างก็นึกถึงกีฬาที่เป็นที่นิยมสูงสุดของมวลมนุษยชาติ แต่ฟุตบอลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การลงสนามไปเตะบอลให้เข้าประตูเท่านั้น แต่ฟุตบอลยังมีมนต์เสน่ห์ที่เรียกว่า สไตล์การเล่น หรือถ้าเป็นภาษาทางการก็คือ "ศาสตร์แห่งฟุตบอล"
ศาสตร์แห่งฟุตบอลนั้นมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับตัวแปรหลายประการ เช่น ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ตัวผู้เล่น ตลอดความนิยมชมชอบในแต่ละยุค แต่ละสมัยอีกด้วย
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ 2 สุดยอดศาสตร์แห่งฟุตบอล นั่นคือ โททัล ฟุตบอล และคาเตนัคโช่
โททัล ฟุตบอล (Total Football)
โททัล ฟุตบอล คือ ศาสตร์ฟุตบอลชั้นสูง ที่ผู้เล่นทุกคนในสนามสามารถทดแทนตำแหน่งกันได้หมด ไม่ว่าจะเป็นกองหน้า กองกลาง กองหลัง สามารถยืดหยุ่นตำแหน่งกันได้หมด นักเตะจะไม่มีตำแหน่งตายตัว ไม่ต้องเสียเวลาคอยวิ่งไปกลับตำแหน่งตัวเองกันบ่อยๆ เหมือนการเคลื่อนที่ของผู้เล่นในฟุตซอล หมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ กองหลังสามารถเลี้ยงขึ้นไปยิงประตูเองได้ หรือไม่กองหน้าก็วิ่งลงกลับมายืนอยู่ในแดนหลัง พูดง่ายๆ เป็นนักเตะอเนกประสงค์กันทั้งทีม โดยจุดที่เด่นที่สุด คือ การสร้างพื้นที่ การเข้าสู่พื้นที่ และการจัดการพื้นที่ ไม่ต่างจากการเป็นสถาปนิกในสนาม ฉะนั้นผู้เล่นที่อันตรายที่สุด คือ ผู้เล่นที่ไม่มีบอล โดยมีกลไกที่แสนง่าย คือ
การให้แล้วไป (Give and Go)
ผังการเล่นในระบบโททัล ฟุตบอล ของทีมชาติฮอลแลนด์ ในยุค 1970s
และอย่างที่ทราบกันดี ว่าชาติที่หลงไหลปรัชญาฟุตบอลนี้จนเข้าเส้นเลือด ก็คือ ทีมชาติฮอลแลนด์นั่นเอง เป็นศาสตร์เฉพาะของขุนพลดัตช์ และสโมสรอาหยักซ์ อัมสเตอร์ดัม และผู้ที่สรรค์สร้างปรากฎการณ์นี้ขึ้นมามีนามว่า ไรนุส มิเชลส์ (Rinus Michels) หรือที่มีฉายาว่า "ท่านนายพล" ยอดกุนซือสมองเพชรของ อาแจ็กซ์ ผู้ทำให้ทีมธรรมดาๆ จากประเทศเล็กๆ กลายเป็นแชมป์ยุโรป 3 สมัยซ้อน ในปี 1971-73 นอกจากนี้ เจ้าตัวยังพาอาหยักซ์ สร้างสถิติสุดอลังการงานสร้าง ด้วยการชนะรวดในบ้าน 46 เกม ติดต่อกันในลีก หรือเป็นเวลาล่วงไปกว่า 2 ฤดูกาลเต็ม โดยที่ไม่แพ้ใครเลยและไม่แม้แต่จะเสมอด้วยซ้ำ (46-0-0)
ไรนุส มิเชลส์ และโยฮัน ครัฟฟ์
ไรนุส มิเชลส์
และแน่นอนว่าแม่ทัพผู้ปราดเปรื่อง ก็ย่อมมาพร้อมกับขุนศึกผู้เกรียงไกร มิเชลส์ เองก็มีนักเตะคู่บุญเช่นกัน นามของเขาก็คือ โยฮัน ครัฟฟ์ เจ้าของฉายาอันบรรลือโลกว่า “นักเตะเทวดา” ครัฟฟ์ เหมือนเป็นดั่งตัวแทนของ มิเชลส์ ยามอยู่ในสนามทั้งกับอาหยักซ์ และทีมชาติฮอลแลนด์ เขาคือผู้ที่ซึมซับโททัล ฟุตบอล มาจากตัวกุนซือแบบเต็มๆ และยึดมั่นกับศาสตร์นี้มาโดยตลอด แม้กระทั่งในช่วงที่ผันตัวเองมาเป็นโค้ช
ซึ่งครัฟฟ์ ได้กล่าววาทะอมตะว่า "ฟุตบอลที่เรียบง่ายที่สุด คือ ฟุตบอลที่งดงามที่สุด แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่สุด ในการจะเล่นฟุตบอลที่เรียบง่ายที่สุด"
โยฮัน ครัฟฟ์ และผองเพื่อน ในฟุตบอลโลก 1974
อย่างไรก็ตาม ศาสตร์นี้ก็ค่อยๆเงียบเหงาไปหลังจากที่ ไรนุส มิเชลส์ เริ่มโรยราและวางมือจากวงการลูกหนัง เหลือไว้เพียงศิษย์เอกของเขานั่นก็คือ ครัฟฟ์ ซึ่งหลังจากที่แขวนสตั๊ดไปแล้ว เขาก็กลับมาในฐานะกุนซือของอาหยักซ์ พ่วงด้วยมันสมองที่เต็มไปด้วย โททัล ฟุตบอล แต่กระนั้น ครัฟฟ์ ก็ไม่สามารถทำสิ่งที่ไรนุส มิเชลส์ เคยทำเอาไว้ได้ เจ้าตัวจึงตัดสินใจย้ายไปคุม บาร์เซโลน่า อีกหนึ่งอดีตต้นสังกัด และที่นี่เอง ที่เขาได้ตัดสินใจพกศาสตร์โททัล ฟุตบอล มาดัดแปลงให้เข้ากับยอดทีมจากสเปน โดยเน้นเพียงการต่อบอลขึ้นไปทำประตูเท่านั้น จนประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ ลา ลีกา ได้ 4 สมัยติดต่อกัน (90-91 ถึง 93-94) นอกจากนี้ ยังพาเจ้าบุญทุ่ม คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้เป็นสมัยแรกของสโมสร ในปี 1992 อีกด้วย
โยฮัน ครัฟฟ์ 25 เมษายน 2490 - 24 มีนาคม 2559
เป็บ กวาร์ดิโอล่า
ครัฟฟ์ สมัยเป็นกุนซือของบาร์เซโลน่า และกวาร์ดิโอล่า สมัยเป็นนักเตะ
จากตรงนั้นเอง ที่ศาสตร์โททัล ฟุตบอล ของครัฟฟ์ ได้กลายพันธุ์ และถูกเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “tiki-taka” ศาสตร์การต่อบอลเฉพาะตัวของบาร์เซโลน่า ที่ใช้มาจนถึงทุกวันนี้ และก็ได้กลบบดบังรัศมีของโททัล ฟุตบอล ไปจนสิ้น ไม่มีใครคิดถึงปรัชญาฟุตบอลที่หมุนเวียนนักเตะในสนามอีกต่อไป เหลือแต่การต่อบอลสุดเร้าใจเข้าไปยิงประตูเท่านั้น ปัจจุบันจึงมีน้อยคนนักที่จะตระหนักว่า tiki-taka นี้ มีต้นกำเนิดมาจากปรัชญาฟุตบอลสุดอัจฉริยะ ที่เรียกว่า โททัล ฟุตบอล
คาเตนัคโช่ (Catenaccio)
คาเตนัคโช่ คือ รูปแบบการเล่นที่คิดค้นขึ้นในประเทศอิตาลี โดยคนที่นำมาใช้จนมีชื่อเสียงมากที่สุด คือ เอเลนิโอ้ เอร์ราร่า ของอินเตอร์ มิลาน ชุดครองยุโรป ในช่วงทศวรรษที่ 1960s ซึ่งคำว่า "คาเตนัคโช่" มีความหมายว่า "ปิดประตู" เป็นรูปแบบการเล่น ที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อรับมือกับสไตล์เกมรุก โดยเฉพาะโททัล ฟุตบอล ซึ่งลักษณะการเล่นจะเป็นแบบเน้นเกมรับซะเป็นส่วนใหญ่ แล้วค่อยโต้อย่างมีระบบ เล่นในลักษณะคุมโซน ทุกคนมีหน้าที่ประกบคู่ต่อสู้ อันเนื่องมาจากโททัล ฟุตบอล นั้น ไม่ว่าใครก็สามารถขึ้นมาลุ้นทำประตูได้ จึงทำให้คาเตนัคโช่ ต้องเน้นการตั้งรับแบบคุมโซน ซึ่งรูปแบบการเล่นนี้เอง ที่ทำให้ฟุตบอลอิตาลีค่อนข้างจะน่าเบื่อ ยิงประตูกันน้อย และชัยชนะส่วนใหญ่ในยุค 80 นั้น มีน้อยมากที่จะขาดเกิน 3 ลูก ส่วนใหญ่สกอร์ที่ชนะกันเยอะที่สุด คือ 1-0 หรือบางทีก็เสมอกัน 0-0
แผนผังการเล่นแบบคาเตนัคโช่ ของเอเลนิโอ้ เอร์ราร่า
ลักษณะเด่นที่สำคัญของคาเตนัคโช่ คือ การนำบทบาทของลิเบอโร่ (ตัวฟรี) หรือที่เรียกว่า "สวีปเปอร์" ที่อยู่ในตำแหน่งด้านหลังของเซ็นเตอร์แบ็ค มีหน้าที่ในการเก็บกวาด บอลที่หลุดจากเซ็นเตอร์มา เหมือนเป็นกำแพงชั้นที่สองไว้คอยกั้นแนวรุกฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง
La Grande Inter ในยุค 1960s
ในยุคของเอร์ราร่า ในช่วงทศวรรษที่ 1960s กองหลังทั้ง 4 คน จะเล่นแบบประกบตัวต่อตัว หรือ Man Marking อย่างแน่นหนา แต่ภายหลัง ในช่วงทศวรรษที่ 80 เมื่อได้ผสานรวมเข้ากับแท็คติค เพรสซิ่ง ฟุตบอล ที่ซ้าคคี่คิดค้นขึ้น คาเตนัคโช่ก็เสมือนเสือติดปีก เพราะทั้งสองแท็คติค ต่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกันอย่างดีเยี่ยม ผลคือ เอซี มิลาน ในยุคปลาย 80 ถึงต้น 90 กลายเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก ซ้ำทีมต่างๆ ในกัลโช่ยุคนั้น ยังทำตามอย่างเสียด้วย จนบอลกัลโช่ยุคนั้นเป็นบอลเขี้ยวมหาเขี้ยว ยิงกันได้ยากเย็นสุดขีด กองหน้าคนไหนที่มาเล่นในกัลโช่แล้วยิงได้เกิน 15 ลูก ถือว่าเก่งสุดๆ ใครยิงได้ถึง 20 ลูก นั่นคือ ยอดกองหน้าของโลก
เอซี มิลาน ในยุคปรมาจารย์ ซาคคี่
แต่สุดท้าย ทุกอย่างก็มีทางตัน คาเตนัคโซ่ ซึ่งสร้างความรำคาญและหงุดหงิดแก่ทีมคู่แข่งและแฟนบอลทั่วโลก ก็ถึงคราวถูกแก้ทาง ช่วงปลายยุค 90 ระบบเพรสซิ่ง ฟุตบอล ตามแบบอิตาลี ถูกพวกบราซิล ฮอลแลนด์ เยอรมัน นำมาประยุกต์ใช้เข้ากับแท็คติคฟุตบอลของตน ผลคือ กำแพงคาเตนัคโช่ ถูกฟุตบอลเชิงรุกสไตล์ใหม่ ที่ผสมผสานความสมดุลย์ระหว่างเกมรุกและรับของทีมเหล่านี้หาทางเจาะเข้าได้สำเร็จ
แต่แผนนี้ก็ยังไว้ลาย อิตาลีใช้แผนนี้จนเกือบจะคว้าแชมป์ยูโร 2000 แถมยังใช้มันปราบโททัล ฟุตบอล และบอลเชิงรุกของฮอลแลนด์ในรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะไปพ่ายให้พวกฝรั่งเศส ที่กำลังพีคสุดขีดทั้งทีมในตอนนั้น
ส่วนในระดับสโมสร เป็นเรื่องของการเงินด้วย เมื่อนักเตะจากกัลโช่รุ่นถัดมานั้น เริ่มขาดแคลนสตาร์ดังๆ ทำให้พวกอิตาลีที่ซึมซับคาเตนัคโช่ในรุ่นถัดมา ได้เผชิญหน้ากับแนวรุกระดับโลกในลีคน้อยลง ดังนั้น เมื่ออกมาเผชิญกับฟุตบอลแนวรุกของลีคอื่นๆ ที่กำลังพัฒนาขึ้นมาได้มากแล้วจากยุค 90 ครานี้อิตาลีจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และแทบจะเข้าช่วงที่แย่ที่สุดไปเลย เมื่อช่วงปี 99-2002 ไม่มีทีมจากอิตาลีทีมใด สามารถเข้าชิงถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ เมื่อถูกอังกฤษ สเปน เยอรมัน ล้ำหน้าไปแล้ว
คาเตนัคโช่ก็ต้องพัฒนาและปรับแนวทาง จะเอาแต่เน้นการรับอย่างเดียวมันหมดยุคไปแล้ว เพราะส่วนหนึ่งทำให้แฟนบอลเริ่มเบื่อหน่ายด้วย ดังนั้น เมื่อคาเตนัคโช่ที่มีความเขี้ยว เชิงฟุตบอลสูงล้น เริ่มปรับแนวทางด้วยฟุตบอลเชิงรุกให้มากขึ้น ทีมจากอิตาลีจึงเริ่มกลับมาได้อีกครั้งจนถึงตอนนี้ และในฟุตบอลโลก 2006 คาเตนัคโช่ ที่ผสานเพรสซิ่ง ฟุตบอลแบบดั้งเดิม รวมเข้ากับฟุตบอลที่เน้นการรุกมากขึ้น ทั้งการเคาน์เตอร์ และบอลแบบไดเร็ค จึงทำให้พวกเขาได้แชมป์โลกไปครอง
สรุปแล้ว ณ ตอนนี้ก็คงต้องบอกว่า ระบบโททัล ฟุตบอล หรือระบบคาเตนัคโช่เพียวๆ นั้นไม่มีให้เห็นอีกต่อไปแล้ว แต่ได้ผสมผสานเข้ากับระบบฟุตบอลสไตล์อื่นๆ ที่จะเป็นแผนการเล่นที่น่ากลัว และสร้างความกดดันแก่คู่แข่งมากขึ้น ทำให้ระบบฟุตบอลในสมัยใหม่ น่าดูมากขึ้นนั่นเอง
ขอบคุณ http://www.soccersuck.com/boards/topic/953799
http://www.soccersuck.com/boards/topic/953799
สุดยอดศาสตร์ของฟุตบอล Total Football VS Catenaccio
เมื่อพูดถึง ฟุตบอล ทุกคนต่างก็นึกถึงกีฬาที่เป็นที่นิยมสูงสุดของมวลมนุษยชาติ แต่ฟุตบอลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การลงสนามไปเตะบอลให้เข้าประตูเท่านั้น แต่ฟุตบอลยังมีมนต์เสน่ห์ที่เรียกว่า สไตล์การเล่น หรือถ้าเป็นภาษาทางการก็คือ "ศาสตร์แห่งฟุตบอล"
ศาสตร์แห่งฟุตบอลนั้นมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับตัวแปรหลายประการ เช่น ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ตัวผู้เล่น ตลอดความนิยมชมชอบในแต่ละยุค แต่ละสมัยอีกด้วย
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ 2 สุดยอดศาสตร์แห่งฟุตบอล นั่นคือ โททัล ฟุตบอล และคาเตนัคโช่
โททัล ฟุตบอล (Total Football)
โททัล ฟุตบอล คือ ศาสตร์ฟุตบอลชั้นสูง ที่ผู้เล่นทุกคนในสนามสามารถทดแทนตำแหน่งกันได้หมด ไม่ว่าจะเป็นกองหน้า กองกลาง กองหลัง สามารถยืดหยุ่นตำแหน่งกันได้หมด นักเตะจะไม่มีตำแหน่งตายตัว ไม่ต้องเสียเวลาคอยวิ่งไปกลับตำแหน่งตัวเองกันบ่อยๆ เหมือนการเคลื่อนที่ของผู้เล่นในฟุตซอล หมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ กองหลังสามารถเลี้ยงขึ้นไปยิงประตูเองได้ หรือไม่กองหน้าก็วิ่งลงกลับมายืนอยู่ในแดนหลัง พูดง่ายๆ เป็นนักเตะอเนกประสงค์กันทั้งทีม โดยจุดที่เด่นที่สุด คือ การสร้างพื้นที่ การเข้าสู่พื้นที่ และการจัดการพื้นที่ ไม่ต่างจากการเป็นสถาปนิกในสนาม ฉะนั้นผู้เล่นที่อันตรายที่สุด คือ ผู้เล่นที่ไม่มีบอล โดยมีกลไกที่แสนง่าย คือ การให้แล้วไป (Give and Go)
ผังการเล่นในระบบโททัล ฟุตบอล ของทีมชาติฮอลแลนด์ ในยุค 1970s
และอย่างที่ทราบกันดี ว่าชาติที่หลงไหลปรัชญาฟุตบอลนี้จนเข้าเส้นเลือด ก็คือ ทีมชาติฮอลแลนด์นั่นเอง เป็นศาสตร์เฉพาะของขุนพลดัตช์ และสโมสรอาหยักซ์ อัมสเตอร์ดัม และผู้ที่สรรค์สร้างปรากฎการณ์นี้ขึ้นมามีนามว่า ไรนุส มิเชลส์ (Rinus Michels) หรือที่มีฉายาว่า "ท่านนายพล" ยอดกุนซือสมองเพชรของ อาแจ็กซ์ ผู้ทำให้ทีมธรรมดาๆ จากประเทศเล็กๆ กลายเป็นแชมป์ยุโรป 3 สมัยซ้อน ในปี 1971-73 นอกจากนี้ เจ้าตัวยังพาอาหยักซ์ สร้างสถิติสุดอลังการงานสร้าง ด้วยการชนะรวดในบ้าน 46 เกม ติดต่อกันในลีก หรือเป็นเวลาล่วงไปกว่า 2 ฤดูกาลเต็ม โดยที่ไม่แพ้ใครเลยและไม่แม้แต่จะเสมอด้วยซ้ำ (46-0-0)
ไรนุส มิเชลส์ และโยฮัน ครัฟฟ์
ไรนุส มิเชลส์
และแน่นอนว่าแม่ทัพผู้ปราดเปรื่อง ก็ย่อมมาพร้อมกับขุนศึกผู้เกรียงไกร มิเชลส์ เองก็มีนักเตะคู่บุญเช่นกัน นามของเขาก็คือ โยฮัน ครัฟฟ์ เจ้าของฉายาอันบรรลือโลกว่า “นักเตะเทวดา” ครัฟฟ์ เหมือนเป็นดั่งตัวแทนของ มิเชลส์ ยามอยู่ในสนามทั้งกับอาหยักซ์ และทีมชาติฮอลแลนด์ เขาคือผู้ที่ซึมซับโททัล ฟุตบอล มาจากตัวกุนซือแบบเต็มๆ และยึดมั่นกับศาสตร์นี้มาโดยตลอด แม้กระทั่งในช่วงที่ผันตัวเองมาเป็นโค้ช
ซึ่งครัฟฟ์ ได้กล่าววาทะอมตะว่า "ฟุตบอลที่เรียบง่ายที่สุด คือ ฟุตบอลที่งดงามที่สุด แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่สุด ในการจะเล่นฟุตบอลที่เรียบง่ายที่สุด"
โยฮัน ครัฟฟ์ และผองเพื่อน ในฟุตบอลโลก 1974
อย่างไรก็ตาม ศาสตร์นี้ก็ค่อยๆเงียบเหงาไปหลังจากที่ ไรนุส มิเชลส์ เริ่มโรยราและวางมือจากวงการลูกหนัง เหลือไว้เพียงศิษย์เอกของเขานั่นก็คือ ครัฟฟ์ ซึ่งหลังจากที่แขวนสตั๊ดไปแล้ว เขาก็กลับมาในฐานะกุนซือของอาหยักซ์ พ่วงด้วยมันสมองที่เต็มไปด้วย โททัล ฟุตบอล แต่กระนั้น ครัฟฟ์ ก็ไม่สามารถทำสิ่งที่ไรนุส มิเชลส์ เคยทำเอาไว้ได้ เจ้าตัวจึงตัดสินใจย้ายไปคุม บาร์เซโลน่า อีกหนึ่งอดีตต้นสังกัด และที่นี่เอง ที่เขาได้ตัดสินใจพกศาสตร์โททัล ฟุตบอล มาดัดแปลงให้เข้ากับยอดทีมจากสเปน โดยเน้นเพียงการต่อบอลขึ้นไปทำประตูเท่านั้น จนประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ ลา ลีกา ได้ 4 สมัยติดต่อกัน (90-91 ถึง 93-94) นอกจากนี้ ยังพาเจ้าบุญทุ่ม คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้เป็นสมัยแรกของสโมสร ในปี 1992 อีกด้วย
โยฮัน ครัฟฟ์ 25 เมษายน 2490 - 24 มีนาคม 2559
เป็บ กวาร์ดิโอล่า
ครัฟฟ์ สมัยเป็นกุนซือของบาร์เซโลน่า และกวาร์ดิโอล่า สมัยเป็นนักเตะ
จากตรงนั้นเอง ที่ศาสตร์โททัล ฟุตบอล ของครัฟฟ์ ได้กลายพันธุ์ และถูกเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “tiki-taka” ศาสตร์การต่อบอลเฉพาะตัวของบาร์เซโลน่า ที่ใช้มาจนถึงทุกวันนี้ และก็ได้กลบบดบังรัศมีของโททัล ฟุตบอล ไปจนสิ้น ไม่มีใครคิดถึงปรัชญาฟุตบอลที่หมุนเวียนนักเตะในสนามอีกต่อไป เหลือแต่การต่อบอลสุดเร้าใจเข้าไปยิงประตูเท่านั้น ปัจจุบันจึงมีน้อยคนนักที่จะตระหนักว่า tiki-taka นี้ มีต้นกำเนิดมาจากปรัชญาฟุตบอลสุดอัจฉริยะ ที่เรียกว่า โททัล ฟุตบอล
คาเตนัคโช่ (Catenaccio)
คาเตนัคโช่ คือ รูปแบบการเล่นที่คิดค้นขึ้นในประเทศอิตาลี โดยคนที่นำมาใช้จนมีชื่อเสียงมากที่สุด คือ เอเลนิโอ้ เอร์ราร่า ของอินเตอร์ มิลาน ชุดครองยุโรป ในช่วงทศวรรษที่ 1960s ซึ่งคำว่า "คาเตนัคโช่" มีความหมายว่า "ปิดประตู" เป็นรูปแบบการเล่น ที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อรับมือกับสไตล์เกมรุก โดยเฉพาะโททัล ฟุตบอล ซึ่งลักษณะการเล่นจะเป็นแบบเน้นเกมรับซะเป็นส่วนใหญ่ แล้วค่อยโต้อย่างมีระบบ เล่นในลักษณะคุมโซน ทุกคนมีหน้าที่ประกบคู่ต่อสู้ อันเนื่องมาจากโททัล ฟุตบอล นั้น ไม่ว่าใครก็สามารถขึ้นมาลุ้นทำประตูได้ จึงทำให้คาเตนัคโช่ ต้องเน้นการตั้งรับแบบคุมโซน ซึ่งรูปแบบการเล่นนี้เอง ที่ทำให้ฟุตบอลอิตาลีค่อนข้างจะน่าเบื่อ ยิงประตูกันน้อย และชัยชนะส่วนใหญ่ในยุค 80 นั้น มีน้อยมากที่จะขาดเกิน 3 ลูก ส่วนใหญ่สกอร์ที่ชนะกันเยอะที่สุด คือ 1-0 หรือบางทีก็เสมอกัน 0-0
แผนผังการเล่นแบบคาเตนัคโช่ ของเอเลนิโอ้ เอร์ราร่า
ลักษณะเด่นที่สำคัญของคาเตนัคโช่ คือ การนำบทบาทของลิเบอโร่ (ตัวฟรี) หรือที่เรียกว่า "สวีปเปอร์" ที่อยู่ในตำแหน่งด้านหลังของเซ็นเตอร์แบ็ค มีหน้าที่ในการเก็บกวาด บอลที่หลุดจากเซ็นเตอร์มา เหมือนเป็นกำแพงชั้นที่สองไว้คอยกั้นแนวรุกฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง
La Grande Inter ในยุค 1960s
ในยุคของเอร์ราร่า ในช่วงทศวรรษที่ 1960s กองหลังทั้ง 4 คน จะเล่นแบบประกบตัวต่อตัว หรือ Man Marking อย่างแน่นหนา แต่ภายหลัง ในช่วงทศวรรษที่ 80 เมื่อได้ผสานรวมเข้ากับแท็คติค เพรสซิ่ง ฟุตบอล ที่ซ้าคคี่คิดค้นขึ้น คาเตนัคโช่ก็เสมือนเสือติดปีก เพราะทั้งสองแท็คติค ต่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกันอย่างดีเยี่ยม ผลคือ เอซี มิลาน ในยุคปลาย 80 ถึงต้น 90 กลายเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก ซ้ำทีมต่างๆ ในกัลโช่ยุคนั้น ยังทำตามอย่างเสียด้วย จนบอลกัลโช่ยุคนั้นเป็นบอลเขี้ยวมหาเขี้ยว ยิงกันได้ยากเย็นสุดขีด กองหน้าคนไหนที่มาเล่นในกัลโช่แล้วยิงได้เกิน 15 ลูก ถือว่าเก่งสุดๆ ใครยิงได้ถึง 20 ลูก นั่นคือ ยอดกองหน้าของโลก
เอซี มิลาน ในยุคปรมาจารย์ ซาคคี่
แต่สุดท้าย ทุกอย่างก็มีทางตัน คาเตนัคโซ่ ซึ่งสร้างความรำคาญและหงุดหงิดแก่ทีมคู่แข่งและแฟนบอลทั่วโลก ก็ถึงคราวถูกแก้ทาง ช่วงปลายยุค 90 ระบบเพรสซิ่ง ฟุตบอล ตามแบบอิตาลี ถูกพวกบราซิล ฮอลแลนด์ เยอรมัน นำมาประยุกต์ใช้เข้ากับแท็คติคฟุตบอลของตน ผลคือ กำแพงคาเตนัคโช่ ถูกฟุตบอลเชิงรุกสไตล์ใหม่ ที่ผสมผสานความสมดุลย์ระหว่างเกมรุกและรับของทีมเหล่านี้หาทางเจาะเข้าได้สำเร็จ
แต่แผนนี้ก็ยังไว้ลาย อิตาลีใช้แผนนี้จนเกือบจะคว้าแชมป์ยูโร 2000 แถมยังใช้มันปราบโททัล ฟุตบอล และบอลเชิงรุกของฮอลแลนด์ในรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะไปพ่ายให้พวกฝรั่งเศส ที่กำลังพีคสุดขีดทั้งทีมในตอนนั้น
ส่วนในระดับสโมสร เป็นเรื่องของการเงินด้วย เมื่อนักเตะจากกัลโช่รุ่นถัดมานั้น เริ่มขาดแคลนสตาร์ดังๆ ทำให้พวกอิตาลีที่ซึมซับคาเตนัคโช่ในรุ่นถัดมา ได้เผชิญหน้ากับแนวรุกระดับโลกในลีคน้อยลง ดังนั้น เมื่ออกมาเผชิญกับฟุตบอลแนวรุกของลีคอื่นๆ ที่กำลังพัฒนาขึ้นมาได้มากแล้วจากยุค 90 ครานี้อิตาลีจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และแทบจะเข้าช่วงที่แย่ที่สุดไปเลย เมื่อช่วงปี 99-2002 ไม่มีทีมจากอิตาลีทีมใด สามารถเข้าชิงถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ เมื่อถูกอังกฤษ สเปน เยอรมัน ล้ำหน้าไปแล้ว
คาเตนัคโช่ก็ต้องพัฒนาและปรับแนวทาง จะเอาแต่เน้นการรับอย่างเดียวมันหมดยุคไปแล้ว เพราะส่วนหนึ่งทำให้แฟนบอลเริ่มเบื่อหน่ายด้วย ดังนั้น เมื่อคาเตนัคโช่ที่มีความเขี้ยว เชิงฟุตบอลสูงล้น เริ่มปรับแนวทางด้วยฟุตบอลเชิงรุกให้มากขึ้น ทีมจากอิตาลีจึงเริ่มกลับมาได้อีกครั้งจนถึงตอนนี้ และในฟุตบอลโลก 2006 คาเตนัคโช่ ที่ผสานเพรสซิ่ง ฟุตบอลแบบดั้งเดิม รวมเข้ากับฟุตบอลที่เน้นการรุกมากขึ้น ทั้งการเคาน์เตอร์ และบอลแบบไดเร็ค จึงทำให้พวกเขาได้แชมป์โลกไปครอง
สรุปแล้ว ณ ตอนนี้ก็คงต้องบอกว่า ระบบโททัล ฟุตบอล หรือระบบคาเตนัคโช่เพียวๆ นั้นไม่มีให้เห็นอีกต่อไปแล้ว แต่ได้ผสมผสานเข้ากับระบบฟุตบอลสไตล์อื่นๆ ที่จะเป็นแผนการเล่นที่น่ากลัว และสร้างความกดดันแก่คู่แข่งมากขึ้น ทำให้ระบบฟุตบอลในสมัยใหม่ น่าดูมากขึ้นนั่นเอง
ขอบคุณ http://www.soccersuck.com/boards/topic/953799
http://www.soccersuck.com/boards/topic/953799